สกุณัคฆีสูตร ... วันเสาร์ที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๕

 
มศพ.
วันที่  19 ส.ค. 2555
หมายเลข  21588
อ่าน  2,039

 

 

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺสพุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิสงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
... สนทนาธรรมที่ ...

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)

 

พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ

 

สกุณัคฆีสูตร

(ว่าด้วยอารมณ์โคจร)

 

จาก...พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ -หน้า ๓๘๖

(ภาพแสดงบรรยากาศการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ในวันเสาร์ที่ ๒๖ พ.ค. ๒๕๕๕)

 

...นำสนทนาโดย...

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร

 

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๘๖

๖. สกุณัคฆีสูตร

(ว่าด้วยอารมณ์โคจร)

[๖๙๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว เหยี่ยวโฉบลงจับนก

มูลไถโดยรวดเร็ว ครั้งนั้น นกมูลไถกำลังถูกเหยี่ยวนำไป ได้รำพันอย่างนี้

ว่า เราะเป็นผู้อับโชค มีบุญน้อย ที่เที่ยวไปในถิ่นของผู้อื่น อันมิใช่ถิ่นหากิน

ถ้าวันนี้ เราไปเที่ยวในถิ่นอันเป็นของบิดาตน ซึ่งควรเที่ยวไปไซร้ เหยี่ยว

ตัวนี้ เราก็อาจต่อสู้ได้.

เหยี่ยวจึงถามว่า แน่ะนกมูลไถ ก็ถิ่นซึ่งเป็นของบิดาตน อันเป็นที่

หากินของเจ้าเป็นเช่นไร?

นกมูลไถ ตอบว่า คือ ที่ที่มีก้อนดิน ซึ่งเขาทำการไถไว้.

ครั้งนั้น เหยี่ยวหยิ่งในกำลังของตน อวดอ้างกำลังของตน ปล่อย

นกมูลไถไป พร้อมด้วยบอกว่า เจ้าจงไปเถิด นกมูลไถ เจ้าจะไปแม้ในที่นั้น

ก็ไม่พ้นเราได้. นกมูลไถจึงไปยังที่ที่มีก้อนดินซึ่งเขาทำการไถไว้ ขึ้นสู่ก้อนดิน

ใหญ่ ยืนท้าเหยี่ยวอยู่ว่า แน่ะเหยี่ยว บัดนี้ท่านจงมาจับเราเถิด แน่ะเหยี่ยว

บัดนี้ท่านจงมาจับเราเถิด. ครั้งนั้น เหยี่ยว หยิ่งในกำลังของตน อวดอ้างใน

ในกำลังของตน จึงห่อปีกทั้ง ๒ โฉบนกมูลไถโดยรวดเร็ว. ครั้งใด นกมูลไถ

รู้ว่าเหยี่ยวนี้โฉบลงมาเร็วจะจับเรา ครั้งนั้น ก็หลบเข้าซอกดินนั่นเอง. เหยี่ยว

ยังอกให้กระแทกดิน (ตาย) ในที่นั้นเทียว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องนกมูลไถ

เที่ยวไปในถิ่นอื่น อันมิใช่ถิ่นหากิน ย่อมเป็นเช่นนี้แล.

[๖๙๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่า

เที่ยวไปในอารมณ์อื่น อันมิใช่โคจร เมื่อเธอทั้งหลายเที่ยวไปในอารมณ์อื่น

อันมิใช่โคจร มารจักได้ช่อง มารจักได้อารมณ์. ก็อารมณ์อื่นอันมิใช้โคจร

ของภิกษุ คืออะไร? คือ กามคุณ ๕. กามคุณ ๕ เป็นไฉน? คือ รูปอัน

พึงรู้ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวน

ให้กำหนัด เสียงที่พึงรู้ด้วยโสต... กลิ่นที่พึงรู้ด้วยฆานะ... รสที่พึงรู้ด้วยชิวหา...

โผฏฐัพพะที่พึงรู้ด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้

ใคร่ ชวนให้กำหนัด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้ คือ อารมณ์อื่น มิใช่โคจร

ของภิกษุ.

[๗๐๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปในอารมณ์ ซึ่ง

เป็นของบิดาตน อันเป็นโคจร เมื่อเธอทั้งหลายเที่ยวไปในอารมณ์ ซึ่งเป็น

ของบิดาตน อันเป็นโคจร มารจักไม่ได้ช่อง มารจักไม่ได้อารมณ์ ก็อารมณ์

อันเป็นของบิดา อันเป็นโคจร คืออะไร? คือสติปัฏฐาน ๔. สติปัฏฐาน ๔

เป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร

มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ย่อมพิจารณาเห็น

เวทนาในเวทนาอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นในจิตอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นธรรมใน

ธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้คือ อารมณ์ซึ่งเป็นของบิดาตน อันเป็นโคจรของภิกษุ.

จบสกุณัคฆีสูตรที่ ๖

อรรถกถาสกุณัคฆีสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในสกุณัคฆีสูตรที่ ๖.

บทว่า สกุณคฺฆิ ได้แก่ ชื่อว่า สกุณัคฆิ เพราะอรรถว่า ฆ่านก.

คำนั่นเป็นชื่อของเหยี่ยว. บทว่า สหสา อชฺฌปฺปตฺตา ได้แก่ โฉบลง

โดยเร็ว เพราะความโลภ. บทว่า อลกฺขิกา ได้แก่เป็นผู้หมดสิริ. บทว่า

อปฺปปุญฺา แปลว่า เป็นผู้มีบุญน้อย. บทว่า สจชฺช มย ตัดบทเป็น

สเจ อชฺช มย ถ้าวันนี้เรา. บทว่า นงฺคลกฏกรณ ได้แก่ การทำนา

ด้วยไถ คือไถใหม่ๆ อธิบายว่าทำนา. บทว่า เลณฺฑุฏฺาน แปลว่า ที่แตก

ระแหง. บทว่า อวาทมานา คือเหยี่ยวเมื่อหยิ่ง อธิบายว่า กล่าวสรรเสริญ

กำลังของตนด้วยดี. บทว่า มหนฺต เลณฺฑุ อภิรุหิตฺวา ความว่า นกมูลไถ

กำหนดที่ก้อนดิน ๓ ก้อน ตั้งอยู่ โดยสัณฐานดังเตาไฟว่า เมื่อเหยี่ยวบิน

มาข้างนี้เราจักหลีกไปข้างโน้น เมื่อบินมาข้างโน้น เราจักหลีกไปข้างนี้ ดังนี้

ขึ้นก้อนดินก้อนหนึ่ง ในก้อนดิน ๓ ก้อนเหล่านั้น ยืนท้าอยู่. บทว่า สนฺธาย

ได้แก่ หลุบปีกดุจลู่อก คือ ตั้งไว้ด้วยดี. บทว่า พหุ อาคโต โข มยาย

ความว่า นกมูลไถรู้ว่าเหยี่ยวนี้มาสู่ที่ไกลกว่าเพื่อต้องการเรา บัดนี้จักจับเรา

ไม่ให้เหลือแต่น้อย ดังนี้ จึงหลบเข้าไปในระหว่างดินนั้นแล คล้ายน้ำอ้อยงบ

ติดอยู่ที่พื้น. บทว่า อุร ปจิจตาเฬสิ ความว่า เหยี่ยว เมื่อไม่สามารถดำรง

ความเร็วไว้ได้ เพราะแล่นไปด้วยติดว่า เราจักจับตัดหัวของนกมูลไถครั้งเดียว

กระแทกอกที่ดินนั้น ในทันใดนั้นเอง หัวใจของมันแตกแล้ว ครั้งนั้น นก

มูลไถร่าเริงยินดี ว่าเราเห็นหลังของศัตรู ดังนี้ จึงเดินไปมาตรงหัวใจ

ของเหยี่ยวนั้น.

จบอรรถกถาสกุณัคฆีสูตรที่ ๖


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 19 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความโดยสรุป

สกุณัคฆีสูตร *

(ว่าด้วยอารมณ์โคจร)

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม แก่ภิกษุทั้งหลาย โดยยกเรื่องที่เคยเกิดใน

อดีต ว่า นกมูลไถ เที่ยวไปในถิ่นของผู้อื่น อันไม่ใช่ถิ่นหากินของตน ถูกเหยี่ยวจับ

ได้ จึงเสียใจ รำพันว่าที่ถูกเหยี่ยวจับได้ก็เพราะเที่ยวไปยังถิ่นอื่น ถ้าอยู่ในถิ่นของ

ตนก็ยังสามารถต่อสู่กับเหยี่ยวได้ เหยี่ยวได้ฟังดังนั้น ก็หยิ่งในกำลังของตน ถามถึง

ถิ่นของนกมูลไถว่าอยู่ที่ใด นกมูลไถตอบว่า อยู่ที่ก้อนดินที่มีการไถ ซึ่งมีช่องให้อาศัย

อยู่ได้ เหยี่ยวจึงปล่อยนกมูลไถไปเพราะมั่นใจว่าถึงแม้จะปล่อยนกมูลไถไปแล้วใน

ที่สุดก็จะสามารถจับได้เหมือนเดิมไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม เมื่อนกมูลไถกลับไป

ยังที่อยู่ของตนแล้ว ก็ท้าเหยี่ยวให้มาจับตน เหยี่ยวก็บินลงด้วยความเร็วเพื่อที่จะ

จับนกมูลไถ นกมูลไถพอรู้ว่าเหยี่ยวกำลังบินมาจึงรีบหลบเข้าไปอาศัยอยู่ที่ก้อนดิน

จึงทำให้เหยี่ยวซึ่งบินมาด้วยความเร็วกระแทกกับก้อนดิน ตาย ณ ที่นั้นเลย

นี้เป็นเรื่องนกมูลไถที่เที่ยวไปในถิ่นอื่นอันมิใช่ถิ่นหากินของตน ย่อมประสบกับ

อันตรายเช่นนี้

เพราะฉะนั้น ภิกษุทั้งหลาย จึงไม่ควรเที่ยวไปในอารมณ์อันมิใช่โคจร (คือไม่ควร

เที่ยวไป) ได้แก่ กามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะเมื่อเที่ยวไปใน

อารมณ์เหล่านี้ มาร คือ กิเลส ย่อมได้โอกาสที่จะครอบงำกระทำอันตรายต่างๆ ได้

เพราะในขณะนั้นเป็นอกุศล ไม่ปล่อยให้เป็นกุศล

แต่ควรเที่ยวไปในอารมณ์ที่เป็นโคจร คือ สติปัฏฐาน ๔ (ระลึกรู้กาย เวทนา

จิต ธรรม) ซึ่งเป็นอารมณ์ของบิดาตน [บิดา คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า] เพราะเมื่อ

เจริญสติปัฏฐาน ๔ มาร คือ กิเลส ย่อมครอบงำไม่ได้.

หมายเหตุ คำว่า สกุณัคฆี (สะ - กุ - นัก - คี) แปลว่า เหยี่ยว

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นได้ที่นี่ ครับ

สกุณัคฆิชาดก [นกมูลไถ กับ เหยี่ยว]

กามคุณ ๕

มาร ๕ [กิเลสมาร...ตอนที่ ๒]

โลภะยังสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ให้เกิด

การเจริญสติปัฏฐานกับการเจริญขึ้นของกุศล

สภาพธรรมะต่างๆ เป็นสติปัฏฐาน

ก่อนจะถึง...สติ-ปัฏฐาน !

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 19 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อธิบาย สกุณัคฆีสูตร

พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง มีหลากหลายนัย โดยยกอุปมาต่างๆ กัน ดังเช่น

พระสูตรคราวที่แล้ว ที่แสดงถึง ลิงโง่ที่ทแที่ยวไปในที่ไม่ควร ก็ถูกฆ่า พระสูตรนี้ ก็

อุปมา โดยเป็นนก ที่เที่ยวไปในที่ไม่ควร ก็ถูกเหยี่ยวจับ ซึ่งเนื้อหา อรรถ ก็ไม่ต่างกัน

คือ ควรเป็นผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน 4 ที่เป็นเที่ยวไปอันควร เพราะ ทำให้รู้ความ

จริงของสภาพธรรมในขณะนี้ แต่ที่สำคัญก็ต้องยอมรับความจริงว่า ยังเป็นลิงโง่ ยัง

เป็นนก ที่ถูก เยี่ยว คือ กิเลส จับไว้ เป็นประจำ เพราะฉะนั้น เมืออ่านพระสูตรนี้

ประโยชน์ คือ เข้าใจถึงความเป็นจริงและเข้าใจถูกในขั้นการฟังว่า ยังเป็นผู้ที่มีกิเลส

ติดข้องในกามคุณ เป็นธรรมดา และเที่ยวไปในอารมณืที่ทำให้ติดข้อง และเกิดกิเลส

ประการต่างๆ หนทางที่ถูก จึงไม่ใช่ จะมีเรา จะมีตัวตน ที่จะพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ติด

ข้อง ในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะ ในความเป็นจริง อารมณื เหล่านี้

ก็มีปรากฎฬนชีวิตประจำวัน และเกิดกิเลสในาอารมณ์เหล่านี้ เมื่อเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น

ลิ้มรส แต่ หนทางที่ถูก คือ การอบรมปัญญา ขั้นการฟัง ศึกษาพระธรรมไปเรื่อยๆ

โดย ไม่ได้กังวล ว่าจะถูกมาร ถูกกิเลสทำให้ติดข้องหรือไม่ หรือ พยายามหลีกหนี

อารมณ์ กามคุณ 5 เพราะ เป็นไปไม่ได้ และเป็นอนัตตา เมื่ออบรมเหตุ คือ การอบรม

ปัญญาไปเรื่อยๆ เมื่อปัญญาถึงพร้อม สำคัญที่สุดคือ อารมณ์เดียวกันนั่นเอง ที่เป็น

กามคุณ 5 ที่ปรากฎในชีวิตประจำวัน จากที่เคยติดข้อง ก็เกิดสติปัฏฐาน ระลึกรู้

ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป้น รูป ..สิ่งที่กระทบสัมผัส ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา

ดังนั้น อารมณ์เดียวกัน เกิดกับผู้ไม่มีปัญญา ก็ติดข้อง และ ในชีวิตประจำวันอีกนั่นเอง

อารมณ์เดียวกันนั้น แต่ปรากฎกับผู้มีปัญญา ย่อมรู้ตามความเป็นจริ จึงไม่ต้องไป

หลีกหนีกามคุณ 5 เพราะ ไม่มีตัวตนที่จะหลีกหนี แต่ปัญญาต่างหากที่เกิดขึ้น จะหลีก

หนีจากความเป็นอกุศล และ ละความไม่รู้ เกิดกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ครับ ซึ่งสติ

ปัฏฐานก็ต้องยอมรับว่ายากและไกล เพราะฉะนั้นอ่านพระสูตรนี้ เข้าใจว่า ไม่ต้องมี

ตัวตนที่จะทำ สติปัฏฐาน ไม่มีตัวตนที่จะหลีกหนีกามคุณ 5 แต่อบรมปัญญา ด้วยการ

ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไปเท่านั้น ครับ ก็จะค่อยๆ เป็นนกที่ฉลาดขึ้น ที่หลีก

หนีเหยี่ยวได้ในที่สุด เพราะ มีัปัญญารู้ตามความเป็นจริง ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เข้าใจ
วันที่ 19 ส.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ ทีมงานบ้านธัมมะ และอาจารย์คำปั่น อาจารย์ผเดิม และทุกๆ ท่านครับ กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 20 ส.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 20 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Graabphra
วันที่ 20 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nong
วันที่ 20 ส.ค. 2555

ชอบพระสูตรบทนี้มากค่ะ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 20 ส.ค. 2555
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
tusaneenui
วันที่ 21 ส.ค. 2555
ขอบพระคุณ อจ.ทุกท่านที่กรุณาให้ความกระจ่าง และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ทัศนีย์ตั่ง
วันที่ 21 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณ อจ. ทุกท่าน และขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
kanchana.c
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของทีมงานมูลนิธิทุกท่าน ถ้าไม่มีศรัทธาในการเจริญกุศล ทำไม่ได้ขนาดนี้นะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Lamphun
วันที่ 23 ส.ค. 2555

การอบรมปัญญาไปเรื่อยๆ เมื่อปัญญาถึงพร้อม
สำคัญที่สุดคือ อารมณ์เดียวกันนั่นเอง
ที่เป็นกามคุณ 5 ที่ปรากฎในชีวิตประจำวัน จากที่เคยติดข้อง
ก็เกิดสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ปวีร์
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
swanjariya
วันที่ 26 ส.ค. 2555

ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
Jans
วันที่ 26 ส.ค. 2555
ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
swanjariya
วันที่ 1 ก.ย. 2555

ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
tusaneenui
วันที่ 5 ก.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ