แรงกรรม
ธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เรา แต่เพราะความไม่รู้ จึงยึดสภาพธรรมทั้งหลายว่าเป็นเราเป็นสัตว์ บุคคล เป็นสิ่งต่างๆ ขณะแรกเกิดเป็นเพียงจิต เจตสิก และรูปที่เกิดขึ้น เมื่อเกิดมาแล้วต้องเห็น ต้องได้ยิน... และคิดนึกตามสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน เพราะความไม่รู้หมู่สัตว์ยังยินดีเพลิดเพลินอยู่ เห็นแล้วก็พอใจ เห็นอยู่แล้วไม่เห็นก็เป็นทุกข์ ทุกขณะชีวิตเป็นไปด้วยความไม่รู้ความจริง เห็นแล้วก็ติดข้อง จมอยู่ในห้วงน้ำกว้างใหญ่ แล้วเมื่อไหร่จะข้ามห้วงน้ำไปได้ จนกว่าจะอบรมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ ค่อยๆ ละความไม่รู้ซึ่งต้องอาศัยการฟังพระธรรมให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงเพราะไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็เพลิดเพลินไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
เมื่อกิเลสมีกำลังเพิ่มขึ้น เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็กระทำอกุศลกรรม ซึ่งนำไปสู่ทุคติ เพราะความไม่รู้ยังมีเราที่จะทำความดี มีเราที่จะให้ทานแก่ผู้ยากไร้ มีเราที่จะรักษาศีล มีเราจะอบรมเจริญปัญญาก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้เพราะยังมีความเป็นตัวตนอยู่ ผลของอกุศลกรรมก็นำไปสู่นรก เปรต อสูรกาย สัตว์ดิรัจฉาน ส่วนผลของกุศลกรรมก็นำไปสู่สวรรค์ มนุษย์สู่สุคติภูมิ ไม่มีใครส่งให้ไปนรก หรือไปสวรรค์ได้ นอกจาก แรงกรรมเท่านั้น
การศึกษาไม่ว่าพระสูตร พระอภิธรรม พระวินัย ก็เพื่อที่จะเป็นผู้ตรงที่รู้สิ่งที่มีจริงขณะนี้ มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีสิ่งต่างๆ การอบรมความเข้าใจถูก ความเห็นถูก เท่านั้น ที่จะนำไปสู่กิจทั้งปวงที่ดีงามผลของกิจทั้งปวงที่ดีงามย่อมนำสุขมาให้ สำหรับความเห็นมี ๒ อย่างคือ ความเห็นผิดซึ่งเป็นทิฏฐิเจตสิก และความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงเป็นปัญญาเจตสิก ไม่ว่าจะเป็นความเห็นถูกหรือความเห็นผิด ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ
มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากความเป็นจริงของธรรมเป็นเจตสิกที่มีจริงๆ ไม่ใช่จิต ไม่ใช่รูป แต่เป็นเจตสิกที่เกิดพร้อมกับจิต ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ความเห็นผิดคือ ทิฏฐิเจตสิก มีลักษณะเห็นผิด ยึดถือผิด ยึดมั่นถือมั่นสิ่งผิดๆ เช่น การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ไม่มีผล เกิดกับโลภะเท่านั้นแต่ชีวิตประจำวันไม่ใช่จะมีความเห็นผิดตลอดเวลา แต่เมื่อใดความเห็นผิดเกิดขึ้นทิฏฐิเจตสิกนั้นเกิดพร้อมโลภเจตสิก การกระทำด้วยกาย วาจา ย่อมคล้อยตามความเห็นผิดนั้น และยังสะสมเป็นอุปนิสสัยให้มีการกระทำกรรมที่คล้อยตามความเห็นผิดต่อไปอีก แรงกรรมของความเห็นผิดนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสว่า มิจฉาทิฏฐินั้นหนักที่สุดย่อมปิดกั้นสุคติภูมิ และมรรค มิจฉาทิฏฐิมีโทษมากกว่าอนันตริยกรรม
เพราะผลของอนันตริยกรรมให้ผลแล้วยังมีวันหมด เมื่อมีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ ยังสามารถอบรมเจริญความเห็นถูกเข้าใจถูก จนกว่าจะดับกิเลสจนหมดสิ้น พ้นจากวัฏฏะไปได้ แต่ผู้ที่มีความเห็นผิดย่อมปฏฺิบัติตามความเห็นของตน หันหลังให้พระสัทธรรม ไม่สามารถอบรมเจริญปัญญารู้ตามความเป็นจริงได้ไม่สามารถถึงการดับทุกข์ได้ จึงต้องวนเวียนอยู่ในวัฏฏะ เป็นตอของวัฏฏะ
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...