ฉันนสูตร - โทษแห่งอกุศลมูล ... วันเสาร์ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๘
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
... สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๘
เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.
ฉันนสูตร
ว่าด้วยโทษแห่งอกุศลมูล
...จาก...
[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓- หน้าที่ ๔๐๖
...นำสนทนาโดย...
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร
[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓- หน้าที่ ๔๐๖
ฉันนสูตร
ว่าด้วยโทษแห่งอกุศลมูล
[๕๑๑] ครั้งนั้น ปริพาชกชื่อฉันนะ เข้าไปหาท่านพระอานนท์ กล่าวกะ ท่านพระอานนท์ว่า อาวุโสอานนท์ แม้พวกท่าน ก็บัญญัติการละราคะ โทสะ โมหะหรือ
ท่านพระอานนท์ ตอบว่า อาวุโส พวกข้าพเจ้า บัญญัติการละราคะ โทสะ โมหะ
ฉ. ก็พวกท่าน เห็นโทษในราคะ โทสะ โมหะอย่างไร จึงบัญญัติ การละราคะ โทสะ โมหะ
อา. คนที่เกิดราคะ โทสะ โมหะแล้ว อันราคะ โทสะ โมหะ ครอบงำแล้ว มีจิตอันราคะ โทสะ โมหะจับเสียรอบแล้ว ย่อมคิดเพื่อทำตนให้ลำบากบ้าง เพื่อทำผู้อื่นให้ลำบากบ้าง เพื่อทำให้ลำบากด้วยกัน ทั้งสองฝ่ายบ้าง ย่อมรู้สึกทุกข์โทมนัสในใจบ้าง ครั้นละราคะ โทสะ โมหะ เสียได้แล้ว เขาย่อมไม่คิดเพื่อทำตนให้ลำบาก ฯลฯ ไม่รู้สึกทุกข์โทมนัสในใจ คนที่เกิดราคะ โทสะ โมหะแล้ว ย่อมประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจ ครั้นละราคะ โทสะ โมหะเสียได้แล้ว เขาย่อมไม่ประพฤติ ทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจ เลย
คนที่เกิดราคะ โทสะ โมหะแล้ว ย่อมไม่รู้ประโยชน์ตนบ้าง ประโยชน์ผู้อื่นบ้าง ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายบ้าง ตามจริง ครั้นละราคะ โทสะ โมหะ เสียได้แล้ว เขาย่อมรู้ประโยชน์ตนบ้าง ประโยชน์ผู้อื่นบ้าง ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายบ้าง ตามจริง ราคะ โทสะ โมหะ เป็นเครื่องทำให้มืด ทำให้บอด ทำให้เขลา ปิดปัญญา เป็นฝ่ายขัดขวาง ไม่เป็นทางนิพพาน พวกข้าพเจ้าเห็นโทษ ในราคะ โทสะ โมหะ นี้แล อาวุโส จึงบัญญัติการละราคะ โทสะ โมหะ
ฉ. มีหรือ อาวุโส มรรค มีหรือ ปฏิปทา เพื่อละราคะ โทสะ โมหะ นั่น
อา. มี อาวุโส
ฉ. คืออะไร
อา. คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น อะไรบ้าง คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แล อาวุโส มรรค นี้แล ปฏิปทา เพื่อละราคะ โทสะ โมหะ นั่น
ฉ. ดีอยู่ อาวุโส มรรค ดีอยู่ ปฏิปทาเพื่อละราคะ โทสะ โมหะ นั่น ก็ควรแล้ว อาวุโสอานนท์ ที่พวกท่านจะไม่ประมาท
จบ ฉันนสูตรที่ ๑
อานันทวรรควรรณนาที่ ๓
อรรถกถา ฉันนสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในฉันนสูตรที่ ๑ แห่งวรรคที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ฉนฺโน ได้แก่ ปริพาชกผู้มีผ้าปกปิด (ร่างกาย) ผู้มีชื่ออย่างนี้
บทว่า ตุมฺเหปิ อาวุโส ความว่า ฉันนปริพาชกถามว่า ดูกรอาวุโส พวกเราบัญญัติการละกิเลส มีราคะเป็นต้นอย่างใด แม้ท่านทั้งหลายก็บัญญัติอย่างนั้นหรือ ลำดับนั้น พระเถระคิดว่า ปริพาชกนี้กล่าวกะพวกเราว่า เราทั้งหลายบัญญัติการละราคะเป็นต้น แต่การบัญญัติการละราคะเป็นต้นนี้ ไม่มีในลัทธิภายนอก ดังนี้ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า มยํ โข อาวุโส ดังนี้ ศัพท์ว่า โข ในคำว่า มยํ โข อาวุโส นั้น เป็นนิบาต ใช้ในความหมายว่า ห้าม อธิบายว่า พวกเราเท่านั้นบัญญัติไว้
ลำดับนั้น ปริพาชกคิดว่า พระเถระนี้ เมื่อจะคัดลัทธิภายนอกออกไป จึงกล่าวว่า พวกเราเท่านั้น สมณะเหล่านี้เห็นโทษอะไรหนอ จึงบัญญัติการละราคะเป็นต้นเหล่านี้ไว้ ลำดับนั้น ฉันนปริพาชก เมื่อจะเรียนถามพระเถระ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า กึ ปน ตุมฺเห ดังนี้ พระเถระ เมื่อจะพยากรณ์แก่เขา จึงกล่าวคำมีอาทิว่า รตฺโต โข อาวุโส ดังนี้
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺตตฺถํ ความว่า ประโยชน์ของตนทั้งในปัจจุบัน และสัมปรายภพ ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ แม้ในประโยชน์ของผู้อื่น และประโยชน์ทั้งสอง ก็มีนัยนี้เหมือนกัน พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า อนฺธกรโณ เป็นต้น ดังต่อไปนี้
ราคะชื่อว่า อนฺธกรโณ เพราะทำผู้ที่มีราคะเกิดขึ้นให้มืดบอด โดยห้ามการรู้ การเห็นตามความเป็นจริง ชื่อว่า อจกฺขุกรโณ เพราะไม่ทำให้เกิดปัญญาจักษุ ชื่อว่า อญฺญาณกรโณ เพราะไม่กระทำให้เกิดญาณ ชื่อว่า ปญฺญานิโรธิโก เพราะปัญญาทั้ง ๓ อย่างเหล่านี้ คือ กัมมัสสกตปัญญา ฌานปัญญา และวิปัสสนาปัญญา ดับไป โดยไม่ทำให้เป็นไป ชื่อว่า วิฆาตปกฺขิโก เพราะเป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความเดือดร้อน กล่าวคือ ทุกข์ เพราะอำนวยผลที่ไม่น่าปรารถนาเท่านั้น ชื่อว่า อนิพฺพานสํวตฺตนิโก เพราะไม่ยังการดับกิเลสให้เป็นไป.
บทว่า อลํ จ ปนาวุโส อานนฺท อปฺปมาทาย ความว่า ฉันนปริพาชก อนุโมทนาถ้อยคำของพระเถระว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ผู้มีอายุ ถ้าหากปฏิปทาแบบนี้มีอยู่ไซร้ ก็เพียงพอเหมาะสม เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ประมาท ท่านทั้งหลายจงบำเพ็ญความไม่ประมาทเถิด ดังนี้แล้วหลีกไป ในพระสูตรนี้ พระอานนทเถระกล่าวถึงอริยมรรค ที่เจือด้วยโลกุตตระไว้แล้ว คำที่เหลือในพระสูตรนี้ มีใจความง่ายทั้งนั้น ฉะนี้แล
จบ อรรถกถาฉันนสูตรที่ ๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
ฉันนสูตร
(ว่าด้วยโทษแห่งอกุศลมูล)
ปริพาชกชื่อฉันนะ ได้เข้าไปหาท่านพระอานนท์ แล้วได้ถามว่า พวกท่าน มีการบัญญัติการละราคะ โทสะ โมหะหรือไม่ ท่านพระอานนท์ ได้ตอบว่า มี ต่อจากนั้นก็ได้ถามว่าเห็นโทษอย่างไร จึงบัญญัติการละราคะ โทสะ โมหะ ท่านพระอานนท์ ก็ได้กล่าวถึงโทษของราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งเมื่อครอบงำ จิตใจแล้ว ก็คิดเพื่อทำตนเองให้ลำบาก เป็นต้น ประพฤติทุจริตทั้งทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ ไม่รู้จักประโยชน์ตามความเป็นจริง เมื่อละราคะ โทสะ โมหะได้แล้ว ก็ไม่คิดเพื่อทำตนเองให้ลำบาก ไม่ประพฤติทุจริตทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ รู้จักประโยชน์ตามความเป็นจริง ราคะ โทสะ โมหะ เป็นเครื่องทำให้มืดบอด ปิดบังปัญญา ขัดขวางทางพระนิพพาน เห็นโทษตามความเป็นจริงอย่างนี้ จึงบัญญัติการละราคะ โทสะ โมหะ
ต่อจากนั้น ฉันนปริพาชกได้ถามถึงหนทางที่เป็นไปเพื่อละราคะ โทสะ โมหะ ท่านพระอานนท์ ได้ตอบว่า หนทางที่เป็นไปเพื่อละราคะ โทสะ โมหะ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ซึ่งฉันนปริพาชกเมื่อได้ฟังแล้ว ก็ได้กล่าวว่า เป็นหนทางที่ดี เพียงพอต่อการที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
โลภะ ไม่เป็นประโยชน์ [ติกนิบาต เกสปุตตสูตร]
ปัญหาของสังคมเกิดขึ้น เพราะกิเลส ได้แก่ โลภะ โทสะ และโมหะ
โมหะ โมหเจตสิก ความเห็นผิด ความไม่รู้ อวิชชา
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...