วิบากมีได้อย่างไร

 
samroang69
วันที่  4 พ.ค. 2556
หมายเลข  22857
อ่าน  1,226

มีคำถามว่า เมื่อทุกอย่างเป็นอนัตตาแล้ววิบากหรือผลของกรรมมีได้อย่างไร เช่น พระโมคัลลานะถูกโจรทุบเป็นต้นนั้น ก็ยังสงสัยอยู่ว่า เพราะเหตุใดวิบากจึงเกิดขึ้นได้ เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตารวมทั้งตัวเราเองก็เป็นอนัตตาแล้วจะมีวิบากได้อย่างไร

ถ้าจะตอบว่า วิบากเกิดขึ้นก็เพราะมีการกระทำ กรรมหรือการกระทำได้แก่เจตนาเจตสิก เพราะมนุษย์เราไม่เคยเว้นจากเจตนาจึงไม่พ้นจากการกระทำ และเมื่อมีการกระทำผล ของกรรมก็ต้องมี ก็อยากให้ช่วยพิจารณาด้วยครับว่าเป็นคำตอบที่ถุกต้องแล้วหรือไม่หรือผิดตรงไหน

ขอบคุณ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 4 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ ครับ

ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจว่า ทั้งกรรม และผลของกรรม เป็นธรรมที่มีจริง ล้วนเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น และแม้แต่ที่มีการ กล่าวว่า เราหรือตัวเรา ก็ไม่พ้นไปจากธรรม เพราะมีความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม ที่เป็นจิต เจตสิก และรูป จึงมีการกล่าวเรียกว่า เป็นเรา หรือแม้กระทั่งคนอื่น ก็โดย นัยเดียวกัน ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมเลย

ก็ขอกล่าวถึง กรรม ก่อน กรรมเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นเจตนาเจตสิก เกิดร่วมกับ จิตทุกชาติ ทุกขณะ ไม่มีเว้น กล่าวคือ เจตนาเกิดร่วมกับจิตชาติกุศลก็ได้ เกิดร่วมกับ ชาติอกุศลก็ได้ เกิดร่วมกับชาติวิบากก็ได้ เกิดร่วมกับชาติกิริยาก็ได้ แต่ถ้าเป็นกรรมที่จะให้ผลภายภายหน้า ต้องเป็นกรรมที่เป็นกุศลกรรม กับ อกุศลกรรมเท่านั้น ไม่ใช่เหมารวมว่าขึ้นชื่อว่าเป็นเจตนาแล้วก็จะเป็นเหตุให้ผลข้างหน้าทั้งหมด ซึ่งในชีวิตประจำวันก็พอจะรู้ได้ว่า กรรมใดที่เป็นกุศลกรรม กรรมใดที่เป็นอกุศลกรรม

กุศลกรรม เป็นการกระทำที่ดีงาม ซึ่งจะต้องมีกุศลจิตเกิดขึ้น จึงมีการกระทำกรรมที่เป็นกุศล ประการต่างๆ ซึ่งก็ไม่พ้นจากขณะจิตที่เป็นกุศล ที่เป็นไปในทานบ้าง ในศีล บ้าง ในการอบรมเจริญปัญญาบ้าง ส่วนอกุศลกรรม เป็นการกระทำที่ไม่ดี มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จเป็นต้น อันเป็นผลมาจากการมีกิเลสและมีอกุศล จิตเกิดขึ้น ซึ่งเป็นอกุศลที่มีกำลังจึงล่วงเป็นอกุศลกรรมประการต่างๆ แต่อกุศลจิตบาง ขณะที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้มีการกระทำอกุศลกรรม เช่น ขณะที่ติดข้องยินดีพอใจในอาหาร เสื้อผ้า เป็นต้น เพราะไม่ได้มีการกระทำอกุศลกรรม เพียงแต่เกิดความติดข้องยินดีพอใจ เท่านั้น

วิบาก เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็เป็นกุศล วิบาก ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็เป็นอกุศลวิบาก

กรรมมี ๒ อย่างใหญ่ๆ คือ กุศลกรรม กับ อกุศลกรรม, กุศลกรรม ดับไปแล้วจริง สามารถเป็นปัจจัยให้กุศลวิบากซึ่งเป็นผลของกุศลกรรมเกิดได้ และอกุศลกรรมดับ ไปนานแล้วก็จริง แต่ก็เป็นปัจจัยให้อกุศลวิบาก ซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรมเกิดได้ เพราะฉะนั้น กุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก ในชีวิตประจำวัน ก็คือ ทางตาที่เห็น ทางหูที่ได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่กระทบสัมผัส ถ้าเป็น ผลของกุศลกรรม ก็ทำให้ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ในสิ่งที่ดี ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมแล้ว จะตรงกันข้ามเลย คือ ทำให้ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ในสิ่งที่ไม่ดี ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ โดยที่ไม่มีใครทำให้ เป็นเพราะ อดีตกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้แล้วเท่านั้น ถึงคราวให้ผล ผลเช่นนั้นจึงเกิดขึ้น ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น ทั้งกุศลกรรม อกุศลกรรม ผลของกุศลกรรม และ ผลของอกุศลกรรม เป็นธรรมที่มีจริงทั้งหมด

จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่า ในกรณีการได้รับผลของกรรมของท่านพระมหาโมคคัลลานะ หรือ ของใครก็ตาม ก็ล้วนมาจากเหตุ คือ กรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีตทั้งนั้น ตราบใดก็ตามที่ยังไม่ได้ดับขันธปรินิพพาน โอกาสที่กรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีตจะให้ผล ก็ย่อมมีได้ ครับ

ขอกราบอาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

ขณะไหนบ้างเป็นผลของกรรม

กุศลกรรม-อกุศลกรรม (บุญ-บาป) ผลคือวิบากกรรม?

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 4 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ ครับ

ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจในความละเอียดของคำว่า อนัตตา อย่างแจ่มแจ้ง ก็จะ ตอบคำถามในประเด็นของ วิบาก มีได้อย่างไรประการหนึ่ง และ วิบาก ผลของ กรรมของท่านพระมหาโมคคัลลานะ อีกประการหนึ่ง ครับ

คำว่า อนัตตา หมายถึง สูญ คือ สูญจากความมีสัตว์ บุคคล เพราะเป็นธรรม อนัตตา อีกความหมายหนึ่ง คือ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เพราะเป็นไปตาม เหตุปัจจัย

จะเห็นนะครับว่า มีคำว่า เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เพราะฉะนั้น ไม่ได้หมายความว่า เมื่อทำกรรมแล้ว วิบากจะไม่ให้ผลเลย เพราะ เป็นอนัตตา แต่เพราะอาศัยความเป็นอนัตตานี้เอง ที่บังคับบัญชาไม่ได้ และ เป็นไปตามเหตุปัจจัย ปัจจัยอะไร คือ ปัจจัย 24 ซึ่งในทางธรรม การทำกรรมที่ เรียกว่า กัมมปัจจัย เป็นปัจจัยหนึ่ง ในปัจจัย 24 ย่อมเกิดผล คือ วิบาก ที่เป็น จิต เจตสิก ที่เป็นผลของกรรม ซึ่งวิบาก ก็มี คือ ขณะที่ปฏิสนธิจิต คือ ขณะที่เกิดก็ เป็นผลของกรรม เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ โดยนัย ที่ไม่มีใครเกิด แต่เป็น ปฏิสนธิจิต คือ ธรรมที่เกิดขึ้น และ เป็นอนัตตา ที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย คือ เมื่อ ทำกรรมก็ต้องมีผลของกรรม ที่เป็นกัมมปัจจัยด้วย จึงไม่ได้หมายความว่า เมื่อเรา กล่าวถึงคำว่า อนัตตา จะหมายถึง การไม่ให้ผลของกรรมเลย เพราะบังคับบัญชา ไม่ได้ แต่ ธรรมทั้งหลาย ที่เรียกอีกอย่างว่า ธรรมนิยาม ที่เป็นความจริงที่จะต้อง เป็นอย่างนั้น คือ เมื่อทำกรรมดี ผลก็ย่อมดี เมื่อทำกรรมชั่ว เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็ ย่อมเกิดผล คือ วิบาก ครับ

อนัตตา เป็นคำที่แสดงถึง สภาพธรรมที่บังคับบัญชาไม่ได้ และ จะต้อเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ได้เป็นไปตามใจที่ต้องการ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ฆ่าบิดา มารดา ขณะนั้น เป็นปัจจัยหนึ่งแล้ว คือ กัมมปัจจัย เป็นอกุศลธรรม เป็นอนัตตา แล้ว ที่ไม่ใช่ท่านที่ทำกรรม แต่เป็นเพียงสภาพธรรมที่เป็นกรรม อกุศลกรรม และ เป็นไปตามเหตุปัจจัย คือ ความเป็นอนัตตา ที่เป็นกัมมปัจจัย และเมื่อกรรมถึง พร้อมแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็แสดงถึงความเป็นอนัตตาอีกเช่นกัน ที่ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ ที่จะไม่ให้กรรมให้ผล เพราะมีกัมมปัจจัย เป็นไปตาม ปัจจัย ผลย่อมเกิดขึ้น ตามสมควรแก่เหตุ ครับ

ซึ่งสำหรับผู้ที่ศึกษาพระธรม พื้นฐานที่สำคัญที่สุด ที่ควรเข้าใจในขั้นการฟัง และ จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาพะรธรรมต่อไป และเข้าใจถูกต้องเป็นไปตามลำดับ สิ่งแรกที่ควรเข้าใจขั้นการฟัง คือ ความเป็นอนัตตา อย่างถูกต้องจริงๆ โดยเข้าใจถูกว่า ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เป็นไปตามเหตุปัจัย คือ เหตุปัจจัยของสภาพธรรม แต่ละอย่าง และไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน การเข้าใจคำว่า อนัตตาที่ถูกต้อง เป็นสิ่ง สำคัญ ที่จะเอื้อต่อการศึกษาธรรม โดยเฉพาะ การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง เพราะหาก เข้าใจถึงคำว่า อนัตตา ในขั้นการฟังอย่างถูกต้อง ก็จะไม่พยายามที่จะไปทำ จะไม่ ไปพยายามด้วยความเป็เนรา จะทำโยนิโสมนสิการ จะทำปัญญา จะทำสติ เหล่านี้ จะไม่มีเลย เพราะ เข้าใจว่าเป็นอนัตตา เป็นสำคัญ คือ เมื่อเข้าใจความเป็นเหตุ ปัจจัย โดยความเป็นอนัตตาแล้ว ที่สำคัญ คือ การอบรมเหตุ ด้วยการเริ่มจากเหตุที่ ถูกต้องที่จะเป็นเหตุให้เกิดปัญญา คือ การฟังพระธรม ศึกษาพระธรรม ธรรมจะทำ หน้าที่ปรุงแต่ง ให้เกิดสติและปัญญาเอง โดยไม่มีเราทำ เพราะไม่มีเราให้ทำ และไม่มีการบังคับ เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัย แม้แต่ เรื่องกรรม และผลของกรรม ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นอนัตตา ครับ

เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ

ฟังเพื่อให้ถึงความเป็นอนัตตา

กรรมและผลของกรรมเป็นอนัตตา

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
samroang69
วันที่ 4 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
kinder
วันที่ 5 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 5 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
orawan.c
วันที่ 5 พ.ค. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ