อยากรู้นะครับ

 
Gorn
วันที่  26 ต.ค. 2555
หมายเลข  21961
อ่าน  2,058

ตอนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้มีนางตัณหา ราคา อรดี มารบเร้า ทั้งสามเป็นมาร

อยากทราบว่า ทั้งสามเป็นอะไรมาร แต่ที่ทราบมาเห็นหลายคนบอกว่า เป็นกิเลสมาร ในเมื่อเป็นกิเลสมาร พระพุทธองค์ยังมีกิเลสอยู่หรือครับ?


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 26 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่น ก็ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นว่า มาร คือ อะไร มีความละเอียดอย่างไร

คำว่า มาร โดยศัพท์หมายถึง ทำให้ตาย, ข้าศึกทั้งปวง, ขัดขวางไม่ให้ความดีเจริญขึ้น ที่ละเอียดไปกว่านั้น หมายถึงสภาพธรรมที่เกิดดับ หมายถึงวัฏฏะ ด้วย

มาร มี ๕ อย่าง ได้แก่

- ขันธมาร (มาร คือ ขันธ์) ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ซึ่งเป็นสภาพธรรม ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล

- กิเลสมาร (มาร คือ กิเลส) ได้แก่ กิเลสประการต่างๆ มี โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ถ้าเกิดขึ้นก็หักรานซึ่งคุณความดี ขัดขวางไม่ให้ความดีเกิดขึ้่น

- อภิสังขารมาร (มาร คือ อภิสังขาร) ได้แก่ เจตนาเจตสิก อันได้แก่ กุศลกรรมและอกุศลกรรม อันเป็นเหตุให้เกิดในวัฏฏะ เวียนว่าย ตาย เกิด อย่างไม่มีวันจบสิ้น

- มัจจุมาร มาร คือ ความตาย

- เทวบุตรมาร (มารคือ เทพบุตร) ได้แก่ เทวดาผู้ขัดขวางความดีของผู้อื่น

ดังนั้น มาร มีหลากหลายนัยมาก ทั้งที่เป็นสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ก็ชื่อว่ามาร กิเลสประการต่างๆ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่หักรานซึ่งคุณความดี ก็เป็น มาร และโดยนัยที่เป็นสัตว์ บุคคล ที่เป็นเทพบุตร ที่คอยขัดขวางความดีของผู้อื่น ก็ชื่อว่า มาร

จากประเด็นคำถามนั้น ทั้งนางตัณหา นางอรดี และ นางราคา ต่างก็เป็น มาร ด้วยกันทั้งนั้น คือ เป็นธิดามาร เป็นมารจริงๆ เป็นมารโดยนัยที่เป็นสัตว์ บุคคล ที่คอยขัดขวางความดีของผู้อื่น ปรารถนาให้ผู้อื่นอยู่ในวัฏฏะ เป็นมารจริงๆ ซึ่งว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากจิต เจตสิก รูป โดยเฉพาะสภาพจิตที่เป็นอกุศล เกิดขึ้นเป็นไป มีกิเลสประการต่างๆ เกิดร่วมด้วย ปรารถนาที่จะรังควาน แม้กระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า [กิเลสที่เกิดขึ้นก็เป็นกิเลสของธิดามาร ไม่ใช่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า] ซึ่งตอนนั้นธิดามารทั้ง ๓ เห็นว่าบิดาของตน คือ พญามาร ประสบกับความเศร้าโศกอย่างยิ่ง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ แม้ตนเองจะคอยติดตามเพื่อจับผิดพระองค์ ก็ไม่สามารถจะพบเห็นความพลั้งพลาดของพระองค์ได้เลย (ธิดามาร ทั้ง ๓) จึงอาสาที่จะทำให้พระพุทธเจ้าอยู่ในอำนาจของตนให้จงได้

พญามารได้กล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว เป็นพระอรหันต์ ไม่มีใครสามารถจะทำให้พระองค์เกิดราคะ ความติดข้องต้องการได้เลย

จะเห็นได้ว่าในตอนนั้น พระองค์ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ทรงเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง จึงไม่มีเหตุใดๆ ที่จะทำให้กิเลสเกิดขึ้นได้ เพราะ การที่จะติดข้องยินดีพอใจนั้น เป็นเรื่องของบุคคล ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่เท่านั้น ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

ธิดามาร ... สังยุตตนิกาย สคาถวรรค

เรื่องมารธิดา ... ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท

มาร ๕ [ข้าศึกทั้งปวง ... ตอนที่ ๑]

มาร ๕ [กิเลสมาร ... ตอนที่ ๒]

มาร ๕ [ขันธมาร ... ตอนที่ ๓]

มาร ๕ [อภิสังขารมาร ... ตอนที่ ๔]

มาร ๕ [มัจจุมาร ... ตอนที่ ๕]

[เทวบุตรมาร ... ตอนที่ ๖ ... จบ]

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 26 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

มาร คือ สภาพธรรมที่ขัดขวาง การทำความดี ซึ่ง ก็มีทั้งนัย ที่เป็นปรมัตถ์ คือ สภาพธรรมที่เป็นมาร และ โดยนัยสมมติสัจจะ คือ สัตว์ บุคคล ที่เป็นมาร แต่ให้เข้าใจพื้นฐานก่อนครับว่า เพราะ อาศัยการเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็น จิต เจตสิก และ รูป ซึ่งเป็นมาร โดยสภาพธรรม จึงมีมาร ที่สมมติบัญญัติว่าเป็นสัตว์ บุคคล ครับ

ดังนั้น มาร โดยนัย สัจจะ ประการหนึ่ง ที่ขัดขวางความดี ก็ต้องเป็นสภาพธรรมที่เป็นอกุศลจิต อกุศลธรรม ขณะใดที่มีอกุศลเกิดขึ้น ขณะนั้นขัดขวางความดี ซึ่ง สัตว์โลกที่เกิดมา ก็มีจิต เจตสิก เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีจิตที่เป็นอกุศลและกุศลเกิดขึ้นเป็นไป แต่ก็มีสัตว์โลกบางจำพวกที่สะสมความไม่ดีมามาก ทำให้เป็นผู้เห็นผิด ไม่ชื่นชมความดี ต่อต้านขัดขวางการทำความดีของบุคคลต่างๆ เพราะฉะนั้น เราจึงสมมติบัญญัติว่า คนที่คอยขัดขวางการทำความดี ก็เป็นมาร ที่เป็นสัตว์ บุคคล ซึ่ง หัวหน้ามาร ก็เป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นที่ ๖ ที่เรียกว่า เทวปุตตมาร หรือ พญามาร ด้วยเหตุที่เป็นผู้สะสมความไม่ดีมามาก จึงไม่ชอบคุณความดี คอยขัดขวางในการทำความดีของผู้อื่น จึงชื่อว่า มาร ที่เป็น สัตว์ บุคคล และประการต่อมา พวกเทวดานั้น ก็มีทั้งภรรยา และ บุตร ธิดาด้วย ซึ่งบุตรและธิดาของเทวดา นั้น เวลาเกิดก็เกิดขึ้นบนตัก โตทันที ก็ชื่อว่าเป็นบุตรหรือธิดาของเทวดาองค์นั้น แม้พญามารก็มีธิดาด้วย ที่ชื่อว่านางตัณหา นางราคา นางอรดี ซึ่งก็เป็นเทวดาทั้ง ๓ ตน ครับ

ซึ่งจะขอเล่าประวัติโดยย่อในเรื่องมารที่เป็นสัตว์ บุคคล ดังนี้ ครับ

เมื่อครั้งที่ พระโพธิสัตว์ ออกบวช ออกมหาภิเนกษกรมณ์นั้น เมื่ออกจากประตูพระราชวัง พญามารผู้ที่ไม่ชื่นชมความดี เกรงว่าพระโพธิสัตว์จะออกบวชและบรรลุธรรม จะพ้นจากอำนาจของตน คือ ด้วยอำนาจของกิเลสและไม่ชอบคุณความดี จึงเหาะอยู่บนอากาศ หน้าประตูพระราชวัง กล่าวกับพระโพธิสัตว์ว่า ท่านอย่าออกไปเลย อีก ๗ วันท่านก็จะได้เป็น พระเจ้าจักรพรรดิ์ครองราชสมบัติ พระโพธิสัตว์ถามว่าท่านเป็นใคร พญามารกล่าวว่าเราเป็นพญามาร พระโพธิสัตว์ตรัสว่า เราก็รู้ว่าอีกไม่นานเราก็จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ แต่เราไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ เราจะบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พญามารรู้ว่าไม่สามารถห้ามพระโพธิสัตว์ได้ จึงได้กล่าวว่า นับจากนี้ เราจะหาช่องจับผิดท่าน เมื่อใดท่านเกิดจิตที่ไม่ดีเกิดขึ้น เราจะหาช่องเล่นงานท่านและติดตามพระโพธิสัตว์เป็นดั่งเงาตลอดเวลา แม้หาช่องอยู่ ๗ ปี ก็ไม่ได้โอกาสเลย จนถึงวันที่พระโพธิสัตว์ตรัสรู้แล้ว จนถึงสัปดาห์ที่ ๕ หลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ พระพุทธเจ้าประทับนั่งที่โคนตันไทร พิจารณาธรรมอยู่ พญามารรู้ว่าพระพุทธเจ้าพ้นวิสัยของตนแล้ว คือ ไม่สามารถทำให้ตกอยู่ในอำนาจกิเลสได้ เกิดความทุกข์ใจ จึงขีดที่พื้นดิน ๑๖ เส้น เส้นที่ ๑ คือ ระลึกว่าเราไม่บำเพ็ญทานบารมี ขีดเส้นที่ ๒ เราไม่บำเพ็ญศีลบารมี ขีดเส้นที่ ๒ จนครบ ๑๐ เส้นที่เป็น บารมี ๑๐ และ ขีดอีก ๖ เส้น ในพระคุณของพระพุทธเจ้า ๖ ประการ นั่งซบเซาทุกข์ใจอยู่

ขณะนั้น มารธิดา ๓ ตน เห็นบิดาไม่อยู่บนเทวโลก ก็พิจารณาว่าอยู่ที่ไหน เห็นซบเซาอยู่ ทุกข์ใจ จึงเข้าไปหาบิดาและถามว่า เกิดความทุกข์อะไร รู้ว่าทุกข์เรื่องพระพุทธเจ้า จึงเข้าไปอาสาที่จะทำให้พระพุทธเจ้าอยู่ในอำนาจ คือ แปลงเป็นหญิงในรูปลักษณะต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถทำให้พระพุทธเจ้าหวั่นไหวได้ สุดท้าย แม้นางมารธิดา ๓ ตน ก็ยกย่องพระพุทธเจ้าและหายไป

จะเห็นนะครับว่า ผู้ที่ขัดขวางความดี มี เพราะ ตนเองเป็นผู้สะสมกิเลสมามาก เมื่อไปเกิดเป็นเทวดา ก็ยังเป็นผู้ที่คอยขัดขวางความดีเพราะชื่นชมอกุศล แต่ที่สำคัญ หากพิจารณาความจริง อกุศล กิเลสที่เกิดขึ้นในจิตใจ เป็นมาร ที่ทำให้ขัดขวางความดี เพราะ ขณะที่อกุศลจิต (กิเลส) เกิด ขัดขวางไม่ให้ความดีเกิดขึ้น

ที่สำคัญ ควรน้อมพิจารณาเข้ามาในตน เสมอว่าตนเองมีมารไหม ก็มีมาร มีกิเลสมาร ที่มีในชีวิตประจำวัน และที่สำคัญ แม้ตนเอง ขณะที่กิเลสเกิดขึ้น ก็เป็นมาร โดยสมมติที่เป็นสัตว์ บุคคล ตนเองก็เป็นมารด้วย ที่ขัดขวางคุณความดีของตนเองในขณะนั้น และ ยังเป็นมารโดย สัตว์ บุคคลได้ หากเป็นผู้ขัดขวางความดีของผู้อื่น ไม่ชื่นชมคุณความดีของผู้อื่น ก็เป็นมารแล้ว เพราะอกุศลก็เป็นมาร กิเลสก็เป็นมาร ตนเองที่มีอกุศลก็เป็นมาร ซึ่งจะละมาร ก็ด้วยปัญญาที่ทำหน้าที่รู้จักมารตามความเป็นจริง ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 26 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nong
วันที่ 27 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nopwong
วันที่ 29 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ