เกี่ยวกับวิถีจิต

 
นิรมิต
วันที่  19 ก.ย. 2555
หมายเลข  21759
อ่าน  1,077

กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน

ทางปัญจทวารวิถี ขณะที่จิตเห็น ขณะเดียว ขณะนั้นแค่เห็น เป็นวิบาก เป็นอพยกต ถูกต้องใช่ไหมครับ หลังจากนั้นจึง ... แล้ว ... หลังจากนั้น ...

ส่วนทางมโนทวาร ขณะที่เป็นโวฏฐัพพนะ (หรือมโนทวาราวัชชนะ) ขณะนั้นทำกิจคนละอย่างกับ โวฏฐัพพนะทางปัญจทวารใช่ไหม แล้วต่างกันยังไง

แล้ว มโนทวารวิถี ที่เกิดหลังจากปัญจทวารวิถีดับหมดแล้ว มโนทวารวิถีนั้น ต่างกับ มโนทวารวิถี วิถีอื่นๆ ปรกติ อย่างไร เช่น มโนทวารวิถีที่เกิดต่อจากปัญจทวารวิถี (สมมติว่าเป็นทางตา) ต่างกับ มโนทวารวิถีที่ "นึก" ถึงสีอันนั้น อย่างไร ในเมื่อก็มีสีที่ปรากฏทางตาอันนั้น/อันเดียวกัน เป็นอารมณ์เหมือนกัน (หรือเปล่า?)


แล้วถ้าเข้าใจอย่างนี้ถูกไหมครับ

ขณะที่มโนทวารวิถี นึกถึงรูปารมณ์อันหนึ่งอันใด อย่างเช่น นึกถึงต้นไม้ ในจิตมีภาพต้นไม้ปรากฏ (ทางใจ) ขณะนั้น ที่ภาพต้นไม้ปรากฏ นั่นคือ มโนทวาราวัชชนะจิต (โวฏฐัพพนะ) ใช่ไหมครับ เป็นกิริยา

แล้วทีนี้ พอนึกถึงต้นไม้เสร็จแล้ว หลังจากนั้นชวนจิตเกิด ขณะที่ชวนจิตเกิด สมมติว่าเป็นโลภะ ขณะนั้น ไม่มีภาพต้นไม้ ปรากฏในใจเลย มีแต่ลักษณะของอาการพอใจ ไม่ใช่ว่าเกิดควบคู่กันไปกับภาพต้นไม้ที่ปรากฏทางใจ คือไม่ใช่พอใจไปด้วยมีภาพต้นไม้ปรากฏทางใจไปด้วย ใช่ไหมครับ

ทีนี้วิถีนั้นที่มีภาพต้นไม้เป็นอารมณ์ดับไปแล้ว (อาจจะเกิดดับไปแล้วหลายขณะมาก)

คราวนี้ มโนทวารวิถีต่อไป สมมติว่าเกิดสติ ระลึกได้ว่าทางชวนวิถีของวิถีจิตหลายวิถีก่อนหน้านี้เป็นโลภะ มโนทวาราวัชนะจิตขณะนั้น มีโลภเจตสิก ของชวนจิตก่อนหน้าวิถีนั้น เป็นอารมณ์ (โดยที่ขณะนั้นไม่ใช่โลภะ เพราะเป็นกิริยา) ถูกต้องใช่ไหมครับ

แล้วพอเป็นชวนจิตของวิถีตัวเอง จึงเป็นสติ ๗ ขณะ ระลึกไปในมโนทวาราวัชชนะจิตในวิถีตัวเอง ที่มีโลภะของชวนวิถีก่อนหน้านี้เป็นอารมณ์ ไม่ใช่ว่ามีโลภะจริงๆ ของวิถีก่อนหน้านี้ เป็นอารมณ์ พูดง่ายๆ ก็คือมีกิริยาจิตเป็นอารมณ์ (เพราะมโนทวาราวัชชนะจิตเป็นกิริยาจิต) อย่างนี้ใช่ไหมครับ

หลังจากนี้ สมมติว่า สติเกิดระลึก สติที่ดับไปในวิถีก่อนหน้านี้ ก็ทำนองเดียวกัน คือ มโนทวารวิถีต่อจากนี้ ก็มีมโนทวาราวัชชนะจิตที่มีสติ ๗ ขณะในวิถีจิตก่อนหน้านั้นเป็นอารมณ์ แล้วพอเป็นชวนวิถีตัวเองก็มีเป็นสติอีก ๗ ขณะ ที่ระลึกไปในมโนทวาราวัชชนะในวิถีตัวเอง ที่มีสติของชวนวิถีก่อนหน้านั้นเป็นอารมณ์ ใช่ไหมครับ

แล้ว ขณะที่มโนทวาราวัชชนะจิตเกิดขึ้น มีชวนวิถี (ซึ่งไม่เป็นกุศลก็อกุศล) เป็นอารมณ์ หลังจากนั้นเกิดสติระลึก ขณะนั้นสติระลึกได้ในชวน ดวงไหน ในเมื่อมีตั้ง ๗ ดวง?

แล้วสตินี่ เกิดขึ้น ระลึกตัวเองตอนนั้นเลยไม่ได้ใช่ไหม คือ ระลึกตัวเองขณะนั้นเป็นอารมณ์เพียวๆ ไม่ได้ เพราะขณะนั้น ตัวเองเพิ่งเกิด และยังไม่ดับ ก็ไม่ใช่ฐานะ ที่จะระลึกตัวเองได้


คำถามเบ็ดเตล็ดครับ :

๑. สติเกิดระลึกภวังค์ไม่ได้ แล้วระลึกปัญจทวาราวัชนะ สัมปฏิจฉันนะ และโวฏฐัพพนะ ได้ไหม (ทางปัญจทวาร)

๒. สงสัยว่าทางมโนทวารวิถี ปรกติถ้าเป็นวิถีที่เกิดต่อจากปัญจทวารทันที ทำไมยังจะต้องมี ตทาลัมพนะ ในเมื่อรูปก็ดับไปแล้ว ขณะนั้นรับอารมณ์ต่อโดยเป็นทางใจ แล้วตทาลัมพนะทางมโนทวาร ตอนนั้นเกิดทำกิจรับรู้อะไร? เพราะมโนทวารที่ไม่ได้รับอารมณ์ต่อจากปัญจทวารวิถีทั่วๆ ไป ก็ไม่ได้มี ตทาลัมพนะ

ขอกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาทุกๆ คำตอบเป็นอย่างสูงครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
นิรมิต
วันที่ 21 ก.ย. 2555

ขออนุญาตเรียนถามเพิ่มเติมเล็กน้อยครับ

๑. ลักษณะ * เข้าใจ * เป็นมโนทวาราวัชชนะ หรือเป็นชวนวิถี ๗ ขณะ ครับ?

๒. ขณะที่วิปัสสนาญาณเกิด ตั้งแต่นามรูปปริจเฉทญาณ ไปจนถึง ก่อนถึงโคตรภูญาณเป็นญาณที่มีแล้วเสื่อมได้ใช่ไหมครับ แล้วขณะที่มี ขณะนั้นก็รู้แจ้งประจักษ์จริงในสภาพธรรมต่างๆ แต่พอวิปัสสนาญาณเหล่านั้นดับไปแล้ว หลังจากนั้น วิจิกิจฉายังจะสงสัยได้ไหมว่า ที่วิปัสสนาญาณดังกล่าวเหล่านั้น เป็นของจริงหรือเปล่า ใช่แน่หรือเปล่า ยังจะสงสัยได้ไห

คือตอนประจักษ์ก็ไม่สงสัย แต่หลังจากนั้นสงสัยได้ไหม?

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
นิรมิต
วันที่ 21 ก.ย. 2555

อีกคำถามครับ

ขณะที่พูดคำว่า อย่างเช่น "ข้าว"

ซึ่งตามที่เรียนเรื่องการออกเสียง กว่าคำว่า "ข้าว" จะเปล่งออกมาจนจบ ต้องเริ่มจาก ขะ-อ้า-ว จำแนกโดยหยาบๆ ก็เป็น ๓ ขณะเสียง ซึ่งเร็วจริงๆ

ซึ่งตามที่ผมพอจะระลึกได้ กว่าจะเข้าถึงความรู้สึกว่า ชอบใจในเสียงนั้น หรือไม่ชอบ ก็เข้าไปถึงขณะที่ลงท้าย -ว คือ จบเป็นคำว่า ข้าว เรียบร้อยแล้ว ก็พอใจ พอพอใจเสร็จ ก็เข้าใจความหมาย พอเข้าใจความหมายเสร็จ ก็ปรากฏรูปข้าวเป็นจานๆ หรือเป็นเมล็ดข้าวในใจ พอมารสข้าวจะเกิดต่อบ้าง ไม่เกิดบ้าง แล้วแต่ขณะ

นี่คือ เท่าที่ระลึกได้ แยกออกมาได้เท่านี้ ไม่ทราบว่า ก่อนหน้านั้น ไอ้ตรงที่เป็น ๒ ขณะแรกคือ ขะ-อ้า มันสั้นมากจริงๆ ไม่รู้ และระลึกไม่ทันเลยว่า มีชวนวิถี ที่พอใจ ไม่พอใจ ไม่ทราบว่าจะอนุมานเอาเอง ว่าเป็นลักษณะของรูปที่ดับไปก่อนถึงชวนวิถีรึเปล่า เป็นวิถีที่ไม่มีชวนจิตหรือเปล่า

หรือตามจริงแล้วก็มี แต่ระลึกไม่ทัน หรือไม่มีก็ได้ แล้วแต่

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 24 ก.ย. 2555
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทางปัญจทวารวิถี ขณะที่จิตเห็น ขณะเดียว ขณะนั้นแค่เห็น เป็นวิบาก เป็นอพยากต ถูกต้องใช่ไหมครับ
- ขณะที่เห็นเป็นเพียงวิบาก ครับ เป็นอพยกฤต ถูกต้อง ครับ
ส่วนทาง มโนทวาร ขณะที่เป็นโวฏฐัพพนะ (หรือมโนทวาราวัชชนะ) ขณะนั้นทำกิจคนละอย่างกับ โวฏฐัพพนะทางปัญจทวารใช่ไหม แล้วต่างกันยังไง

เชิญคลิกฟังที่นี่ ครับ

โวฏฐัพพนจิต กับ มโนทวาราวัชชนจิต เกี่ยวข้องกันอย่างไร

มโนทวาราวัชชนจิต กับ โวฏฐัพพนกิจ

แล้ว มโนทวารวิถี ที่เกิดหลังจากปัญจทวารวิถีดับหมดแล้ว มโนทวารวิถีนั้น ต่างกับมโนทวารวิถี วิถีอื่นๆ ปรกติ อย่างไร เช่น มโนทวารวิถี ที่เกิดต่อจากปัญจทวารวิถี (สมมติว่าเป็นทางตา) ต่างกับ มโนทวารวิถีที่ "นึก" ถึงสีอันนั้น อย่างไร ในเมื่อก็มีสี ที่ปรากฏทางตาอันนั้น/อันเดียวกัน เป็นอารมณ์เหมือนกัน (หรือเปล่า?)

- มโนทวารวิถีวาระแรก ยังมี ปรมัตเป็นอารมณ์ ที่สืบเนื่องกันไป แต่มโนทวารวิถีหลังๆ นึกคิดถึงรูปร่างสัณฐาน มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ครับ

แล้วถ้าเข้าใจอย่างนี้ถูกไหมครับ

ขณะที่มโนทวารวิถี นึกถึงรูปารมณ์อันหนึ่งอันใด อย่างเช่น นึกถึงต้นไม้ ในจิต มีภาพต้นไม้ปรากฏ (ทางใจ) ขณะนั้น ที่ภาพต้นไม้ปรากฏ นั่นคือ มโนทวาราวัชชนจิต (โวฏฐัพพนะ) ใช่ไหมครับ เป็นกิริยา

แล้วทีนี้ พอนึกถึงต้นไม้เสร็จแล้ว หลังจากนั้นชวนจิตเกิด ขณะที่ชวนจิตเกิด สมมติว่าเป็นโลภะ ขณะนั้น ไม่มีภาพต้นไม้ปรากฏในใจเลย มีแต่ลักษณะของอาการพอใจ ไม่ใช่ว่าเกิดควบคู่กันไปกับภาพต้นไม้ที่ปรากฏทางใจ คือไม่ใช่พอใจไปด้วยมีภาพต้นไม้ปรากฏทางใจไปด้วย ใช่ไหมครับ

- ขณะที่ชวนจิตเกิด ก็ต้องมีอารมณ์ของชวนจิต ของโลภะที่เกิด เพราะฉะนั้น โลภะก็ต้องมีอารมณ์ที่ติดข้อง นั่นก็คือ มีรูปร่าง สัณฐานที่เป็นต้นไม้ เป็นอารมณ์ของโลภะในขณะนั้น ครับ

ทีนี้วิถีนั้นที่มีภาพต้นไม้เป็นอารมณ์ดับไปแล้ว (อาจจะเกิดดับไปแล้วหลายขณะมาก) คราวนี้มโนทวารวิถีต่อไป สมมติว่าเกิดสติ ระลึกได้ว่าทางชวนวิถีของวิถีจิตหลายวิถีก่อนหน้านี้เป็นโลภะ มโนทวาราวัชชนจิตขณะนั้น มีโลภเจตสิก ของชวนจิตก่อนหน้าวิถีนั้นเป็นอารมณ์ (โดยที่ขณะนั้นไม่ใช่โลภะ เพราะเป็นกิริยา) ถูกต้องใช่ไหมครับ

- มโนทวาราวัชชนจิต เป็นกิริยาจิต ไม่ว่าจะมีอารมณ์เป็นโลภะ หรือ กุศลจิต หรืออะไรก็ตาม ก็ต้องเป็นกิริยาจิตเสมอ ซึ่ง สามารถมีอารมณ์เป็นโลภะได้ แต่ตัวมโนทวาราวัชชนจิต เป็นกิริยาจิตในขณะนั้น ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 24 ก.ย. 2555

แล้วพอเป็นชวนจิตของวิถีตัวเอง จึงเป็นสติ ๗ ขณะ ระลึกไปในมโนทวาราวัชชนจิตในวิถีตัวเอง ที่มีโลภะของชวนวิถีก่อนหน้านี้เป็นอารมณ์ ไม่ใช่ว่ามีโลภะจริงๆ ของวิถีก่อนหน้านี้เป็นอารมณ์ พูดง่ายๆ ก็คือ มีกิริยาจิตเป็นอารมณ์ (เพราะมโนทวาราวัชชนจิตเป็นกิริยาจิต) อย่างนี้ใช่ไหมครับ

- ชวนจิตจะต้องมีโลภะ เป็นอารมณ์ ไม่ใช่ มีกิริยาจิตเป็นอารมณ์ ครับ เพราะขณะนั้นกำลังรู้ลักษณะที่เพิ่งดับไป ที่เป็นปัจจุบันสันตติ คือ สืบเนื่องในปัจจุบันอย่างรวดเร็ว ครับ


หลังจากนี้ สมมติว่าสติเกิดระลึก สติที่ดับไป ในวิถีก่อนหน้านี้ ก็ทำนองเดียวกัน คือ มโนทวารวิถีต่อจากนี้ ก็มี มโนทวาราวัชชนจิตที่มีสติ ๗ ขณะ ในวิถีจิตก่อนหน้านั้นเป็นอารมณ์ แล้วพอเป็นชวนวิถีตัวเองก็มีเป็นสติอีก ๗ ขณะ ที่ระลึกไปในมโนทวาราวัชชนะในวิถีตัวเอง ที่มีสติของชวนวิถีก่อนหน้านั้นเป็นอารมณ์ ใช่ไหมครับ

- จะต้องมี สติ เป็นอารมณ์ ไม่ใช่ มโนทวาราวัชชนจิตเป็นอารมณ์ ครับ


แล้ว ขณะที่ มโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้น มีชวนวิถี (ซึ่งไม่เป็นกุศลก็อกุศล) เป็นอารมณ์ หลังจากนั้นเกิดสติระลึก ขณะนั้น สติระลึกได้ในชวน ดวงไหน ในเมื่อมีตั้ง ๗ ดวง? แล้วสตินี่ เกิดขึ้น ระลึกตัวเองตอนนั้นเลยไม่ได้ใช่ไหม คือ ระลึกตัวเองขณะนั้นเป็นอารมณ์เพียวๆ ไม่ได้ เพราะขณะนั้น ตัวเองเพิ่งเกิด และยังไม่ดับ ก็ไม่ใช่ฐานะ ที่จะระลึกตัวเองได้

- สติ ๗ ขณะ ก็มีอารมณ์เดียวกันหมด เริ่มจากชวนจิตดวงที่ ๑ ครับ จนถึง ๗

- ส่วน สติไม่สามารถระลึกตัวมันเองได้ เปรียบเหมือนจะเอาปลายนิ้วชี้ ไปจี้,จรดปลายนิ้วชี้ตัวเองไม่ได้ ครับ เพราะอารมณ์ของสติตอนนั้น ไม่ใช่ตัวสติที่เกิด แต่เป็นอารมณ์อย่างอื่น ในขณะนั้น ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 24 ก.ย. 2555

๑. สติเกิดระลึกภวังค์ไม่ได้ แล้วระลึกปัญจทวาราวัชนะ สัมปฏิจฉันนะ และโวฏฐัพพนะได้ไหม (ทางปัญจทวาร)

- ได้ ครับ แต่ต้องเป็นปัญญาของผู้มีปัญญามากๆ ดังเช่น ท่านพระสารีบุตร เป็นต้น

๒. สงสัยว่าทางมโนทวารวิถี ปรกติถ้าเป็นวิถีที่เกิดต่อจากปัญจทวารทันที ทำไมยังจะต้องมี ตทาลัมพนะ ในเมื่อรูปก็ดับไปแล้ว ขณะนั้นรับอารมณ์ต่อโดยเป็นทางใจ แล้ว ตทาลัมพนะทางมโนทวาร ตอนนั้นเกิดทำกิจรับรู้อะไร? เพราะมโนทวารที่ไม่ได้รับอารมณ์ต่อจากปัญจทวารวิถีทั่วๆ ไปก็ไม่ได้มีตทาลัมพนะ

เชิญคลิกฟังที่นี่ครับ

ตทาลัมพณจิตทางปัญจทวารและมโนทวาร

ตทาลัมพณกิจ


๑. ลักษณะ * เข้าใจ * เป็นมโนทวาราวัชชนะ หรือเป็นชวนวิถี ๗ ขณะ ครับ?

- เข้าใจ คือ ปัญญา หรือ อโมหเจตสิก เกิดกับจิตที่เป็นกุศล และ จิตที่ดีงาม ซึ่งกุศลจิตและจิตที่ดีงาม เกิดที่ ชวนวิถี ๗ ขณะครับ ไม่ใช่ มโนทวาราวชนจิต

๒. ขณะที่ วิปัสสนาญาณ เกิด ตั้งแต่ นามรูปปริจเฉทญาณไปจนถึง ก่อนถึงโคตรภูญาณ เป็นญาณที่มีแล้วเสื่อมได้ใช่ไหมครับ แล้วขณะที่มี ขณะนั้นก็รู้แจ้งประจักษ์จริงในสภาพธรรมต่างๆ แต่พอวิปัสสนาญาณเหล่านั้นดับไปแล้ว หลังจากนั้น วิจิกิจฉายังจะสงสัยได้ไหมว่า ที่วิปัสสนาญาณ ดังกล่าวเหล่านั้น เป็นของจริงหรือเปล่า ใช่แน่หรือเปล่า ยังจะสงสัยได้ไหม

คือตอนประจักษ์ก็ไม่สงสัย แต่หลังจากนั้นสงสัยได้ไหม?

- ปัญญาเกิดแล้ว จึงไม่สงสัย เปรียบเหมือนได้เห็น ดอกไม้ดอกนี้แล้ว ด้วยตา ไม่ใช่มีคนบอกเล่า จึงไม่สงสัยในปัญญา ที่ประจักษ์ ในแต่ละขั้น แต่ยังสงสัยใน วิปัสสนาญาณในขั้นที่ไม่ได้ประจักษ์ได้ เพราะ ยังไม่ได้ประจักษ์ด้วยปัญญา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 24 ก.ย. 2555

ขณะที่พูดคำว่า อย่างเช่น "ข้าว"

ซึ่งตามที่เรียนเรื่องการออกเสียง กว่าคำว่า "ข้าว" จะเปล่งออกมาจนจบ ต้องเริ่มจากขะ-อ้า -ว จำแนกโดยหยาบๆ ก็เป็น ๓ ขณะเสียง ซึ่งเร็วจริงๆ

ซึ่งตามที่ผมพอจะระลึกได้ กว่าจะเข้าถึงความรู้สึกว่า ชอบใจในเสียงนั้น หรือไม่ชอบ ก็เข้าไปถึงขณะที่ลงท้าย -ว คือ จบเป็นคำว่า ข้าว เรียบร้อยแล้ว ก็พอใจ พอพอใจเสร็จก็เข้าใจความหมาย พอเข้าใจความหมายเสร็จ ก็ปรากฏรูปข้าวเป็นจานๆ หรือเป็นเมล็ดข้าวในใจ พอมารสข้าวจะเกิดต่อบ้าง ไม่เกิดบ้าง แล้วแต่ขณะ

นี่คือเท่าที่ระลึกได้ แยกออกมาได้เท่านี้ ไม่ทราบว่า ก่อนหน้านั้น ไอ้ตรงที่เป็น ๒ ขณะ แรกคือ ขะ-อ้า มันสั้นมากจริงๆ ไม่รู้ และระลึกไม่ทันเลยว่า มีชวนวิถีที่พอใจ ไม่พอใจ ไม่ทราบว่า จะอนุมานเอาเองว่า เป็นลักษณะของรูปที่ดับไป ก่อนถึงชวนวิถีรึเปล่า เป็น วิถีที่ไม่มีชวนจิตหรือเปล่าหรือตามจริงแล้วก็มี แต่ระลึกไม่ทัน หรือไม่มีก็ได้ แล้วแต่

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ อีกคำถามครับ

ขณะที่พูดคำว่า อย่างเช่น "ข้าว" ซึ่งตามที่เรียนเรื่องการออกเสียง กว่าคำว่า "ข้าว" จะเปล่งออกมาจนจบ ต้องเริ่มจาก ขะ-อ้า-ว จำแนกโดยหยาบๆ ก็เป็น ๓ ขณะเสียง ซึ่งเร็วจริงๆ ซึ่งตามที่ผมพอจะระลึกได้ กว่าจะเข้าถึงความรู้สึกว่า ชอบใจในเสียงนั้น หรือไม่ชอบ ก็เข้าไปถึงขณะที่ลงท้าย -ว คือ จบเป็นคำว่า ข้าว เรียบร้อยแล้ว ก็พอใจ พอพอใจเสร็จก็เข้าใจความหมาย พอเข้าใจความหมายเสร็จก็ปรากฏรูปข้าวเป็นจานๆ หรือเป็นเมล็ดข้าวในใจ พอมารสข้าวจะเกิดต่อบ้าง ไม่เกิดบ้าง แล้วแต่ขณะ

นี่คือเท่าที่ระลึกได้แยกออกมาได้เท่านี้ ไม่ทราบว่า ก่อนหน้านั้น ไอ้ตรงที่เป็น ๒ ขณะแรกคือ ขะ-อ้า มันสั้นมากจริงๆ ไม่รู้ และระลึกไม่ทันเลยว่า มีชวนวิถีที่พอใจ ไม่พอใจ ไม่ทราบว่าจะอนุมานเอาเองว่า เป็นลักษณะของรูปที่ดับไป ก่อนถึงชวนวิถีรึเปล่า เป็นวิถีที่ไม่มีชวนจิตหรือเปล่าหรือตามจริงแล้วก็มี แต่ระลึกไม่ทัน หรือไม่มีก็ได้ แล้วแต่

- เป็นเรื่องที่นึกคิดทั้งหมด ไม่สามารถประจักษ์ได้ละเอียดอย่างนั้นครับ ต้องเป็นปัญญาระดับสูงมากๆ เพราะฉะนั้น สำคัญ คือ การฟังพระธรรมต่อไป ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นปรุงแต่งไปทีละน้อยเอง ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
นิรมิต
วันที่ 24 ก.ย. 2555

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนา อ.ผเดิม ครับ

แสดงว่าผมไปติดกับเรื่องคิดนึกที่เป็นคำๆ กับเรื่องราวของวิถีจิต ที่คิดเอง ไม่ได้ไประลึกจริงๆ ที่ตัวลักษณะของสภาพธรรมต่างๆ อย่างนี้ ควรจะเจริญสติต่อไปอย่างไรให้ถูกต้อง ไม่เป็นเรื่องคิดนึกเองครับ

ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
paderm
วันที่ 24 ก.ย. 2555

เรียนความเห็นที่ 7 ครับ

ฟังพระธรรมต่อไปเท่านั้นครับ ในเรื่องสภาพธรรม โดยไม่ต้องกังวล ปัญญาก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นเองครับ และอนาคตก็จะค่อยๆ รู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้

ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เบาด้วยความเข้าใจพระธรรม ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ก.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ