วิธีที่ถูกต้อง ตัดใจแฟนเก่าที่เลิกมานาน เกือบ 10 ปี ได้เสียที

 
Guest
วันที่  25 ก.พ. 2558
หมายเลข  26237
อ่าน  4,048

คงด้วยเวรกรรม ทำให้ตัดใจยาก

ทั้งๆ ที่รู้ตัว- ด้วยเหตุผลว่า ไม่ควรจะรัก (แฟนเก่า) ต่อไปแล้ว...ที่ผ่านมา ในการตัดใจ ใช้วิธี นึก.. ความชั่ว ..ความไม่ดีของเขา...... จนกลายเป็นเกลียดฝังใจ และ แค้น.... วิธีนี้ อาจ ทำใจ ให้ ตัดใจได้มาก แต่นานวัน เริ่มรู้ตัว รู้จิตว่า เรา ได้สะสม ความแค้น พยาบาท ฯลฯ มันไม่ดีแน่ๆ

จึงอยากขอคำแนะนำ ในการ ปรับจิต ปรับใจ ให้สว่าง สะอาด เหมือนจิตเดิมแท้ ค่ะ (จะมีวิธีที่ ทำได้ง่าย ไหมคะ)

ขอบพระคุณค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 25 ก.พ. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตามหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา แสดงไว้ว่า ความรัก ความติดข้อง ความยินดีพอใจ เป็นโลภะ เป็นอกุศลธรรม เป็นกิเลสตัณหา เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ ไม่ใช่เพียงแค่ความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น ความรักพี่น้อง รักเพื่อน หรือความติดข้องยินดีพอใจในกามคุณ ๕ กล่าวคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ก็เป็นโลภะ เป็นตัณหาเหมือนกัน และที่สำคัญ ตัณหาเป็นต้นเหตุของทุกข์ทั้งปวง เพราะมีรัก เมื่อยังไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เพิ่มโลภะมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าผิดหวัง หรือพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจ เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว ทุกข์ที่เกิดขึ้นก็เพราะยังมีตัณหา เมื่อดับตัณหาเสียได้ ทุกข์ย่อมถูกดับไปด้วย

โลภะ (หรือตัณหา) เกิดขึ้นเมื่อใด ย่อมทำให้ไม่เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะขณะที่โลภะเกิด ย่อมมีโมหะ (ความไม่รู้) เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ทำให้คิดไปในทางที่ผิด การพูดก็ผิด การกระทำก็ผิด ทำให้ไม่รู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ไม่รู้ว่าสิ่งใดมีโทษ สิ่งใดไม่มีโทษ ไม่รู้ว่าสิ่งใดมีประโยชน์ สิ่งใดไม่มีประโยชน์ ขณะที่อกุศลจิตเกิด จึงไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลย ทำให้ไม่รู้ความจริง แต่โดยนัยตรงกันข้าม เมื่อปัญญาเกิด ย่อมเห็นตามความเป็นจริง แตกต่างจากขณะที่เป็นอกุศลอย่างสิ้นเชิง

บุคคลผู้ที่เข้าใจตามความเป็นจริงว่ากิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์แล้ว ก็ใคร่ที่จะละคลายกิเลสลง ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ไม่ละเลยโอกาสของการเจริญกุศลประการต่างๆ สะสมอุปนิสัยในการอบรมเจริญปัญญาเป็นปกติทุกๆ วันเพื่อละคลายกิเลสของตนเอง บุคคลประเภทนี้เป็นบัณฑิต ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นอย่างนี้ ด้วยการเห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง สะสมความเข้าใจถูกต่อไป ความดีและปัญญาที่สะสมไว้ตั้งแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นที่จะสะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า

เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ตราบใดที่ยังมีโลภะอยู่ โลภะก็เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ผู้ที่จะละโลภะที่กล่าวถึง อันเป็นความรัก ความติดข้องต้องการ ได้อย่างเด็ดขาดนั้น ต้องอบรมปัญญาจนกระทั่งบรรลุธรรมถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล เพราะพระอนาคามีไม่มีความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และที่จะดับโลภะได้อย่างหมดสิ้นจริงๆ ก็ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้น ปุถุชนยังมีความติดข้องเป็นธรรมดา ยังไม่มีปัญญาที่จะละคลาย ก็ยังละคลายยังไม่ได้ แต่ค่อยๆ อบรมปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริงได้ เพราะโลภะก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาจึงเป็นหนทางที่เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลส จนกว่ากิเลสจะถูกดับหมดสิ้นไปได้อย่างแท้จริง แต่ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสอะไรๆ ได้เลย ก็ขอให้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไป ขณะที่ฟังพระธรรมเข้าใจ ขณะนั้นก็ได้ขัดเกลาความติดข้องต้องการ ขัดเกลาความไม่รู้ เป็นต้น เนื่องจากว่าขณะที่กุศลจิตเกิด อกุศลย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

ความรัก ...

ความรักและความเมตตา

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 25 ก.พ. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปกติในชีวิตประจำวัน บุคคลแต่ละบุคคล มีอกุศลมากด้วยกันทั้งนั้น ทั้งความติดข้องยินดีพอใจ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ เป็นต้น แต่ถ้าถึงกับที่จะต้องล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นนั้น ขณะนั้นแสดงให้เห็นถึงกำลังของกิเลสว่ามีมาก ผู้ที่มีปัญญา ท่านจึงเห็นโทษแม้ในอกุศลเพียงเล็กน้อย การที่บุคคลอื่นเขาไม่ชอบเรา หรือเราไม่ชอบเขา เกลียดเขา แท้ที่จริงไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนเลย แต่เป็นเพราะอกุศลธรรมที่มีกำลังเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เท่านั้น ขณะที่เราโกรธเขา ก็เป็นอกุศลของเราเอง และไม่เป็นมิตรกับบุคคลนั้นด้วยในขณะที่เป็นอกุศล

และเป็นความจริงที่ว่า ความโกรธ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เมื่อมีเหตุที่จะทำให้ความโกรธเกิดขึ้น ความโกรธก็เกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา ถ้าเป็นผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมฟังพระธรรม จนกระทั่งมีความเข้าใจสภาพธรรม ที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม มีความเข้าใจว่าเป็นธรรมจริงๆ แล้ว ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ก็จะลดน้อยลง ทุกอย่างเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้นจริงๆ จึงไม่ควรโกรธใครเลยทั้งสิ้น ที่น่าพิจารณาคือ แม้ไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีเครื่องกั้นในความมีเมตตาคือ ความเป็นมิตรเป็นเพื่อนหวังดีต่อกัน สามารถที่จะเป็นมิตรเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ เพราะฉะนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง ทำให้ทุกคนมีที่พึ่ง นั่นก็คือ ปัญญา (ความเข้าใจถูก) ของแต่ละบุคคลนั่นเอง

ในที่สุด ทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องตาย ประโยชน์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ ได้ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก และไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ สะสมเป็นที่พึ่งต่อไป ครับ

ขอปิดท้ายด้วยประโยคที่ควรเก็บไว้ในหทัย (ไม่ลืม) ที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวเตือนไว้ ไพเราะมากทีเดียว ดังนี้.-

ใครจะรัก ใครจะชัง ใครจะไปเปลี่ยนแปลงได้ แต่ใจเรา ล่ะ เป็นอย่างไร?

ถึงแม้ว่าคนอื่นเขาจะร้าย แต่ใจเราไม่ร้าย ได้หรือไม่?

ความโกรธ เมื่อเกิดขึ้น ประทุษร้ายใคร ต้องตัวเองก่อนอย่างแน่นอน

ขณะที่ให้อภัย ใครได้ประโยชน์?

เมตตา เกิด จะไม่เกลียดใครเลย

สะสมความโกรธไปทีละเล็กทีละน้อย แล้วความสุขจะมาจากไหน?

ธรรม บังคับบัญชาไม่ได้ บังคับไม่ให้ไม่โกรธ ก็ไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัย ความโกรธก็เกิดขึ้น แต่ต้องรู้ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ดี อกุศลทั้งหลาย ไม่มีอะไรดีเลย

เมื่อคนอื่นเขาพูดไม่ดี ทำไม่ดี ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเราเลย ทำไมจะต้องไปเก็บเอาความไม่ดีของผู้อื่นมาใส่ไว้ในใจของตนเอง ด้วยล่ะ.

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Guest
วันที่ 25 ก.พ. 2558

ลืมเล่ารายละเอียด ไป อีกนิดนึงคะ ว่า

หน้าร้านอยู่ตรงข้ามกันเรยค่ะ ห่างกัน12-15เมตรได้ แค่เดินออกมานอกร้าน ก็เห็นกันและกันแล้วคะ เหตุผลที่ได้ใช้วิธี นึกถึง ความไม่ดีเขา เพราะว่า ดิฉัน รำคาญและโมโหเขา เนื่องจากเขาประพฤติในลักษณะ หวงก้างแบบ ต้องการเฉพาะความรู้สึกเรา ไว้กับเขา คือ ไม่สามารถเป็นคนดีสำหรับเรา แต่ก็ไม่รั้งว่าเราจะมีใหม่ อยากได้แค่ ..._"ดึง" _ความสนใจ ให้เราแคร์เขาอยู่ห่างๆ เขา -------ด้วยเหตุนี้คะ ที่ทำให้ตัดใจไม่ได้เสียที พอทำท่าจะทำใจได้ ด้วยการหลีก หลบ ไม่เจอพอนานเข้า เขาก็มาทำทุกทาง แบบห่างๆ ที่จะเรียกร้องให้เราสนใจเขา...ไม่ลืมเขา อะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Guest
วันที่ 25 ก.พ. 2558

แต่ยังไง

ได้คำตอบที่เป็นประโยชน์ดีแล้ว

ขอบพระคุณ และ อนุโมทนา สาธุ ในปัจจัยทั้งมวล ในการตอบปัญหาธรรมะทุกคำถาม ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
นิตยา
วันที่ 25 ก.พ. 2558

กราบเท้าอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่ให้ความเข้าใจในสภาพธรรมสาธุ สาธุ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nopwong
วันที่ 25 ก.พ. 2558

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ดวงทิพย์
วันที่ 27 ก.พ. 2558

สาธุคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ธุลีพุทธบาท
วันที่ 28 ก.พ. 2558

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่านเป็นอย่างยิ่ง ครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ประสาน
วันที่ 1 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ladawal
วันที่ 1 มี.ค. 2558

อนุโมทนาค่ะเข้าใจพระธรรมช่วยได้ทุกเรื่องค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 6 มี.ค. 2558

ถ้ามีปัญญาก็จะคิดเป็นกุศล คิดถึงความดีของเขาที่เคยมีให้ สิ่งที่ไม่ดีก็ได้ผ่านไปแล้ว เริ่มต้นวันใหม่ของความดี ด้วยการเป็นคนดีศึกษาธรรมะ เพราะถ้ามีปัญญาจะไม่ทุกข์ ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ