เพียงชั่วขณะจิตเดียว
"ชีวิตเราดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว และขณะจิตเดียวนี้จะให้เป็นกุศลหรืออกุศล"
(เทปธัมมะ ชุดเมตตา ม้วนที่10)
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ที่บัญญัติว่าเป็นสัตว์ บุคคล เป็นสิ่งมีชีวิต เพราะอะไรเพราะมีจิต เจตสิก รูป ดังนั้น
ชีวิตก็คือเพราะมีจิต เจตสิกเกิดขึ้นครับ แต่โดยทั่วไปแล้ว เราย่อมสำคัญว่าชีวิตของ
เรา ของใครก็ตาม ก็มีอายุ 60 ปี 50 ปี 20 ปี หรือน้อยกว่านั้นก็ตาม แต่ในความเป็น
จริงแล้วที่เรามีอายุเป็นเดือน เป็นปี ก็เพราะความเกิดขึ้นและดับไปของจิตที่เกิดดับสืบ
ต่อกันไปนั่นเองและที่สำคัญ ก็สำคัญว่าชีวิตจะสิ้นสุดก็คือเมื่อตายจากโลกนี้ไป
แต่นั่นเป็นความตายโดยสมมติเพราะเป็นเพียงจุติที่เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้น แต่ใน
ความเป็นจริง เมื่อ มีแ่ต่ จิต เจตสิกจึงบัญญัติว่ามีชีวิต เพราะฉะนั้น ชีวิตก็คือจิตและ
เจตสิกที่เ่กิดขึ้น แต่อายุของจิตนั้นสั้นมาก เมื่อเกิดขึ้นและดับไป การดับไปนั้นก็เป็น
การสิ้นสุดชีวิต สิ้นสุดในขณะที่จิตดับไปนั่นเองเป็นการตายโดยปรมัตที่เป็นสัจจะครับ
ดังนั้นชีวิตจึงดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิต เล็กน้อยมาก เพียงจิตเกิดขึ้นและดับไปซึ่งจิตมี
หลายประเภท ทั้งที่เ่ป็นกุศล อกุศล วิบาก เป็นต้น ดังนั้นขณะที่เห็น จิตเห็นเกิดขึ้น
ชีวิตเกิดขึ้นและดับไปก็ดำรงอยู่ชั่วขณะนั้นเอง และจิตอื่นก็เกิดต่อก็ดำรงอยู่ชั่วขณะ
อย่างนี้ไปเรื่อยๆ อันแสดงให้เห็นว่าชีวิตเป็นของน้อย ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะเท่านั้นครับ
และจากคำกล่าวของเจ้าของกระทู้ที่ว่า
"ชีวิตเราดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว และขณะจิตเดียวนี้จะให้เป็นกุศลหรืออกุศล"
----------------------------------------------------------------------------------------
ชีวิตก็คือขณะจิตที่เกิดขึ้นและดับไป แน่นอนครับว่า สิ่งที่ดีคือ กุศลจิต ควรที่จะเป็น
กุศล ไม่ควรเป็นอกุศลเลย แต่ธรรมเป็นอนัตตาและเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ใน
อำนาจบังคับบัญชา รู้ว่าควร รู้ว่ากุศลเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อสะสมปัญญามาน้อย สะสม
กุศลธรรมาน้อยกว่ากิเลสที่สะสมมา ก็ย่อมทำให้จิตที่เกิดขึ้นเป็นอกุศลจิต มากกว่า
กุศลจิตครับ ที่สำคัญคือการอบรมเหตุ คือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเพื่อความ
เจริญขึ้นของกุศลธรรมและปัญญา เพราะเมื่อปัญญาเจริญขึ้น กุศลจิตและกุศลธรรม
ประการต่างๆ ก็เจริญขึ้นตามปัญญาที่เจริญขึ้น อันเป็นหน้าที่ของธรรมที่ทำหน้าที่ ไม่มี
เราไปจัดการ ไปบังคับให้เกิดกุศลหรืออกุศลเลยครับ เป็นไปตามปัจจัยและตามกำลัง
ปัญญาที่สะสมมาครับ คำว่าควร จึงไม่ใช่เราที่จะทำแต่เป็นหน้าที่ของธรรมครับ
การเข้าใจเช่นนี้ ย่อมเข้าใจหนทางในการอบรมปัญญาที่ถูกต้อง เพื่อละความเห็น
ผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคลว่าไม่ใช่การบังคับไม่ให้อกุศลไม่เกิด แต่ควรรู้ในสิ่งที่เกิดแล้ว แม้
อกุศลเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นธรรมไม่ใช่เราครับ
ชีวิตคือจิตที่ดำัรงอยู่เพียงชั่วขณะอย่างนี้แล้ว ผู้มีปัญญาควรพิจารณาว่าประโยชน์
สูงสุดในการมีชีวิตอยู่ คือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าชาติ
หน้าจะได้พบพระธรรมหรือได้เกิดเป็นมนุษย์หรือไม่ แต่ชาตินี้ได้พบพระธรรมแล้ว ได้
เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ดังนั้นขณะท่านทั้งหลายอย่าล่วงเลยไป อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนใน
ภายหลัง คือขณะที่ประเสริฐ คือขณะที่ฟังพระธรรมและเข้าใจพระธรรมครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
ชีวิตน้อยด้วยเหตุ ๒ ประการ [มหานิทเทส]
ชีวิตนี้น้อยนัก [ชราสูตรที่ ๖]
ชีวิตเป็นอยู่แค่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น หมายความว่าไงคับ
สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ..เพียงชั่วขณะจิตเดียว
ชีวิตเป็นอยู่ก็เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น..... ประทับใจมากๆ ๆ
ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว เป็นความจริงอย่างนี้จริงๆ และควรที่จะได้เข้าใจว่า จิต คือ อะไร? จิต เป็นสภาพธรรมที่จริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ตั้งแต่มาจนกระทั่งถึงขณะนี้ ไม่เคยปราศจากจิตเลย มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา จิต เป็นธรรม ไม่ใช่เราไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร มีอายุยืนนานอยู่เพียงใด ก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น จิตไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันสองดวงหรือสองขณะได้ หรือ ไม่ใช่ว่าจะมีจิตดวงเดียวเกิดขึ้นเป็นสิ่งยั่งยืนตลอดไป เพราะตามความเป็นจริงแล้ว มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา อย่างไม่ขาดสาย เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เป็นวิบากบ้าง เป็นกิริยาบ้าง ตามความเป็นไปของจิต ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ทุกขณะของชีวิตคือการเกิดดับสืบต่อกันของจิต รวมถึงสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต คือ เจตสิก ด้วย ควรอย่างยิ่งที่กุศลจิตจะเกิดแทนที่จะเป็นอกุศล ถึงแม้ว่าจะเข้าใจอย่างนี้ แต่อกุศลก็เกิดขึ้นเป็นไปมากกว่ากุศล เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แต่สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ถึงแม้อกุศลจะเกิด ก็สามารถเข้าใจถึงอกุศลที่เกิดขึ้นได้ว่าเป็นธรรมไม่ใ่ช่เรา พร้อมกับมีความจริงใจที่ขัดเกลากิเลสของตนเองต่อไป ซึ่งจะตรงกับข้ามกับผู้ที่ไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไม่มีความเข้าใจพระธรรม อกุศลเกิด ก็ไม่รู้ว่าเป็นอกุศล หรือ ขณะที่เป็นกุศล ก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็นกุศล สำคัญอยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ที่จะอุปการะเกื้อกูลให้กุศลธรรมประการต่างๆ เจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ความประพฤติเป็นไปทางกาย ทางวาจา ส่องให้เห็นถึงความเข้าใจพระธรรมของแต่ละบุคคล, กิเลสอกุศลที่มีมากๆ ก็สามารถละคลาย จนกระทั่งสามารถดับได้อย่างเด็ดขาดด้วยปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับจนกระทั่งสมบูรณ์ถึงขั้นที่เป็นโลกุตตรปัญญา พระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ก่อนที่ท่านจะดับกิเลสได้ ก่อนหน้านั้น ท่านก็เ็ต็มไปด้วยอกุศล มีความประพฤติเป็นไปด้วยอำนาจของกิเลสมากมาย แต่เพราะอาศัยการสะสมปัญญา ดำเินินตามหนทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ก็สามารถดับกิเลสได้ในที่สุด มีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ ก็เพื่ออบรมเจริญปัญญา ทุกๆ วันจึงเป็นโอกาสที่ดี ที่จะได้ทำชีวิตที่ยังมีอยู่ ยังเหลืออยู่นี้ ให้เป็นชีวิตที่มีค่ามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ให้เป็นชีวิตที่มีขณะจิตที่ดี (ดี ด้วยกุศลธรรม) ด้วยการสะสมปัญญา จากการฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง สะสมอริยทรัพย์ซึ่งเป็นทรัพย์อันประเสริฐให้กับตนเองต่อไป จึงจะเป็นผู้มีชีวิตที่ไม่ว่างเปล่าจากประโยชน์ ไม่เสียชาติเกิด ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นการฟังสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ก็เข้าใจว่าจิตเกิดดับเร็วมาก,จริงๆ ก็เกินวิสัยของมนุษย์ปกติถ้าไม่ฝึก"ฌานสมถะ"ให้
จิตเคยชินที่จะนิ่งมากขึ้นเพื่อจะเห็นการเกิดดับได้ชัดเจนขึ้น,โดยทั่วไปก็ใช้"สุตตฯ,
จินตาฯ"กว่าจะถึง"ภาวนามยปัญญา"อันเป็นผลสำเร็จก็คงไม่ใช่ง่าย;ส่วนหลักปฏิบัติ
ก็คือฟังคิดให้เข้าใจ,แต่ถ้าจะให้เห็นการเกิดดับทุกขณะน่าจะยาก,แต่ถ้าจะให้รู้"จิตกุศล"
,"จิตอกุศล"ก็จะพอเป็นไปได้,และเมื่อเรา"ตามรู้เท่าทัน"เรื่อยๆ ,จิตก็จะละเอียดที่จะเห็น
กิเลสตัวในลึกละเอียดที่ฝังอยู่ในจิตส่วนละเอียดลึกลงไปและตามรู้ทันไปเรื่อยๆ ;แต่
อย่างน้อยเข้าใจว่าอกุศลหยาบๆ ภายนอกถึงอย่างไรก็ต้องพยายามฝึกควบคุมไม่ให้
หลุดออกมาให้เป็นที่กระทบคนรอบข้าง,คงไม่ถึงขนาดว่าไม่ต้องควบคุมดูแลบังคับ
อะไรเลยเพราะเข้าใจว่า"บังคับบัญชา"ไม่ได้ใช่ไหมครับ,เพียงแต่จิตภายใน"กุศล
อกุศล"จะเกิดคงควบคุมไม่ได้เพราะจิตเป็น"อนัตตา",แต่"กายกรรม,วจีกรรม"ภายนอก
คงพอควบคุมได้บ้างถ้าเป็น"กัลยาณชน"แม้อาจต้องฝืนใจฝืนความเคยชินบ้างใช่ไหม
ครับ?
จากการฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง สะสมอริยทรัพย์ซึ่งเป็นทรัพย์อันประเสริฐให้กับตนเองต่อไป จึงจะเป็นผู้มีชีวิตที่ไม่ว่างเปล่าจากประโยชน์ ไม่เสียชาติเกิด ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นการฟังสิ่งที่ประเสริฐ
ที่สุดในชีวิต
เรียนความเห็นที่ 5 ครับ
สภาพธรรมบังคับบัญชาไม่ได้ คือ จิต เจตสิก รูปไม่มีเรา มีตัวตนที่จะบังคับ กากระทำ
ทางกายก็ต้องมีจิตเป็นสมุฏฐาน มีจิตเป็นเหตุ ถ้าไม่มีจิตก็ไม่มีการแสดงออกมาทาง
กายครับ โดยนัยเดียวกับทางวาจาก็เช่นเดียวกันครับ ดังนั้นเมื่อจิตเป็นอนัตตาแล้ว
การกระทำทางกายและวาจาก็เป็นอนัตตาเช่นเดียวกัน ความเป็อนัตตาจึงเป็นสัจจะใน
ทุกๆ สภาพธรรมครับ ไม่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเลยครับ แต่เพราะสะสมปัญญามากขึ้น
กาย วาจาก็เป็นไปตามธรรมคือปัญญาที่เจริญขึ้น ปัญญาไม่ใช่เราเป็นสภาพธรรม
ดังนั้นจึงเป็นไปตามสังขารขันธ์ มีปัญญา เป็นต้นครับ ตามเหตุปัจจัและอนัตตาครับ
ขออนุโมทนาครับ