การตาย จิตสุดท้าย ก่อนตาย

 
ศุภชัย
วันที่  22 ธ.ค. 2555
หมายเลข  22215
อ่าน  17,374

รบกวน อธิบายเรื่อง การตาย จิตสุดท้ายก่อนตาย

ผมงง ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าด้วย ถ้าผมเข้าใจไม่ถูก ผมอาจเอาไปใช้ตอน ตายแบบผิดๆ มีคนบอกว่า การตาย

step 1----> ร่างกายตายก่อน คือ ลมหายใจสุดท้าย แต่จิตยังไม่ตาย

step 2----> จิตเริ่มตาย ต้องทำจิตอย่างไร ขณะนั้นครับ

๑. ทั้งหมดนี้ ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า ว่าเป็น step แบบนี้

๒. ตายแบบกระทันหัน จิตจะทำไรทัน หรือครับ

๓. คนที่ทำความเลวมาตลอดชีวิต แต่เข้าใจเรื่อง การตาย ว่าจะต้องทำอย่างไรในจิตสุดท้ายก่อนตาย ก็ดีกว่าคนที่ทำบุญตลอด แต่ไม่เข้าใจเรื่องการตายซิครับ ... แล้ว อย่างนี้มันยุติธรรม หรือ

๔. ผมจะต้องทำอย่างไร ตอนที่รู้ว่าจะตายแล้ว

ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จากคำถามที่ว่า

step 1---->ร่างกายตายก่อน คือ ลมหายใจสุดท้าย แต่ จิต ยังไม่ตาย

step 2---->จิต เริ่มตาย ต้องทำจิตอย่างไร ขณะนั้น ครับ

๑. ทั้งหมดนี้ ผมเข้าใจ ถูกหรือเปล่า ว่าเป็น step แบบ นี้

- ควรเข้าใจ ความจริงของสภาพธรรมว่า ความจริงที่เกิดขึ้นและดับไป คือ จิต เจตสิกและรูป เพราะฉะนั้น ร่างกาย ก็คือ การประชุมรวมกันของ จิต เจตสิกและรูปที่เกิดขึ้นและดับไป ซึ่งขณะที่สมมติว่าเกิด ขณะนั้น เรียกว่า ปฏิสนธิจิต คือ จิต เจตสิกเกิดขึ้นและมีรูปที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในขณะนั้น ส่วนขณะที่ตาย ที่สมมติว่าตาย คือขณะที่จุติจิตเกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ และเมื่อยังมีกิเลสอยู่ ก็ยังเป็นปัจจัยให้เกิดอีก คือปฏิสนธิจิตเกิดต่ออีก และเป็นปัจจัยให้รูปใหม่เกิดขึ้น ที่จะสมมติว่าเป็นรูปร่างกายด้วยเช่นกัน

เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็น จิต เจตสิกและรูป ล้วนแล้วแต่จะต้องเกิดขึ้นและดับไป หรือ ใช้คำว่า เกิดแล้วตาย เป็นธรรมดาทั้งสิ้น ไม่มีสภาพธรรมอะไรที่ไม่ตาย คือ เที่ยงเลย แม้แต่จิต ครับ อย่างเช่น จิตขณะนี้ที่เกิดขึ้น จิตเห็น เมื่อจิตเห็นมี ก็แสดงว่ากำลังเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องดับไป คือ ตายด้วย ไม่เที่ยงเลย และจิตดวงใหม่ก็เกิดขึ้นและก็ดับไปตายไปอีก แต่ละขณะ ครับ เพราะฉะนั้น ขณะที่ตายโดยสมมติ คือจุติจิตเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป แล้วจิตดวงใหม่ คือปฏิสนธิจิตเกิด คือเกิดในภพภูมิใหม่ เป็นเทวดา เป็นต้น ซึ่งจิตที่จุติจิตทำกิจตายไป ก็ตายไปแล้ว ไม่เที่ยง และจิตดวงใหม่ก็เกิดขึ้นอีกครับ

รวมความสรุปว่า จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น ที่สมมติว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล ไม่ใช่มีเพียงจิตเดียว แล้วย้ายร่างไปอยู่ในคนใหม่ อะไรอย่างนี้ไม่ใช่ครับ เพียงแต่ว่า จิตมีหลายดวงและเกิดขึ้นและดับไปมากมาย จิตจึงไม่เที่ยง และรูปก็ไม่เที่ยง เกิดดับ เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้นครับ

๒. ตายแบบ กระทันหัน จิตจะทำไรทัน หรือครับ

- ในความป็นจริง สภาพธรรม คือ จิต เจตสิก เกิดขึ้นและดับไปรวดเร็วมาก ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงว่า ช่วงเวลาลัดนิ้วมือเดียว คือดีดนิ้ว ๑ ครั้ง จิตเกิดดับเป็นแสนล้านครั้งแล้วนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น ขณะที่ตายกระทันหัน ขณะก่อนตายนั้นก็ยังจะต้องมีการคิดนึก ขณะคิดนึกก็เป็นจิตแล้ว มีการเห็นก็เป็นจิตอีก มีการรู้สึกเจ็บก็เป็นจิตอีก รวมความว่า เพียงช่วงเวลานิดเดียว ๑ วินาที จิตเกิดขึ้นและดับไปนับไม่ถ้วนเลยครับ และเมื่อถึงคราวที่ตาย ก็เกิดจิต คือจุติเกิดขึ้นครับ

๓. คนที่ทำความเลวมาตลอดชีวิต แต่เข้าใจเรื่องการตายว่า จะต้องทำอย่างไรในจิตสุดท้ายก่อนตาย ก็ดีกว่าคนที่ทำบุญตลอด แต่ไม่เข้าใจเรื่องการตาย สิครับ ... แล้วอย่างนี้มันยุติธรรม หรือ

- กรรมยุติธรรมเสมอ ครับ เพียงแต่ว่า จะต้องเข้าใจว่าแล้วแต่เหตุปัจจัยว่ากรรมใดจะให้ผล และมีระยะเวลาของการให้ผลของกรรมด้วย อย่างเช่น คนที่ทำกรรมชั่วมาตลอด แต่สุดท้ายเกิดจิตที่เป็นกุศลก่อนตาย ก็ไปเกิดในภพภูมิที่ดี นี่แสดงถึงความยุติธรรมของกรรมว่า กรรมดีให้ผลในสิ่งที่ดี คือเพราะกุศลกรรมเกิดขึ้นก่อนตาย เป็นปัจจัยให้กุศลกรรมในกาลก่อนที่ทำ ทำให้เกิดในภพภูมิที่ดี ยุติธรรมเพราะ กรรมดีย่อมให้ผลที่ดี ซึ่งเราจะเอากรรมชั่วที่เคยทำมาในชาติปัจจุบันมาปนไม่ได้ เพราะยังไม่ให้ผล แต่คนเราไม่ใช่มีเพียงชาตินี้ชาติเดียว มีชาติก่อนๆ มีการทำกรรมในกาลก่อนด้วยครับ ซึ่งก็เคยทำกรรมดี กรรมดีก็ให้ผลก่อนตาย แม้ชาตินี้จะทำกรรมชั่วก็ตาม ส่วนกรรมชั่วที่ทำชาตินี้ยังไม่ให้ผล ต่อเมื่อใดกรรมชั่วให้ผล อาจจะเป็นชาติถัดๆ ไป ก็จะต้องไปอบาย ตกนรก เป็นต้น ซึ่งชาตินั้น ในชาติข้างหน้า อาจจะทำกรรมดีมากในชาตินั้น แต่กรรมชั่วให้ผลก็ได้ครับ นี่คือ ความยุติธรรมของกรรม และมีกาลเวลาของกรรมที่จะให้ผลด้วยครับ ไม่ใช่ว่าทำกรรมชาตินี้ จะให้ผลชาตินี้ครับ

๔. ผมจะต้องทำอย่างไร ตอนที่รู้ว่าจะตายแล้ว

- ไม่มีใครที่รู้ว่าตนเองจะตายเมื่อไหร่เลย เพราะเป็นเรื่องของผลของกรรม หากทำได้ ทุกคนก็จะต้องไม่เกิดในอบายภูมิ มี นรก เป็นต้นเลยครับ เพราะฉะนั้น สำคัญที่ยังไม่ตาย ในขณะนี้ ก็ทำความดีเท่าที่ทำได้ตามกำลังของปัญญา ซึ่งความดีสะสมไปไม่หายไปไหนคือ ต้องให้ผล แต่ไม่รู้ว่าชาติไหน ส่วนเมื่อจะตาย กรรมใดจะให้ผลก็แล้วแต่ เพราะเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ครับ ทำความดีเพราะเป็นความดี ไม่ใช่เพื่อหวังให้ได้สิ่งที่ดีครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ศุภชัย
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ มากครับที่อธิบาย

มีข้อสงสัยเรื่องกรรม ที่อธิบายว่า ส่งผลมาจากชาติก่อนๆ นิดนึงครับ

๑. กรรมส่งผลมาจากชาติก่อน แล้วการเริ่มต้นของชาติแรกของเราเอากรรมของชาติไหนมาครับ

๒. ถ้าหมดสิ้นโลกไปจะไปชดใช้กรรมในชาติไหน ถ้าจิตใจยังมีกิเลส ส่งผลให้เกิดเป็น มนุษย์อีก แต่ไม่มีโลกให้อยู่ และชดใช้กรรมนั้นแล้ว

ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

เรียน ความเห็นที่ 2 ครับ

๑. กรรมส่งผลมาจากชาติก่อนแล้ว การเริ่มต้นของชาติแรกของเรา เอากรรมของชาติไหนมาครับ การเริ่มต้นของชาติใหม่ ก็ยังมีผลของกรรมเกิดขึ้น คือขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ซึ่งในความเป็นจริง เราทำกรรมมาในอดีตชาติไม่ใช่กรรมเดียวแต่ทำกรรมมามากมายนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น จึงมีกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่พร้อมจะให้ผล เพราะการเกิดใหม่ เป็นผลของกรรมเพียงกรรมเดียว แต่ก็มีกรรมอื่นๆ พร้อมจะให้ผลหลังจากเกิดใหม่แล้วครับ

๒. ถ้าหมดสิ้นโลกไป จะไปชดใช้กรรมในชาติไหน ถ้าจิตใจยังมีกิเลส ส่งผลให้เกิดเป็นมนุษย์อีก แต่ไม่มีโลกให้อยู่ และชดใช้กรรมนั้นแล้ว แม้หมดสิ้นโลกนี้ไป ก็ยังมีโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกใบนี้ในจักรวาลอื่นๆ ก็สามารถเกิดเป็นมนุษย์ที่โลกอื่นก็ได้ และแม้จักรวาลจะถูกทำลายไป แต่ก็ยังมีภพภูมิที่ไม่ถูกทำลาย มีพรหมโลก เป็นต้น ก็สามารถเกิดในภพภูมินั้นก็ได้ครับ ตราบใดที่ยังมีกิเลสก็ยังต้องเกิดในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่ง ตามสมควรแก่กรรมครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดก็ตามที่จุติจิตยังไม่เกิดขึ้น ก็ตายไม่ได้ แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เมื่อไม่ได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจตามความเป็นจริงก็ย่อมไม่สามารถจะเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงได้เลย ก็มากไปด้วยความตรึกนึกคิดเอาเอง ซึ่งไม่ตรงตามความเป็นจริงเลย

เราไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า จุติจิตจะเกิดขึ้นเมื่อใด แต่ก็ต้องเกิดแน่ๆ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เกิดมาแล้วก็จะต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีเว้นเลย สิ่งสำคัญที่ควรจะได้พิจารณา คือจะตายไปพร้อมกับความไม่รู้ มากไปด้วยความติดข้อง ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ความริษยา ตลอดจนถึงความไม่ดีประการต่างๆ มากมาย หรือจะตายไปพร้อมกับความรู้ที่ค่อยๆ เจริญขึ้นจากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ควรที่จะเป็นผู้มีชีวิตอยู่เพื่ออบรมเจริญปัญญาและสะสมกุศล ต่อไปครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

จิตดวงนี้ไม่ใช่จิตดวงก่อน และไม่ใช่จิตอนาคต เพราะจิตเกิดดับทุกขณะ ไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นถ้าเกิดใหม่ก็เป็นคนใหม่ ไม่ใช่คนเก่าและไม่ใช่จิตดวงเก่า และรูปร่างหน้าตา ก็เปลี่ยนไปตามกรรม ก็มีแต่กิเลสที่เราสะสมทั้งที่ดีและไม่ดีที่จะติดตามไปในภพหน้า เพราะยังมีกิเลส จึงยังต้องเกิดค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ศุภชัย
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

ถ้าเป็นอย่างนั้น คนในทุกๆ ศาสนา ก็จะเป็นแบบนี้ ทุกคนใช่ไหมครับ หลักเกณฑ์ของศาสนาอื่น ก็ไม่เป็นความจริงหรือครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

เรียน ความเห็นที่ 6 ครับ

สัจจะ ความจริงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นยุคใด สมัยใด หรือ จะบัญญัติสมมติว่าศาสนาใด ความจริงก็ต้องเป็นอย่างนั้น ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nopwong
วันที่ 24 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ekasaks
วันที่ 25 ธ.ค. 2555

หากท่านใดไม่มีศรัทธาในศาสนาใดๆ เลย แล้วจะเชื่อในศาสนาใดได้ การจะนับถือศาสนาใดนั้น สิ่งแรกที่ต้องมีคือความศรัทธา แล้วจึงศึกษาคำสอนของพระศาสดาองค์นั้นๆ เช่น ศาสนาพุทธ หากเข้ามาแล้วก็ต้องใช้เวลาศึกษากันไม่ใช่น้อยถึงจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ไม่มีทางจะเข้าใจได้โดยการตั้งคำถามไม่กี่คำ แล้วสรุปเลยว่า ศาสนาใดดีหรือไม่ดี สอนถูกหรือผิด อยากรู้ต้องลองเข้าไปศึกษาดู แล้วจะรู้ด้วยตัวเอง ดั่งเช่นการทำการได้สำเร็จหากทำ ตัวตนเองจะรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เซจาน้อย
วันที่ 28 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน"

"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"

ตนในที่นี้หมายถึงปัญญานั่นเองครับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ศุภชัย
วันที่ 31 ธ.ค. 2555

ผมลองอ่านคำตอบเรื่องกรรมอีกหลายครั้ง ยังสงสัยต่อไปอีกว่า

๑. ศาสนาพุทธ สอนให้เชื่อเรื่องกรรมเก่าในอดีตชาติด้วยหรือครับ โดยส่งผลมายังชาตินี้ อยู่ในเล่มไหนครับ จะไปหาอ่านดู ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ชาตินี้ผมก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วสิ รอผลกรรมชาติที่แล้ว ตอบสนอง ... และถ้าบอกผมว่าให้ผมทำดีในชาตินี้เพื่อรอผลตอบสนองในชาติหน้าๆ ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าชาตินี้เป็นใคร ทำอะไรไว้ ... ชาตินี้ยังจำชาติที่แล้วไม่ได้เลย เรื่องแบบนี้ศาสนาพุทธสอนไว้ด้วยหรือครับ ... หลักการแบบนี้ เหมือนพวกลัทธินอกศาสนา เชื่อลัทธิ เชื่อกรรมเก่า เลย

๒. พระไตรปิฎก มีการแก้ไขมาหลายครั้งหรือเปล่า โดยแต่งเติมเข้าไปเพื่อให้สู้ศาสนาอื่นได้ในช่วงการแข่งขันเผยแพร่ ข้อความต่างจะถูกแก้ไขจากเดิมหรือเปล่า จากความรู้ของพระที่แก้ไข ถูกผิด เชื่อได้อย่างไร ผมเคยได้ยินคำว่า ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้น ถกเถียงกัน อันไหนดับทุกข์ไม่ได้ อันนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน

๓. คำว่าศรัทธา ผมจะต้องศึกษาหลักคำสอนให้เห็นจริงเสียส่วนหนึ่งก่อน แล้วผมจึงจะศรัทธาไม่ใช่หรือ หรือจะให้ผมศรัทธาแบบไม่ลืมหูลืมตาไปก่อน แล้วมาศึกษาหลักคำสอน ... โดยไม่ใช้ปัญญา ก่อนจะศรัทธา

๔. เรื่องที่บอกว่า โลกอื่น (อาจเป็นความคิดแบบเด็กๆ หน่อยนะครับ) ... มันอยู่ตรงไหนหรือครับ ในพระไตรปิฎกบอกไว้หรือครับ แล้วสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้แบบนี้ ผมจะต้องเชื่อเลยใช่ไหมครับ ใครจะมีประสบการณ์ไปมาบ้าง แล้วจะเชื่อคนที่ไปมาแล้ว หรือบอกกับผมว่ามีจริงได้อย่างไร เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้แบบนี้หรือ ให้เชื่อกันไปเถอะ เขาก็เชื่อกันมาตั้งนาน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่พิสูจน์ได้แบบวิทยาศาสตร์ไม่ใช่หรือครับ ไม่ใช่ศาสนาอื่นที่ให้ทำตามเท่านั้น ไม่ทำตามผิดศาสนา

๕. อีกอย่างที่งง ที่บอกว่าทุกอย่างไม่เที่ยง แล้วนิพพานไม่เที่ยงด้วยหรือเปล่าครับ ถ้านิพพานไม่เที่ยง ก็เกิดเป็นคนอีกสิครับ (นิพพาน ย่อม ไม่เกิดแล้วไม่ใช่หรือ) ช่วยอธิบาย ยกตัวอย่างและเหตุผลด้วยครับ เรื่องทุกอย่างไม่เที่ยง ขัดแย้งกันอย่างไรกับนิพพาน ผมคนธรรมดาครับ ไม่ใช่พระ เพียงแต่สงสัยว่า อะไรจริงไม่จริง เพื่อให้เกิด คำว่า ศรัทธา แก่ตน อย่าให้คำตอบผมแค่เพียงคำว่า ก็ต้องไปศึกษาธรรมเสียก่อน จะได้รู้ ทำด้วยตัวเองบ้าง พวกท่านเป็นที่พึ่งของพวกผม หน้าที่ท่านเป็นผู้เผยแพร่ศาสนา นะครับ ทำให้ผมกระจ่างหน่อยครับ

ขออภัยด้วย ถ้าทำสิ่งใดๆ ผิดไป อย่าทำลายความหวังอันเล็กน้อยของผม เพราะมันอาจเป็นความหวังสุดท้ายของการเข้าใจศาสนาพุทธ

ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 2 ม.ค. 2556

เรียน ความเห็นที่ 12 ครับ

๑. ศาสนาพุทธ สอนให้เชื่อเรื่องกรรมเก่าในอดีตชาติด้วยหรือครับ โดยส่งผลมายังชาตินี้ อยู่ในเล่มไหนครับ จะไปหาอ่านดู

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ชาตินี้ผมก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วสิ รอผลกรรมชาติที่แล้ว ตอบสนอง ... และถ้าบอกผมว่าให้ผมทำดีในชาตินี้ เพื่อรอผลตอบสนองในชาติหน้าๆ ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าชาตินี้เป็นใคร ทำอะไร ไว้ ... ชาตินี้ยังจำชาติที่แล้วไม่ได้เลย เรื่องแบบนี้ ศาสนาพุทธ สอนไว้ด้วยหรือครับ ... หลักการแบบนี้ เหมือนพวกลัทธินอกศาสนา เชื่อลัทธิ เชื่อกรรมเก่า เลย

ลองคลิกอ่านกระทู้นี้ ค่อยๆ อ่าน ฟัง และทำความเข้าใจนะครับ

เกี่ยวกับกรรมครับ

เข้าใจให้ชัดเจนเรื่องกรรมและผลของกรรม

๒. พระไตรปิฎก มีการแก้ไขมาหลายครั้งหรือเปล่า โดยแต่งเติมเข้าไปเพื่อให้สู้ศาสนาอื่นได้ ในช่วงการแข่งขัน เผยแพร่ ข้อความต่างจะถูกแก้ไขจากเดิมหรือเปล่า จากความรู้ของพระที่แก้ไข ถูกผิด เชื่อได้อย่างไร

ผมเคยได้ยินคำว่า ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้น ถกเถียงกัน อันไหนดับทุกข์ไม่ได้ อันนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน

การศึกษาพระธรรมโดยละเอียดแล้ว จะเข้าใจได้ชัดเจนเลยครับว่า จะไม่มีการแข่งขันกัน สู้กัน เผยแพร่ศาสนา อย่างที่เข้าใจกันทั่วๆ ไป ลองอ่านกระทู้นี้นะครับ

พระไตรปิฎก _ เรื่องจริง

ประวัติการสังคายนาพระไตรปิฎก

มีชาวพุทธบางส่วนมักกล่าวว่าพระไตรปิฎกไม่ใช่พุทธพจน์ 100%

๓. คำว่าศรัทธา ผมจะต้องศึกษาหลักคำสอนให้เห็นจริงเสียส่วนหนึ่งก่อน แล้วผมจึงจะศรัทธาไม่ใช่หรือ หรือจะให้ผมศรัทธา แบบไม่ลืมหูลืมตาไปก่อน แล้วมาศึกษาหลักคำสอน ... โดยไม่ใช้ปัญญา ก่อนจะศรัทธา

ถูกต้องที่สุดครับ ต้องศึกษาก่อน สอดคล้องกับกระทู้นี้ครับ

กาลามสูตร ๑๐

ศรัทธา และ ความเลื่อมใส

๔. เรื่องที่บอกว่า โลกอื่น (อาจเป็นความคิดแบบเด็กๆ หน่อยนะครับ) ... มันอยู่ตรงไหน หรือครับ ในพระไตรปิฏกบอกไว้หรือครับ แล้วสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้แบบนี้ ผมจะต้องเชื่อเลยใช่ไหมครับ ใครจะมีประสบการณ์ไปมาบ้าง แล้วจะเชื่อคนที่ไปมาแล้ว หรือบอกกับผมว่ามีจริงได้อย่างไร เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้แบบนี้ หรือให้เชื่อกันไปเถอะ เขาก็เชื่อกันมาตั้งนาน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่พิสูจน์ได้แบบวิทยาศาสตร์ไม่ใช่หรือครับ ไม่ใช่ศาสนาอื่นที่ให้ทำตามเท่านั้น ไม่ทำตามผิดศาสนา

ลองคลิกอ่านกระทู้นี้ครับ

ชาติหน้า

ชาตินี้ ชาติหน้า

๕. อีกอย่างที่งง ที่บอกว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง แล้วนิพพานไม่เที่ยงด้วยหรือเปล่าครับ ถ้านิพพานไม่เที่ยง ก็เกิดเป็นคนอีกสิครับ (นิพพาน ย่อม ไม่เกิดแล้วไม่ใช่หรือ) ช่วยอธิบาย ยกตัวอย่างและเหตุผลด้วยครับ เรื่องทุกอย่างไม่เที่ยง ขัดแย้งกันอย่างไรกับ นิพพาน

ท่านกล่าวไว้ชัดเจนนะครับว่า นิพพาน เที่ยง เป็นสุข และเป็นอนัตตา

จะทราบได้อย่างไรว่านิพพานมีจริง

นิพพานไม่ใช่เหตุ ไม่ใช่ผลอย่างไร?

อย่าทำลายความหวังอันเล็กน้อยของผม เพราะมันอาจเป็นความหวังสุดท้าย ของการ เข้าใจศาสนาพุทธ

คุณศุภชัยกล่าวเสมือนว่าจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น? ผมคิดว่าถ้าเรามีเหตุมีผลจริงๆ แล้ว การศึกษาพระธรรมสามารถที่จะเข้าใจได้อย่างแน่นอน แต่ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป นะครับ การที่หวังจะให้เข้าใจโดยเร็ว รู้ทั้งหมดโดยเร็ว ย่อมเป็นเหตุที่ทำให้หมดหวังนะครับ

ขอคำแนะนำหน่อยครับ ที่จะ ...

ขออนุโมทนากับคุณศุภชัยที่มีความสนใจในการศึกษาพระธรรมร่วมกันนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
paderm
วันที่ 2 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
สิริพรรณ
วันที่ 13 ก.ค. 2557

เป็นกระทู้ที่น่าสนใจ และเห็นคุณค่าของการศึกษาพระธรรม ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่มีเมตตาอธิบาย ยิ่งเห็นจริงว่า เวลาที่เหลือชาตินี้ต้องศึกษาให้มากเข้าไว้ เพราะชาติต่อๆ ไป จะมีความสงสัยอย่างไร หรือจะได้มีผู้ชี้แนะหรือไม่

กราบขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
Witt
วันที่ 22 ก.พ. 2563

ตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมาจริงๆ

ขออนุโมทนาในกุศลจิต

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ม.ค. 2564

เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ