ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันจันทร์ ที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และ คณะวิทยากร ของ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ได้รับเชิญจากชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท เพื่อไปสนทนาธรรม
ณ ห้องประชุม ชั้น ๑๐ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ
ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.
เป็นกุศลจิตและกุศลเจตนาของชาวชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท
โดยการนำของท่านพลตรีกฤษฎา ดวงอุไร ประธานชมรม และ คณะฯ
ที่ได้จัดให้มีการสนทนาธรรมในวันสำคัญๆ ต่างๆ โดยสม่ำเสมอตลอดมา
ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมกระทู้การสนทนาธรรมในคราวก่อนๆ ได้ที่นี่ครับ...
ไปสนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕
ไปสนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๕
ไปสนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕
ไปสนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔
ไปสนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔
ไปสนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔
ไปสนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๓
ไปสนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๓
ไปสนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
ในการนี้ ทางมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้นำหนังสือไปแจกแก่ผู้เข้าฟัง
รวมทั้งมีการนำแผ่นซีดี และ เอ็มพีสาม การบรรยายธรรมของท่านอาจารย์
ไปจำหน่ายให้แก่ผู้ที่สนใจด้วย ซึ่งก็มีผู้ที่สนใจเข้าร่วมฟังการสนทนาในวันนั้นมากพอควร
จึงขออนุญาต นำความบางตอนของการสนทนาในวันนั้น มาฝากทุกๆ ท่าน
ที่ไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมฟังการสนทนา ด้วยเช่นเคย ดังนี้
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
ท่านอาจารย์ คงไม่ลืมว่า ธรรมะ เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
และ ธรรมะ ก็คือ สิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏ
ถ้าไม่มีสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ ก็จะไม่มีอะไรเลย
แต่เพราะเหตุว่า เมื่อมีสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้
แต่ไม่เคยคิด ไม่เคยเข้าใจความจริง ของสภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏ
จึงต้องอาศัยพระปัญญาคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริง ในขณะที่สิ่งนั้น กำลังปรากฏ
นี่ก็เป็นคำ ซึ่งอาจจะได้ยินได้ฟังบ่อยๆ
แต่ก็ลึกซึ้ง
และ แม้ได้ฟังอย่างนี้ ก็ผ่านไป ไม่ได้เข้าใจ แต่ละหนึ่ง ที่มีจริง
เช่น "เห็น" ในขณะนี้ มีจริง "ได้ยิน" ในขณะนี้ก็มีจริง
แต่ก็ผ่านไปเรื่อยๆ แต่ละวัน
โดยที่ไม่ได้เข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริง
ซึ่งมีแล้ว ก็หามีไม่
จากไม่มีเลย เมื่อกี้นี้ก็ไม่มีได้ยิน เสียงก็ไม่มี ไม่ได้ปรากฏ
แต่แล้วก็เกิดมีเสียงปรากฏ เพราะมีจิตได้ยินเสียง
แล้วก็หมดไป ทั้งจิตได้ยิน และ สิ่งที่ปรากฏ
นี่คือชีวิตจริงๆ แต่ละขณะ ซึ่งเป็นอย่างนี้
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากขณะหนึ่ง ไปอีกขณะหนึ่ง
เช่น จากเห็น ไปเป็นได้ยิน ไปเป็นคิดนึก
ทุกๆ อย่าง ตั้งแต่เกิด ต้องเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ความประพฤติ ย่อมเป็นไป ตามที่ได้สะสมมา
แม้ในขณะนี้ ไม่มีใครบังคับบัญชาได้
แต่ละคน ก็มีสภาพธรรมะ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไป ตามที่ได้สะสม
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ก็ต้องรู้ว่า
ฟังสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง
จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ไตร่ตรอง และ รู้ว่า
ชีวิต ก็คือ เกิด แล้วก็จบลง ด้วยการสิ้นสุด คือ การตาย
แต่ว่า ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ก็มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีสุข มีทุกข์ ต่างๆ
แต่ก็ไม่ได้เข้าใจความจริงว่า
สิ่งต่างๆ เหล่านี้
เพียงเกิด ปรากฏ แล้วหมดไป อย่างรวดเร็ว ทุกๆ ขณะ
ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ก็จะละคลายการยึดถือ และ ความทุกข์
เพราะเหตุว่า ใครจะทำอะไร กับสภาพธรรมะ
ซึ่งเดี๋ยวนี้ เกิดแล้ว เป็นอย่างนี้
แล้วก็หมดไปเรื่อยๆ
พ.ต.อ. ธีรชล เรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ ขอคำอธิบาย ประโยคที่ว่า
"พระไตรปิฎก อ่านได้ แต่อ่านไม่ออก" ว่ามีความหมาย และ รายละเอียดอย่างไร?
ท่านอาจารย์ คนที่อ่านภาษาไทยออก ก็อ่านพระไตรปิฎกได้
แต่ว่า ไม่เข้าใจ
สามารถที่จะอ่าน อะไรก็ได้ เหมือนกับภาษาอื่นๆ เรารู้วิธีอ่าน เราก็อ่านได้
แต่เราไม่สามารถที่จะเข้าใจ คำๆ นั้น ว่าหมายความว่าอะไร
ถ้าเราไม่ศึกษาจริงๆ
วิชาอื่น ยังเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น
พระธรรมที่ทรงแสดง จากการที่ทรงตรัสรู้ จะต้องอาศัยการไตร่ตรอง
เพราะว่า เมื่อเทียบระหว่าง ผู้ที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็จะเห็นได้ว่า ปัญญาห่างกันไกลแค่ไหน?
แต่ละคำที่ตรัส มีความหมายที่ลึกซึ้ง และ เป็นวาจาสัจจะ
เป็นคำจริง ที่กล่าวถึง สิ่งที่มีจริงๆ
ซึ่งแม้ว่า สิ่งที่มีจริง มีจริงมานานแสนนาน
แสนโกฏิกัปป์ ก็มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีสุข มีทุกข์
แม้ปัจจุบัน ก็เป็นอย่างนี้ ต่อไปอนาคต ก็เป็นอย่างนี้อีก
แต่ ใครสามารถจะรู้ และ เข้าใจ
เหมือนตัวหนังสือที่มี ไม่เคยอ่าน และ อ่านไม่ออกด้วย
เพราะเหตุว่า ไม่รู้ว่า แต่ละคำ หมายความว่าอย่างไร?
แม้แต่คำว่า "ธรรมะ" ใครจะอ่านไม่ออก ถ้าอ่านภาษาไทยได้
แต่ "เข้าใจ" หรือเปล่า?
ว่าธรรมะ หมายความถึงอะไร?
ธรรมะ หมายความถึง สิ่งที่มีจริงๆ มีลักษณะเฉพาะ แต่ละอย่าง
เช่น "เห็น" เดี๋ยวนี้ มีจริงๆ ไม่ต้องเรียกว่าธรรมะ แต่ "เห็น" ก็กำลังเห็น
อ่านออกไหม? กำลังเห็นอยู่
ที่จะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว "เห็น" เกิดเห็น ไม่ใช่ได้ยิน
ถ้าไม่มีปัจจัย ที่จะทำให้เห็นเกิด เห็นก็เกิดไม่ได้
ถ้าไม่มีการเขียนตัวหนังสือ จะมีตัวหนังสือก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น แต่ละอย่าง ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ต้องเกิด จึงปรากฏ
แต่ว่า ใครสามารถที่จะรู้ถึงปัจจัย ที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น
เช่น เห็นในขณะนี้ ฟังดูไม่ยาก
ถ้าไม่มีตา ภาษาบาลี ใช้คำว่า จักขุปสาท และ ทุกคนก็ไม่เคยคิดว่า ตาคืออะไร?
ตา มาจากไหน? และ ทำไมถึงตาต้องมีด้วย
แต่ว่า ที่เราใช้คำว่า ตา ไม่ใช่รูปตา ไม่ใช่ตาดำ ตาขาว
แต่หมายความถึงรูปพิเศษ ที่สามารถจะกระทบ กับสิ่งที่ปรากฏ ในขณะนี้ได้
รูปนี้รูปเดียว ถ้าเป็นโสตปสาท ที่เราใช้คำว่า หู
ก็ไม่ได้หมายความถึงใบหูทั้งหมด ทั้งข้างใน ข้างนอก
แต่หมายความถึง รูปที่สามารถกระทบเสียง
ก็แสดงให้เห็นว่า เราไม่มีความเข้าใจสิ่งที่มี
ว่าสิ่งที่มี เกิดแล้ว เป็นอย่างนี้ เพราะปัจจัยที่เหมาะสม ที่ควรที่จะให้ธรรมะนั้นเกิดขึ้นได้
และ เมื่อเกิดแล้ว ก็คือ ดับไป ไม่มีใครเห็นตลอดเวลาเลย
แม้ขณะนี้ ที่ดูเหมือนมี "เห็น" ตลอดเวลา
แต่ก็มี "ได้ยิน" และมี "คิดนึก" ด้วย
เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีจริง
อ่านออกไหม?
ว่าความจริง ก็เป็นแต่เพียง ธาตุ ธรรมะ สิ่งที่มีจริง
เกิดขึ้น ตามเหตุ ตามปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่มีใครเป็นเจ้าของได้
เพราะเหตุว่า เกิดแล้ว ดับแล้ว อย่างเร็วที่สุด สุดที่จะประมาณได้
และ เมื่อดับไปแล้ว ก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย ในสังสารวัฏฏ์
ไม่ว่านานแสนนานมาแล้ว เห็นในอดีต สุข ทุกข์ ในอดีต
เกิดจริง มีจริง
ดับไปแล้ว แล้วก็ไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งขณะ ก็เป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้น
ปรากฏชั่วคราว ชั่วคราว แต่ว่าสืบเนื่อง
จนกระทั่ง ไม่มีใครสามารถที่จะบอกได้ ถึงความจริง
ของสิ่งที่เพียงปรากฏชั่วคราว แล้วดับไป
นอกจากผู้ที่มีปัญญาจริงๆ เป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ที่ข้อง ที่เข้าใจถูก ในสิ่งที่มี ในชีวิต
ไม่ใช่เกิดมาแล้ว ก็ไม่รู้
ตั้งแต่เกิด จนตาย ก็ไม่รู้อะไรเลย
สุข ทุกข์ ไปวันๆ
แต่ก็ไม่เหลืออะไรสักวันเดียว
อย่างเมื่อวานนี้ มีความสุขอะไรบ้าง? มีเหตุการณ์อะไรบ้าง?
ได้ยินอะไรบ้าง? เห็นอะไรบ้าง? คิดอะไรบ้าง?
เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน?
ไม่เหลือเลย
เพราะฉะนั้น พรุ่งนี้ วันนี้ ก็เป็นเหมือนอย่างเมื่อวานนี้
คือ วันนี้ เป็นเมื่อวานนี้ของพรุ่งนี้
แน่นอน ก็จะไม่เหลืออะไรเลย
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะให้พ้นจากวันนี้ไป แล้วก็ไม่เหลืออะไร ด้วยความไม่รู้
เราก็ ค่อยๆ เห็นประโยชน์ ของการที่จะรู้ความจริงว่า
ที่ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
เกิดแล้วต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ต้องคิดนึก
ไปทำไมทุกวันๆ ในเมื่อหมดแล้ว ทุกขณะที่เกิดขึ้น
แม้แต่คิด แค่นอนหลับสนิท ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว
พอตื่นขึ้น มาอีกแล้ว แต่ก็ไม่รู้เหตุ ว่าหลับอยู่แท้ๆ ไม่มีอะไรปรากฏเลย
แล้วก็มีเห็น แล้วก็มีได้ยิน แล้วก็มีคิด
ตลอดเวลาที่ยังไม่ถึงการหลับ
แล้วก็หมดไปอีก
ชีวิตก็เป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ความต่าง ของคนซึ่งไม่ใช่โพธิสัตว์ กับ ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ ก็ต่างกัน
สำหรับพระมหาโพธิสัตว์ ผู้ที่ได้บำเพ็ญพระบารมี
เพื่อที่จะตรัสรู้ ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านก็ตรัสรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ถ่องแท้ โดยสิ้นเชิง โดยประการทั้งปวง
แล้วก็ทรงบำเพ็ญพระบารมี ยิ่งใหญ่กว่าพระโพธิสัตว์อื่นๆ
คือ ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะทรงอนุเคราะห์ ให้คนอื่น ได้เข้าใจสิ่งที่มี
และเห็นประโยชน์ว่า ระหว่างที่ มีแล้วไม่รู้ กับ มีแล้วเข้าใจถูก
ผู้ที่เห็นประโยชน์ ก็คิดว่า เข้าใจถูก ต้องดีกว่า
เกิดมาแล้ว ก็มีทุกสิ่งทุกอย่าง
แล้วก็ไม่เหลือเลย แล้วก็ไม่รู้อะไรเลย
แต่สิ่งนี้ ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ สามารถรู้ได้ เข้าใจได้
เมื่อมีการได้ฟังพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง
แต่ต้องไม่ลืมว่า พระพุทธศาสนา คำสอนของพุทธะ
คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ใช่ของคนอื่น
เพราะฉะนั้น เวลาฟัง ก็ต้องรู้ว่า กำลังฟังอะไร?
ถ้าเป็นวาจาสัจจะ คำจริง ที่กล่าวถึงความจริง ของสิ่งที่มีจริง ให้เขาเข้าใจขึ้น
นั่นเป็นพระพุทธพจน์
คือ เป็นคำสอน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
มิฉะนั้นแล้ว ก็เป็นคำที่คิดเอง ส่วนใหญ่
แล้วก็คิดว่า สามารถที่จะกล่าวถึงสิ่งที่มี โดยไม่ต้องอาศัยการศึกษาพระธรรม
นั่นเป็นสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมแล้ว ก็จะเห็นพระคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ทำให้ จากการไม่รู้เลย ว่าขณะนี้ กำลังอยู่ตรงนี้
มีสภาพธรรมะ ที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา
จึงไม่ใช่ของใคร และ ไม่ใช่ใคร ด้วย
แต่ละหนึ่งธรรมะ ที่เกิดขึ้น และ ธรรมะทุกอย่าง เป็นอนัตตา
"เห็น" เกิดแล้ว ดับแล้ว จะเป็นใคร หรือ จะเป็นของใคร?
"ได้ยิน" แค่ได้ยิน เกิดขึ้น มีเสียงปรากฏ ดับแล้ว เป็นของใครก็ไม่ได้
เป็นใคร ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น จากพระมหาโพธิสัตว์ ซึ่งได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี และ ทรงแสดงธรรมะ
ก็มี สาวกโพธิสัตว์
ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม แล้วก็เห็นประโยชน์ของการฟัง
จนกระทั่ง สามารถที่จะอบรมปัญญา เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น
จากการที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจเลย เหมือนเด็กเล็กๆ เกิดมา ก็ไม่รู้อะไร
แต่ก็ต้องไปโรงเรียน แล้วก็ศึกษาวิชาการต่างๆ มีความรู้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้น
แต่ถ้าไม่ใช่การฟังพระพุทธพจน์ ไม่ใช่การศึกษาพระธรรม
วิชาใดๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจ สิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้
แล้วอะไร ควรค่า แก่การได้ฟัง?
มีความรู้เรื่องอื่น จริง เหมือนจริง เหมือนมีประโยชน์
เหมือนมีปัญญา
แต่ไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้
นี่ก็เป็นสิ่งซึ่ง ผู้ที่ได้สะสมประโยชน์
ที่จะรู้ว่า
การฟังพระธรรม เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด
เพราะเหตุว่า ไม่สามารถจะ "คิดเอง" ได้
และ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม
"คิดเอง" ก็ ผิด
จึงเป็นผู้ที่ ไม่ประมาท และ ฟังพระธรรม
ไม่ว่าชาติไหน มากหรือน้อย อย่างไรก็ตาม แต่การฟังแต่ละครั้ง
ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ ก็จะเกิดความเข้าใจว่า
ธรรมะ ก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้
แล้วก็เกิดโดยที่ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้
นี่คือ ผู้ที่บำเพ็ญบารมี ที่จะได้รู้ความจริง
เป็น สาวกโพธิสัตว์
เพราะฉะนั้น ก็มี พระมหาสัตว์ มหาโพธิสัตว์ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระปัจเจกโพธิสัตว์ ผู้ที่สามารถ ที่จะรู้สภาพธรรมะ ด้วยตัวเอง
เพราะว่า เคยได้ฟังมาแล้ว เคยเข้าใจมาแล้วทั้งนั้น
ไม่ว่าพระโพธิสัตว์ประเภทใด
เมื่อถึงกาลสมบูรณ์ ก็ได้รู้ความจริง เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทนั้น
แต่สำหรับผู้ที่ไม่ใช่จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกโพธิสัตว์
ขณะนี้ ก็เป็น สาวกโพธิสัตว์
คือ เห็นประโยชน์ของการฟัง
อย่างน้อย ฟังเรื่องอื่น ที่มีความรู้เรื่องอื่น
แล้วทำไม ไม่ฟังเรื่องความจริงในชีวิตทุกขณะ ตั้งแต่เกิดจนตาย
เพราะฉะนั้น ผู้ที่สะสมประโยชน์ ก็ฟัง เพื่อที่จะเข้าใจ
จะมาก จะน้อย ก็แล้วแต่ว่า
การฟัง การไตร่ตรอง การพิจารณา การเห็นประโยชน์
เพราะเหตุว่า
ธรรมะ เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง
"...พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ตลอด ๔๕ พรรษานั้น
เป็นพระธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง ยากที่ปุถุชนผู้มีปัญญาน้อย จะเข้าถึงได้ทั้งหมด
เพราะผู้แสดงเป็นผู้มีปัญญามาก ประกอบด้วยพระญาณที่ไม่สาธารณะทั่วไปแก่บุคคลอื่น
ดังนั้น ผู้ศึกษา ควรศึกษาอย่างรอบคอบและทั่วถึง มิฉะนั้น อาจเป็นผู้มีความเห็นผิด
เป็นผู้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า และ เป็นผู้ทำลายคำสอนโดยไม่รู้ตัว
อีกอย่างหนึ่ง การศึกษาพระธรรมเพื่อจุดประสงค์อื่น
นอกจากศึกษาเพื่อการเข้าใจพระธรรม ย่อมมีโทษ
เพราะขณะนั้น เป็นผู้ไม่มีความเคารพพระธรรม และ พระพุทธเจ้า
ผู้ทรงแสดงพระธรรม และ พระสงฆ์ ผู้สืบทอดพระธรรมคำสอนสืบต่อกันมา
เพราะฉะนั้น ควรศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ ไม่ควรศึกษาเพื่อการแข่งขัน
หรือ เพื่อจุดประสงค์อื่น..."
..........
(คัดจากกระดาน ธรรมทัศนะ)
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของสมาชิกชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท ทุกท่าน
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
...ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมแล้ว ก็จะเห็นพระคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ทำให้ จากการไม่รู้เลย ว่าขณะนี้ กำลังอยู่ตรงนี้
มีสภาพธรรมะ ที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา
จึงไม่ใช่ของใคร และ ไม่ใช่ใคร ด้วย
แต่ละหนึ่งธรรมะ ที่เกิดขึ้น และ ธรรมะทุกอย่าง เป็นอนัตตา
"เห็น" เกิดแล้ว ดับแล้ว จะเป็นใคร หรือ จะเป็นของใคร?
"ได้ยิน" แค่ได้ยิน เกิดขึ้น มีเสียงปรากฏ ดับแล้ว เป็นของใครก็ไม่ได้
เป็นใคร ก็ไม่ได้...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่านด้วยครับ