ตายแล้วไปเกิดทันที
อยากเรียนถาม อ. สุจินต์ ครับว่า ผู้ที่ตายไปแล้ว จะต้องไปเกิดเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งโดยทันทีหรือไม่ ถ้าไม่โดยทันทีแล้ว วิญญาณจะไปอยู่ที่ไหน หรือว่าล่องลอยอยู่ในโลกเรานี้ พระไตรปิฎกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้อย่างไรบ้าง
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
จากหนังสือ บทบาท อ.สุจินต์ ในการเผยแผ่พุทธธรรม
โดยมากเข้าใจว่า ตายแล้วเป็นผี แต่ความจริงนั้น ทันทีที่จุติ คือจิตขณะสุดท้ายทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนั้นดับ ปฏิสนธิจิต คือจิตขณะแรกของชาติต่อไป ก็เกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น แล้วแต่ว่า ปฏิสนธินั้นเป็นผลของกรรมใดที่ทำให้เกิดในภพภูมิใด ถ้าเกิดในนรกก็ไม่มีใครมองเห็น เมื่อไม่เห็นสัตว์นรกก็กล่าวว่าไม่เห็นผี แต่ถ้าเกิดในภูมิที่ สามารถจะปรากฏกายให้เห็นได้ คือขณะที่เป็นบุคคลที่ตายไปแล้วปรากฏ ร่างเหมือนที่เคยมีชีวิตอยู่ ก็เข้าใจว่าเห็นผี ความจริงเทวดาก็ปรากฏให้เห็นได้เหมือนกัน แต่ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าผีหรือเปล่า หรือจะเรียกว่า ผี เฉพาะผู้ที่ตายแล้วเกิดเป็นเปรตและอสุรกายเท่านั้น
โดย study ตามหลักพระธรรมของพระพุทธองค์ เมื่อสัตว์ตายแล้วย่อมปฏิสนธิทันทีไม่มี ระหว่างคั่น ฉะนั้น คำว่า วิญญาณล่องลอย ผีไม่มีญาติ และตายแล้วยังไม่ไปผุดไปเกิด จึงไม่มีในพระไตรปิฎกและอรรถกถา สำหรับผู้ศึกษาพระธรรมเข้าใจเรื่องวิญญาณคือ จิตเป็นสภาพรู้ จึงไม่เข้าใจผิดเรื่องวิญญาณล่องลอยหรือไม่ไปผุดไปเกิดเพราะสัตว์ที่ยังมีกิเลส เมื่อตายแล้วย่อมเกิดขึ้นในภพใหม่ทันทีตามกรรม
อรรถกถาทัณฑสูตร
พึงทราบอธิบายในทัณฑสูตรที่ ๓
คำว่า จากโลกนี้ไปสู่ปรโลก ความว่า จากโลกนี้ไปโลกอื่น คือนรกบ้าง กำเนิดสัตว์เดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง มนุษยโลกบ้าง เทวโลกบ้าง อธิบายว่า เกิดในวัฏฏะนั่นแหล่ะบ่อยๆ
จบอรรถกถาทัณฑสูตรที่ ๓
ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีสัตว์ตาย แต่เป็นจิตที่เกิดสืบต่อ ถ้ามีเหตุปัจจัย จิตก็ยังเกิดสืบต่อ เรียกว่าสังสารวัฏฏ์ จริงๆ แล้วไม่มีสัตว์ มีแต่ธรรมที่เป็น จิต เจตสิก รูป แต่เพราะ อาศัยสภาพธรรมที่มีจึงบัญญัติว่าเป็นสัตว์ตาย สัตว์เกิดครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การมีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นช่วงเวลาที่ประเสริฐของชีวิต เพราะเหตุว่านำมาซึ่งความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริงเมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง มั่นคงในเหตุในผล ย่อมจะไม่เอนเอียงในคำพูดที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เข้าใจแบบผิดๆ ตามๆ กันมา วิญญาณ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นจิต เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ วิญญาณ หรือ จิต เป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง ไม่มีการล่องลอยแต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดดับสืบต่อกันในชีวิตประจำวัน ทุกขณะของชีวิตมีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยปราศจากจิตเลยแม้แต่ขณะเดียว ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ขณะที่จิตเป็นกุศลหรือ เป็นอกุศล หรือแม้กระทั่งขณะแรกของชีวิต ก็เป็นจิต ผู้ที่ไม่ได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสได้ทั้งหมด เมื่อตายไป (จิตขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ เกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้) ย่อมเกิดทันที (ปฏิสนธิจิต) แต่จะไปเกิดเป็นอะไร ที่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับกรรมที่กระทำแล้ว แต่เกิดแน่นอน สังสารวัฏฏ์ก็ยังดำเนินต่อไป (มีจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไป อย่างไม่ขาดสาย) ส่วนผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว (ตาย) ย่อมไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ตายแล้วไม่มีวิญญาณที่ล่องลอย มีแต่จิต เจตสิกที่เกิดดับสืบต่อกัน ถ้ากรรมดีให้ผล ก็เกิดในสุคติภูมิ ถ้ากรรมชั่วให้ผล ก็ไปเกิดในอบายภูมิค่ะ
[เล่มที่ 11] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้าที่ ๒๕๘
ในวาระของนักตรึก มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ สมณะหรือพราหมณ์ผู้ตรึกนี้ ย่อมเห็นความแตก ทำลายของจักษุ เป็นต้น แต่เพราะเหตุที่จิตดวงแรกๆ พอให้ปัจจัยแก่ดวงหลังๆ จึงดับไปฉะนั้น จึงไม่เห็นความแตกทำลายของจิต ซึ่งแม้จะมีกำลังกว่าการแตกทำลายของจักษุ เป็นต้น. สมณะหรือพราหมณ์ผู้ตรึกนั้น เมื่อไม่เห็นความแตกทำลายของจิตนั้น จึงยึดถือว่า เมื่ออัตตภาพนี้แตกทำลายแล้ว จิตย่อมไปในอัตตภาพอื่นเหมือนอย่างนกละต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วไปจับที่ต้นอื่นฉะนั้น จึงกล่าวอย่างนี้.
ขออนุโมทนาทุกคำอธิบาย โดยเฉพาะความคิดเห็นที่ 13 ที่ได้ยกข้อความโดยตรงมาแสดงไว้ครับ
ข้อความที่นำมานั้น ทรงแสดงผู้ที่เป็นนักตรึกคือนักคิด ซึ่งไม่ใช่ผู้ประจักษ์แจ้งสภาพความเป็นจริงของชีวิต ดังเช่น พระผู้มีพระภาคและพระอริยสาวกทั้งหลาย จึงได้คิดไปด้วยตรรกะเท่าที่รู้ และเท่าที่เห็นว่ารูปร่างกายแตกทำลายไปเช่นไร จึงสรุปไปว่าเหมือนมีตัวตนที่จากอัตภาพนี้ไปแล้วล่องลอยไปสู่อีกอัตภาพหนึ่ง (เหมือนนกฯ)
แต่ชีวิตตามความเป็นจริงนั้น ทรงประจักษ์แจ้งว่า จิตหรือวิญญาณ นั้นไม่ใช่สิ่งที่ต่อเนื่องยาวนาน แต่เป็นแต่ละจิต (ขณะ) สั้นๆ ที่เกิดดับสืบต่อกันอย่างต่อเนื่อง ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง และทางใจบ้าง (ที่ละทาง ทีละดวง สลับกันไปมา)
ความตาย ก็คือ การดับของจิตดวงหนึ่ง ที่เกิดทำกิจสิ้นสุดความเป็นบุคคลในชาตินี้เมื่อดับไปแล้ว จิตอีกดวงหนึ่งที่ทำกิจเป็นจิตดวงแรกในภพใหม่ก็เกิดขึ้น ทำหน้าที่ต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น ซึ่งหากพิจารณาในมุมมองหนึ่งแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าไม่ต่างจากจิตที่กำลังเกิดดับสืบต่อกันในขณะที่มีชีวิตอยู่นี้เลย
พระธรรมมีความละเอียดลึกซึ้งมาก หากคุณ sharif1979 สนใจที่จะมีความเข้าใจและตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับโลกและชีวิตได้ด้วยตัวเอง ขอเชิญศึกษาได้จาก บ้านธัมมะแห่งนี้ หรือเชิญที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาครับ
ในครั้งพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่งเที่ยวไปพูดว่า "มีวิญญาณไปจุติ" พระพุทธเจ้าให้เรียกภิกษุนั้นมาเฝ้า แล้วทรงตำหนิว่า "เธอโมฆบุรุษ ตถาคตไม่ได้สอนอย่างนั้น"
จากข้อความดังกล่าว ขอท่านวิทยากรช่วยอ้างที่มาในพระไตรปิฎกให้ด้วย
ขออนุโมทนา
ขออภัยท่านวิทยากรที่รบกวนถามตามความเห็นที่ ๑๙
พอดีอ่านพบแล้ว อยู่ในบาลีมหาตัณหาสังขยสูตร มู.ม. ๑๒/๔๗๒/๔๔๐ จึงขอยกเลิกความเห็นดังกล่าว อาตมาไม่รู้วิธีค้นพระไตรปิฎก กำลังพยายามศึกษาอยู่
เจริญพร
เรียนถามอาจารย์ค่ะ
ผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว (ตาย) ย่อมไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์
หนูเป็นหญิง ตั้งความปรารถนาที่จะไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ จะทำได้หรือไม่ ต้องทำอย่างไรคะ ต้องบวชไหม
ขอร่วมสนทนากับความคิดเห็นที่ 21 ค่ะ
การได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเท่านั้น จึงจะทราบความจริงที่สุดของเหตุและผลที่แสนละเอียดลึกซึ้งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงความจริงของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย อะไรเป็นเหตุให้มีการเกิดในแต่ละชาติ และเหตุใดเกิดมาจึงร่างกายไม่เหมือนกัน การมีสุข มีทุกข์ ที่ต่างกัน แม้ความคิดก็ต่างกัน การที่คิดว่าจะไม่เกิดอีกเพียงเพราะการตั้งความปรารถนานั้นเป็นไปไม่ได้เลย และเป็นความคิดที่ผิดอย่างยิ่ง เพราะตราบใดที่ยังไม่หมดเหตุของการเกิด ก็ต้องเกิดแน่นอน แม้ไม่อยากเกิด แม้ตั้งความปรารถนาอย่างไรๆ ก็ต้องเกิด
ก่อนจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ท่านก็เกิดนับชาติไม่ถ้วน เพียงพระชาติที่บำเพ็ญพระบารมี ก็ยาวนานถึง ๔ อสงไขยแสนกัป กว่าจะดับเหตุได้ในพระชาติที่ทรงรู้แจ้งอริยสัจจธรรมแล้ว จึงเป็นการเกิดครั้งสุดท้ายในชาตินั้น เหตุนี้ จึงทรงแสดงความจริงที่ทรงตรัสรู้ ซึ่งเป็นหนทางที่ไม่ต้องเกิดให้กับสัตว์โลกให้รู้ตาม ซึ่งหากได้ศึกษาแล้ว ก็จะทราบว่า การจะไม่เกิดไม่ใช่เฉพาะต้องไปบวช ถ้าไม่เข้าใจว่าบวชคืออะไร และไม่เข้าใจว่าบวชเพื่ออะไร ก็จะเสียหายต่อตนเอง และเสียเวลาเป็นอย่างยิ่ง ในครั้งพุทธกาล มีผู้ใช้ชีวิตปกติครองเรือน เป็นพระราชา ปกครองบ้านเมือง พ่อค้า แม่บ้าน หรือแม้คนรับใช้ ก็มีมากมายหลายท่านที่ไม่ได้เริ่มด้วยการบวช แต่ท่านเหล่านั้นมีอัธยาสัยที่สะสมในการฟังพระธรรมเพราะเห็นประโยชน์ในการรู้ความจริง เมื่อเหตุถึงพร้อมที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมไปตามลำดับ จนถึงผลที่ไม่ทำให้ไม่ต้องเกิดอีกเลย เมื่อเข้าใจความจริงถึงที่สุดดับเหตุที่ทำให้เกิดได้ ถึงเวลานั้นท่านจึงค่อยไปบวช
ศึกษาเพิ่มเติม คลิ๊กที่
เพลง เพราะไม่รู้ และ ความหมายของเพลง
ก่อนเกิดเราคือใคร เกิดแล้วเราคือใคร
การบวช เรื่องที่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องตรงตามพระพุทธประสงค์
การบรรลุธรรม จำเป็นต้องรู้เรื่องในพระไตรปิฎกก่อนหรือเปล่าครับ
ขออนุโมทนาค่ะที่จะได้ศึกษาพระธรรมเข้าใจความจริง สะสมเหตุที่ไม่ต้องเกิด