ชีวิตดำรงอยู่ชั่วขณะจิต

 
papon
วันที่  7 ก.พ. 2558
หมายเลข  26151
อ่าน  1,800

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

"ชีวิตดำรงอยู่ชั่วขณะจิต" พจนาท่านอาจารย์ ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วยกรุณาให้อรรถาธิบายในประโยคนี้ด้วยครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 7 ก.พ. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ที่บัญญัติว่าเป็นสัตว์ บุคคล เป็นสิ่งมีชีวิต เพราะอะไร เพราะมีจิต เจตสิก รูป ดังนั้น ชีวิตก็คือเพราะมีจิต เจตสิกเกิดขึ้นครับ แต่โดยทั่วไปแล้ว เราย่อมสำคัญว่าชีวิตของเรา ของใครก็ตาม ก็มีอายุ 60 ปี 50 ปี 20 ปี หรือน้อยกว่านั้นก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วที่เรามีอายุเป็นเดือน เป็นปี ก็เพราะความเกิดขึ้นและดับไปของจิตที่เกิดดับสืบต่อกันไปนั่นเอง และที่สำคัญ ก็สำคัญว่าชีวิตจะสิ้นสุดก็คือเมื่อตายจากโลกนี้ไป แต่นั่นเป็นความตายโดยสมมติเพราะเป็นเพียงจุติที่เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง เมื่อมีแต่ จิต เจตสิก จึงบัญญัติว่ามีชีวิต เพราะฉะนั้น ชีวิตก็คือจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้น แต่อายุของจิตนั้นสั้นมาก เมื่อเกิดขึ้นและดับไป การดับไปนั้นก็เป็นการสิ้นสุดชีวิต สิ้นสุดในขณะที่จิตดับไปนั่นเอง เป็นการตายโดยปรมัตถ์ที่เป็นสัจจะครับ ดังนั้นชีวิตจึงดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิต เล็กน้อยมาก เพียงจิตเกิดขึ้นและดับไปซึ่งจิตมีหลายประเภท ทั้งที่เป็นกุศล อกุศล วิบาก เป็นต้น ดังนั้นขณะที่เห็น จิตเห็นเกิดขึ้น ชีวิตเกิดขึ้นและดับไปก็ดำรงอยู่ชั่วขณะนั้นเอง และจิตอื่นก็เกิดต่อก็ดำรงอยู่ชั่วขณะอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อันแสดงให้เห็นว่าชีวิตเป็นของน้อย ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะเท่านั้นครับ

ชีวิตคือจิตที่ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะอย่างนี้แล้ว ผู้มีปัญญาควรพิจารณาว่าประโยชน์สูงสุดในการมีชีวิตอยู่ คือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าชาติหน้าจะได้พบพระธรรมหรือได้เกิดเป็นมนุษย์หรือไม่ แต่ชาตินี้ได้พบพระธรรมแล้ว ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ดังนั้นขณะท่านทั้งหลายอย่าล่วงเลยไป อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนในภายหลัง คือขณะที่ประเสริฐ คือขณะที่ฟังพระธรรมและเข้าใจพระธรรมครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

ชีวิตน้อยด้วยเหตุ ๒ ประการ [มหานิทเทส]

ชีวิตนี้น้อยนัก [ชราสูตรที่ ๖]

ชีวิตเป็นอยู่แค่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น หมายความว่าไงคับ

สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ..เพียงชั่วขณะจิตเดียว

ชีวิตเป็นอยู่ก็เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น..... ประทับใจมากๆ ๆ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
peem
วันที่ 7 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 7 ก.พ. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว เป็นความจริงอย่างนี้จริงๆ และควรที่จะได้เข้าใจว่า จิต คือ อะไร? จิต เป็นสภาพธรรมที่จริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ตั้งแต่มาจนกระทั่งถึงขณะนี้ ไม่เคยปราศจากจิตเลย มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา จิต เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร มีอายุยืนนานอยู่เพียงใด ก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น จิตไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันสองดวงหรือสองขณะได้ หรือ ไม่ใช่ว่าจะมีจิตดวงเดียวเกิดขึ้นเป็นสิ่งยั่งยืนตลอดไป เพราะตามความเป็นจริงแล้ว มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา อย่างไม่ขาดสาย เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เป็นวิบากบ้าง เป็นกิริยาบ้าง ตามความเป็นไปของจิต ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ทุกขณะของชีวิตคือการเกิดดับสืบต่อกันของจิต รวมถึงสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต คือ เจตสิก ด้วย

มีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ ก็เพื่ออบรมเจริญปัญญา ทุกๆ วันจึงเป็นโอกาสที่ดี ที่จะได้ทำชีวิตที่ยังมีอยู่ ยังเหลืออยู่นี้ ให้เป็นชีวิตที่มีค่ามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ให้เป็นชีวิตที่มีขณะจิตที่ดี (ดี ด้วยกุศลธรรม) ด้วยการสะสมปัญญา จากการฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง สะสมอริยทรัพย์ซึ่งเป็นทรัพย์อันประเสริฐให้กับตนเองต่อไป จึงจะเป็นผู้มีชีวิตที่ไม่ว่างเปล่าจากประโยชน์ ไม่เสียชาติเกิด ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นการฟังสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 7 ก.พ. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
papon
วันที่ 7 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธุลีพุทธบาท
วันที่ 8 ก.พ. 2558

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่านเป็นอย่างยิ่ง ครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
thilda
วันที่ 8 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
tanrat
วันที่ 8 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ดวงทิพย์
วันที่ 10 ก.พ. 2558

มรณะ..3 ประเภท คือ1.ขณิกมรณะ...คือ.ที่อาจารย์สองท่านกล่าวข้างต้น

2.สมมติมรณะ..คือ...คนตายสัตว์ตายในชาตินี้

3.สมุทเฉทมรณะ...คือ..การดับขันธ์ห้าของพระอรหันต์...จุติจิตของพระอรหันต์เกิด

สาธุอนุโมทนา ทุกท่านคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
worrasak
วันที่ 8 ต.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Jarunee.A
วันที่ 27 มี.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ