เลี้ยงกุมารทอง
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เมตตาคือธรรมฝ่ายดี เป็นกุศลจิต เมตตามีลักษณะคือมีการนำประโยชน์ การช่วยเหลือต่างๆ ทั้งทางกาย ทางวาจาหรือแม้แต่คิดนึกด้วยความหวังดี นำประโยชน์ไปให้ แต่ที่สำคัญ เราอาจสำคัญสิ่งที่เป็นอกุศลคือโลภะอันเป็นความติดข้อง ความต้องการ ความอยากได้ว่าเป็นเมตตาก็ได้ครับ เพราะว่าเมื่อเราต้องการสิ่งใด อยากได้สิ่งใดก็อาจแสดงออกทางกาย วาจาด้วยการช่วยเหลือ นำประโยชน์ไปให้กับบุคคลนั้น เช่นเดียวกับเมตตา นั่นคือการกระทำภายนอกเหมือนกันคือช่วยเหลือ นำประโยชน์ไปให้กับบุคคล แต่จิตต่างกันเพราะโลภะ ทำด้วยความติดข้องพอใจในบุคคลนั้นจึงทำให้ หรือต้องการสิ่งใดจากบุคคลนั้นก็เลยทำประโยชน์ให้นี่เป็นโลภะเป็นอกุศล เป็นธรรมฝ่ายที่ไม่ดี ไม่ใช่เมตตาครับ ต่างกับความเมตตาที่คิดด้วยความหวังดี ไม่ได้ติดข้องในขณะนั้น การกระทำทางกาย วาจาก็หวังดีไม่ได้หวังอะไรจากบุคคลนั้นเลย แม้แต่ความรัก ลาภ สักการะและสิ่งอื่นจากบุคคลที่เราทำดีให้ เพราะฉะนั้นจึงสำคัญที่จิตว่าเป็นอกุศลที่เป็นโลภะหรือเป็นความเมตตา ความเมตตาจึงไม่ใช่ความต้องการ อยากได้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากการกระทำของเรา แต่เป็นความหวังดีด้วยใจจริงทั้งกาย วาจาและใจครับ
ประเด็นคำถามคือเลี้ยงกุมารทองเป็นเมตตาไหม ก็ต้องถามว่าเลี้ยงเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อความต้องการให้สิ่งนั้นปกป้องคุ้มครอง ให้สิ่งนั้นทำให้บุคคลที่เลี้ยงเจริญ ให้คนที่เลี้ยงมีความสุขด้านต่างๆ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า มีความต้องการที่จะได้ ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ซึ่งเป็นลักษณะของโลภะคือความติดข้องที่มีลักษณะต้องการ อยากได้อันเป็นอกุศลธรรมเป็นธรรมฝ่ายไม่ดีครับ ไม่ใช่เมตตา เพราะเมตตาคือความหวังดี ไม่ได้ต้องการสิ่งใดจากใคร จากบุคคลที่เราทำประโยชน์ให้เลยครับ นี่คือเมตตา จะไม่ติดข้องต้องการในสิ่งนั้นครับ เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ...โลภะและเมตตา
ลักษณะของโลภะที่เป็นธรรมที่เป็นอกุศล ที่ไม่ใช่เมตตา
[เล่มที่ 76] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๗๖ - หน้าที่ ๑๗
โลภะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?การโลภ กิริยาที่โลภ ความโลภ การกำหนัดนักกิริยาที่กำหนัดนัก ความกำหนัด ความเพ่งเล็ง อกุศลมูลคือโลภะ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่าโลภะมีในสมัยนั้น. ลักษณะของเมตตาที่เป็นธรรมฝ่ายดี[เล่มที่ 75] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๗๕ - หน้าที่ ๕๒๙
เมตตา มีความเป็นไปโดยอาการที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลเป็นลักษณะ มีการนำเข้าไปซึ่งประโยชน์เกื้อกูลเป็นกิจ มีการกำจัดความโกรธ ความอาฆาตเป็นอาการปรากฏ มีการมองเห็นสิ่งที่น่าพอใจของสัตว์ทั้งหลาย (คือไม่เป็นศัตรู) เป็นเหตุใกล้ให้เกิด เมตตานี้มีการสงบพยาบาทเป็นสมบัติ มีการเกิดขึ้นแห่งเสน่หา (ความติดข้องหรือ โลภะ) เป็นวิบัติ.
ความมีเมตตา เมตตานั้นต้องมีสัตว์ บุคคลเป็นอารมณ์ ความหมายคือ เราจะมีเมตตากับสิ่งใด สิ่งนั้นจะต้องมีชีวิต เช่น เมตตากับบิดา เมตตากับอาจารย์ เมตตากับสัตว์ เมตตาสุนัข คือเมตตาในสิ่งที่มีชีวิต เมตตาจะไปเมตตาสิ่งที่ไม่มีชีวิตไม่ได้ครับ เช่น เมตตา ต้นไม้ เมตตาภูเขา เมตตาโต๊ะ อย่างนี้ไมได้ครับ เช่นเดียวกัน เราจะไปเมตตาสิ่งที่ไม่รู้ว่ามีชีวิตหรือไม่ ในสิ่งที่เป็นเพียงรูปปั้น ในสิ่งที่มองไม่เห็น นั่นก็ไม่ใช่เมตตาครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่....ทำไมไม่ควรเมตตาคนที่ตายไปแล้ว?
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคำสวดใด เล่นคุณไสยอะไร หรือเลี้ยงสิ่งใดเพื่อตัวเองเพื่อต้องการให้ความสุขของตนเอง เพื่อได้ ไม่ใช่เพื่อละ นั่นเป็นโลภะที่เป็นอกุศลธรรมไม่ใช่เมตตา และไม่ใช่กุศลธรรมเลยครับ พระพุทธองค์ไม่ทรงสรรเสริญแต่ทรงติเตียนอกุศลธรรมทุกประการ ไม่ควรเจริญ ไม่ควรอบรมและกระทำสิ่งเหล่านั้นอันเป็นการเพิ่มความไม่รู้และเพิ่มอกุศลประการต่างๆ ครับ และสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อการเจริญขึ้นของปัญญาและขัดเกลากิเลส ไม่ใช่เป็นการเพื่มกิเลสและเพื่มความไม่รู้ครับ
การศึกษาธรรมจึงต้องเป็นผู้ละเอียด
ดังที่ผู้ตั้งกระทู้กล่าวไว้เพราะพระธรรมเป็นเรื่องละเอียด
เพราะเป็นเรื่องของปัญญาครับ
ขออนุโมทนาผู้ถามและกุศลจิตของทุกท่านครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอขอบพระคุณ ครับ ที่ชี้แจงให้ผมได้เข้าใจ
ยังไงผมก็จะใช้ปัญญา สมาธิ ในการฝึกพิจารณาครับ ขอขอบพระคุณนะครับ
ขออนุโมทนาขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คุณไสย หรือ ไสยศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยความหลับไหล ทำให้ผู้คนหลับไหลด้วยความไม่รู้ และ ด้วยอกุศลธรรมประการต่างๆ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเ้ข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ส่วน พุทธศาสน์ หรือ พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของท่านผู้รู้ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ด้วยพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และ พระมหากรุณาคุณคือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทำให้ผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา มีความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายอกุศลให้เบาบางลง จนกระทั่งสูงสุด คือ สามารถดับกิเลสไ้ด้อย่างเด็ดขาด ซึ่งเป็นผลมาจากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เมตตา เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม เป็นธรรมที่มีจริง บุคคลผู้ประกอบด้วยเมตตา นั้นย่อมจะเป็นมิตรกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ไม่ได้มีการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนเลย แม้เพียงจิตที่คิดจะเบียดเบียนก็ไม่มี ย่อมเป็นผู้ไม่มีเวรกับใครๆ "ผู้มีเมตตา ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ และ เทวดาทั้งหลาย" การมีเมตตา ไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นรัก แต่ต้องเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง และประการที่สำคัญ เมตตา เป็นธรรมที่ควรอบรมเจริญให้มีขึ้นในชีวิตประจำวัน อบรมให้มีขึ้นในตน เมื่ออบรมเจริญเป็นปกติแล้ว ย่อมเกื้อกูลให้กุศลธรรมประการอื่นๆ เจริญขึ้นตามไปด้วย นำมาซึ่งประโยชน์สุขทั้งแก่ตนและบุคคลอื่น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
"...การมีเมตตา ไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นรัก
แต่ต้องเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง..."
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ต้องใช้ปัญญาพิจารณาจริงๆ ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
เรื่องของไสยศาสตร์ ไม่มีประโยชน์ ไมได้ช่วยให้พ้นทุกข์ ให้เจริญเมตตากับบุคคลที่อยู่่รอบ ๆ ตัวเรา ที่เราเห็นอยู่เป็นปกติ นั่นแหละที่ควรมีเมตตาค่ะ
ขอขอบพระคุณทุกๆ ท่าน ที่ชี้แนะทางธรรม และขออนุโมทนา
อุทิศแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ขอบพระคุณครับ
ความเมตตา ที่บริสุทธิ์จะต้องไม่มีหวังผลตอบแทนกลับคืนมา ถ้าหวังว่าเขาจะให้โชคหรือให้ลาภ เขาจะเป็นมนุษย์หรือไม่ใช่มนุษย์ก็ตามก็เป็นโลภะ ไม่ต่างอะไรกับคนบางคน เวลาทำบุญทำทานก็ปรารถนาได้สมบัติต่างๆ เป็นบุญก็เป็นบุญที่ไม่บริสุทธิ์ ยังติดข้องในภพในชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขออนุโมทนาครับ
ขอขอบพระคุณครับ แล้วที่ว่าการที่เราบอกพ่อแม่ให้ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมมะล่ะครับ กระผมกระทำเช่นไรดีครับ เพื่อให้ท่านเข้าใจครับ
เรียนความเห็นที่ 14 ครับ
การจะทำใ้ผู้อื่นเข้าใจธรรม มีบิดา มารดา เป็นต้น จะต้องเริ่มจากความเข้าใจธรรมของเราให้ถูกต้องก่อนครับ ต้องเข้าใจก่อนครับว่าธรรมคืออะไร ปฏิบัติธรรมคืออะไร โดยเริ่มจากการศึกษาพระธรรมในหนทางนี้ในเวปนี้ครับ และเมื่อตัวเองมีความเข้าใจมากพอแล้ว อันเป็นหนทางที่ถูกต้อง ก็สามารถแทรกคุยเรื่องต่างๆ ที่เราคุยกันทั่วไปในชีวิตประจำวัน แทรกเรื่องธรรมเข้าไปบ้างในการสนทนาเรื่องต่างๆ หรือบางครั้งก็อาจเปิดธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ฟังเอง โดยเปิดให้ท่านได้ยิน แต่อย่าไปบังคับนะครับ เพราะอาจจะต่อต้าน เพียงแต่อาศัยฟังเองของเราเองแต่เปิดให้ท่านได้ยินครับ ท่านก็จะฟังเอง เพราะยังไงก็ต้องได้ยินครับ ส่วนท่านจะสนใจหรือไม่ อย่างไรนั้นแล้วแต่การสะสมปัญญาของท่านว่าสะสมมาหรือเปล่า ไม่ได้หมายความว่าเราให้ธรรมท่านหรือให้กับใครก็จะสนใจไปหมด เพราะพระธรรมไม่สาธารณะกับทุกคนครับ ขอให้เริ่มจากความเข้าใจพระธรรมของเราให้ถูกต้องนะครับ เพราะถ้าหากเราเข้าใจผิด เราก็จะให้สิ่งที่ผิดกับท่าน นั่นเป็นอันตรายมาก แต่หากเรามีความเข้าใจถูกแล้ว เราก็สามารถให้สิ่งที่ดีกับท่านครับ ส่วนท่านจะสนใจไม่สนใจก็แล้วแต่การสะสม แต่ที่ไม่ควรลืมนะครับ ไม่ควรลืมคำว่าอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้ว่าท่านจะสนใจหรือไม่สนใจแต่เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ.....ไม่สามารถทำแผ่นดินให้เสมอได้หมด
ต้องเป็นผู้ตรง ถ้าต้องการก็เป็นกิเลส เป็นความอยากได้สิ่งตอบแทนจึงทำดีมีเมตตาก่อน หากเมตตาจริงๆ ไม่คิดนึกหวังสิ่งตอบแทนก็เป็นกุศล
ขอขอบพระคุณครับผม และขออนุโมทนาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
เลี้ยงเพราะหวังผลตอบแทนนั้นมิได้เรียกว่าเมตตา และยังห่างไกลกับกับความเมตตามาก
สวัสดีครับผมพื่งเป็นสมาชิกบ้านธัมมะครับ ขอเรียนถาม ครับ มีคนฝากมาถามครับ การที่
เราเลี้ยงกุมารทอง ถือว่าเรามีความเมตตา หรือป่าวครับ พอดีผมตั้งข้อความว่่า * เกิดเป็น
ชาวพุทธ ไม่ควรพึ่งคุณไสยณ์ * ก้อเลยมีคนถามผมว่า เป็นการเล่นคุณใสยณ์ หรือ เมตตา
กุมารทองเป็นวิญญาณเด็กที่เพิ่งเสียชีวิต ผมว่าการเลี้ยงกุมารทอง ก็อาจเป็นการเมตตาไม่ให้เขา ต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อน นะครับ (ถ้าหากผมอธิบายผิดยังไงก็ขออภัยด้วยนะครับ)
เรียนความเห็นที่ 20 ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
คนไทยหลายคนเข้าใจว่า วิญญาณอยู่ในร่างกาย ตายแล้วลอยไปเกิดใหม่?