ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๑ ญาจาง]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
.........
สนทนาธรรมที่ Nha Trang [วันที่ ๓]
(วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘)
ในวันที่ ๔ ของการเดินทางมาสนทนาธรรมที่ เมืองญาจาง [Nha Trang] ประเทศเวียดนาม (วันที่ ๓ ของการสนทนาธรรม) เวลาประมาณตี ๕ ของวันนี้ เป็นวันที่เรารวบรวมกำลังพลโดยความพร้อมเพรียงกันของสหายธรรม เพื่อออกไปเดินเท้าเปล่าย่ำหาดทรายในตอนเช้าได้มากที่สุด
เวลาของประเทศไทยและเวียดนามนั้นเป็นเวลาเดียวกันตามเวลาสากล แต่เวลาตี ๕ ที่เวียดนามนั้น ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว เนื่องจากเวียดนามอยู่ทางด้านตะวันออกของประเทศไทย ที่โลกหมุนเข้ารับแสงจากดวงอาทิตย์ก่อน เมื่อตื่นขึ้นมาพบกับแสงแห่งดวงอาทิตย์ยามเช้าท่ามกลางบรรยากาศที่สวยงามและแสนสบายเช่นนี้ ทำให้คิดถึงคนที่บ้านที่อยู่เมืองไทยว่า เวลานี้ทุกคนยังคงหลับอยู่ ไม่มีโอกาสที่จะตื่นขึ้นมาเห็นความสวยงามยามเช้าดังเช่นที่หาดทรายและท้องทะเลอันงดงามของเมืองญาจาง เช่นพวกเราๆ ทั้งหลาย ณ ที่นี่ ในเวลานี้
เมื่อกล่าวถึงการหลับและการตื่น ก็ทำให้คิดถึงคำบรรยายของท่านอาจารย์ ที่กล่าวถึงความละเอียดลึกซึ้งของคำว่า "หลับ" และคำว่า "ตื่น" ว่าผู้ที่เป็น "ผู้ตื่น" อย่างแท้จริง จริงๆ ก็คือ ผู้ที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ (สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้สภาพที่เป็นปรมัตถธรรม) เพราะฉะนั้น โดยนัยนี้ แม้ขณะนี้ ที่กำลัง "เห็น" แต่ไม่เข้าใจความจริงของ "เห็น" ยังเป็น "เรา" ที่เห็น ก็ชื่อว่ายังเป็นผู้ที่หลับอยู่ทั้งสิ้น โดยทั่วกัน!!!
"...พุทธะ ทุกคนก็รู้จักความหมายของพุทธะ แต่ว่า "ตื่น" แค่นี้ก็จะงง หรืออาจจะไม่รู้จริงๆ เราก็ตื่นอยู่ไม่ใช่หรือ? แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ตื่นจากกิเลส ความหมายเพิ่มเติมแล้วใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น กิเลส สามารถรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ได้ไหม ว่าสิ่งที่มีจริง ที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ที่กำลังปรากฏขณะนี้ เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครสามารถไปดลบันดาลให้เกิดขึ้นได้เลย และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับ ใครจะรู้ได้? ไม่หลับใช่ไหม? ที่ไม่รู้ความจริง เหมือนหลับ คนหลับใครทำอะไรที่ไหน รู้ไหม? ไม่รู้เลย แต่นั่นคือหลับ แต่เดี๋ยวนี้ตื่น (แต่ว่า) ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏ เกิด ดับ ก็ไม่รู้!!!..."
เพราะฉะนั้น กิเลสไม่สามารถรู้ความจริง เพราะเหตุว่า ความไม่รู้ก็เป็นกิเลส เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ทำให้ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ปรากฏได้
เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ที่ไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังสิ่งที่มีจริง ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดง ผู้นั้นหลับ ไม่ตื่น เหมือนคนหลับเลย ไม่รู้อะไรตามความเป็นจริง หลับด้วยกิเลส กิเลสหลับแน่ๆ กิเลสไม่สามารถตื่นขึ้นรู้ความจริง ว่า ขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้วดับ "เสียง" ก็ปรากฏให้ได้ยินว่ามีเสียงจริงๆ แล้วดับ "คิด" เกิดขึ้นให้รู้ว่า คิดมีจริงๆ แล้วดับ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ กิเลสไม่สามารถรู้ได้เลย เพราะฉะนั้น จึงเหมือนคนหลับ แม้ตื่นก็เหมือนหลับ เพราะเหตุว่าไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้เลย!!!
เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า “พุทโธ” ก็ไม่รู้ว่า "ผู้ตื่น" ก็ได้ยินก็ผ่านไป แต่ถ้ารู้ว่า ตื่นจากกิเลส เพราะเหตุว่า กิเลสไม่สามารถจะรู้ความจริงได้เลย และเดี๋ยวนี้ที่กำลังฟังธรรมะ ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ตื่นหรือยัง? ต้องไตร่ตรอง ยากไหมที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้ตื่นหรือยัง? เวลาหลับแล้วฝัน ขณะที่ฝัน ตื่นหรือยัง? หลับสนิทเลย ไม่มีอะไรปรากฏเลย แล้วฝัน ขณะที่ฝันตื่นหรือยัง?
ตอบก็ยากใช่ไหม? แม้แต่จะคิด ก็มีทั้งหลับไม่รู้อะไรเลย แล้วมีทั้งฝัน แล้วก็ยังมีตื่นอีก ไม่เหมือนฝัน เพราะฉะนั้น ก็มีระดับที่ต่างกัน หลับคือไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ฝันก็ยังรู้บ้าง แต่ไม่เหมือนตื่น
เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังเริ่มฟังพระธรรม ยังไม่ตื่น หรือตื่นแล้ว? กำลังฟังพระธรรม ไม่ใช่หลับเลย แต่ยังไม่รู้อะไร ก็ยังเหมือนได้ยินในฝัน คือ เรื่องราวต่างๆ ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ เหมือนฝัน
ถ้าตื่นจริงๆ (คือ) รู้ลักษณะที่เป็นจริงในขณะนั้น ตามความเป็นจริง นั่นแหละ เริ่มตื่นและอบรมความรู้ถูก ความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง!!!
เพราะฉะนั้น พระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ไม่ลืมว่า การฟัง "ฟัง" เพื่อเข้าใจ อย่าหลงไปปฏิบัติ หรือไปทำอะไรที่ไม่สามารถจะรู้และเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะนั่นไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการทำให้พระศาสนา คือ คำสอน ค่อยๆ จางหาย และอันตรธานไป เพราะเหตุว่า ไม่สามารถแยกออกว่า คำที่ได้ยิน เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเป็นคำของใคร?
แต่เรื่องของธรรมะ เป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง จริง การอบรมเจริญปัญญา ต้องลึกซึ้งและจริง ด้วย
เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า “ตื่น” ข้ามไป ก็ไม่รู้ว่า หมายความว่าอะไร? ใช่ไหม? ตื่นจากกิเลส หรือยังหลับ? แล้วแว่วๆ ได้ยิน ได้ฟัง "แว่ว" นี่ชัดไหม? ไม่ชัด!! แต่เวลาได้ยินชัด เจน แม้ในฝันก็มี แต่ถึงอย่างไร ได้ยินในฝัน ก็ไม่เหมือนที่กำลังได้ยินในขณะนี้
เพราะฉะนั้น แต่ละคำ มีวินัยปิฎก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องข้อประพฤติปฏิบัติของบรรพชิต ก็ต้องอาศัยพระสุตตันตปิฎก ประโยชน์ของพระพุทธพจน์ทุกคำ ซึ่งเป็นวาจาจริง วาจาสัจจะ ที่ทำให้สามารถดำรงในคุณความดีเพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น และละคลายอกุศล เพราะแต่ละคนที่นี่ รับรองได้ว่า มีกิเลสมากๆ ไม่มีทางพ้นได้เลยถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ให้เข้าใจด้วย ไม่ใช่ฟังเผินๆ
เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ชีวิตจะยาว สั้น มากน้อยสักเท่าไรก็ตาม ประโยชน์แท้จริง คือ เข้าใจพระธรรม!!!
เช้าวันนี้ ที่ญาจาง เป็นเช้าที่ทุกๆ คน ดูมีความสุข สนุก สดชื่นที่สุดกว่าวันไหนๆ ของการที่ได้เดินทางมาที่เวียดนาม ท่ามกลางท้องฟ้า หาดทราย ริ้วคลื่นแห่งท้องทะเล และแสงพระอาทิตย์ ที่สาดส่องลงบนผืนน้ำ แลดูงดงาม เป็นธรรมชาติที่โรแมนติค เต็มไปด้วยความสนุกสนานเฮฮา ร่าเริงของทุกคน
[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ หน้าที่ ๔๘๒
ปาริสาสูตร
.........
บริษัทที่สามัคคีกัน เป็นอย่างไร?
ในบริษัทใด ภิกษุทั้งหลาย พร้อมเพรียงกัน ชื่นบานต่อกันไม่วิวาทกัน (กลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) เป็นประหนึ่งว่า นมประสมกับน้ำ
มองดูกันและกันด้วยปิยจักษุ (คือ สายตาของคนที่รักใคร่กัน)
บริษัทนี้เรียกว่า บริษัทที่สามัคคีกัน
ข้าพเจ้าไม่อยากจะคิดเลย (แต่คิดแล้ว ที่คิดว่าไม่อยากจะคิด!!) ว่าการเดินทางไปเวียดนามในครั้งหน้าที่จะถึงและในครั้งต่อๆ ไป สหายธรรมชาวไทยที่จะประสงค์จะเดินทางร่วมไปกับท่านอาจารย์ จะมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กว่าที่เคยๆ มีมา เหมือนกับการเพิ่มจำนวนมากขึ้นๆ ของชาวเวียดนาม ที่เดินทางมาร่วมฟังการสนทนาธรรมของท่านอาจารย์ในแต่ละครั้งที่ผ่านมา เหมือนกับข้าพเจ้า ที่แต่ก่อนก็ไม่เคยคิดว่าจะติดตามท่านอาจารย์มาที่เวียดนามเลย แต่เมื่อได้ไปในครั้งนี้ ความรู้สึกเดิมๆ นั้น ได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เดี๋ยวนี้กลับคิดว่า การเดินทางไปเวียดนามพร้อมกับท่านอาจารย์นั้น เมื่อมีความพร้อมและมีโอกาสก็ควรไปเป็นอย่างยิ่ง เวียดนามเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ แตกต่างไปจากที่อื่นๆ ที่ได้เคยไปมาแล้ว ปัจจุบัน ท่านอาจารย์ท่านให้ความสำคัญและความเมตตาเป็นพิเศษแก่สมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม เนื่องเพราะชาวเวียดนาม มีกุศลศรัทธาอย่างยิ่ง มีความสนใจ และตั้งใจจริง ที่จะฟัง และศึกษาพระธรรม ตามที่ท่านอาจารย์บรรยาย ซึ่งจำนวนผู้ที่สนใจนั้น มีเพิ่มมากขึ้นๆ อย่างเห็นได้ชัด ในปัจจุบัน
เชิญคลิกฟังการบรรยายของท่านอาจารย์ ที่เกี่ยวกับเรื่องหลับหรือตื่น ตามข้อความที่ถอดมาข้างต้นได้ ที่นี่ครับ "ตื่นหรือยัง?"
(วันสองวันนี้ คุณ Than Tam ได้กรุณานำซุปเสฉวนแสนอร่อยที่สมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม ที่ ญาจาง ได้ปรุงแต่เช้าตรู่เพื่อนำมาขึ้นโต๊ะท่านอาจารย์ และยังได้เผื่อแผ่มาถึงข้าพเจ้าและท่านอื่นๆ ได้ชิมด้วย อร่อยและรู้สึกถึงความมีสุขภาพดีด้วยครับ)
ด.ช.นาม ขอคำอธิบาย อนัตตา เพราะคิดว่า ยังมีคน สัตว์
ท่านอาจารย์ เข้าใจสภาพรู้เมื่อวานไหม? ผ่านไปหมดแล้ว เข้าใจพรุ่งนี้ได้ไหม? เข้าใจ เดี๋ยวนี้ได้ ขณะ "เห็น" ใครทำให้เกิดได้? มีเหตุปัจจัยให้เกิดปรากฏ แล้วก็ดับไปทันที "เห็น" เป็นเราหรือของเรา ได้ไหม? นั่นคือ อนัตตา เป็นใครไม่ได้ เพราะดับไปทันที ไม่มีเหลือ จะหาความเป็นเรา จากสิ่งที่เกิดแล้วดับ จากที่ไหน?
จอน เมื่อพูดถึงไม่ใช่ตัวตน เราพูดถึงธรรมะ ว่าไม่ใช่เรา เป็นลักษณะ ของสภาพธรรม "เห็น" เป็นธรรมะ ไม่ใช่ตัวตน ธรรมะไม่เที่ยง เราเข้าใจได้ ธรรมะเป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน จึงไม่สามารถเป็นเราได้ เป็นเพียงธาตุที่เกิดเพราะ เหตุปัจจัย ปัญญาที่อบรมเจริญแล้ว จึงจะรู้ ลักษณะของสภาพธรรมได้ มีเพียงพระพุทธศาสนาเท่านั้น ที่สอนความเป็นอนัตตา ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะรู้ได้
ผู้ถาม เราคิดว่าเราทำดี ได้บุญ ไปเลือกตั้งเป็นสิ่งไม่ดี จึงไม่ไป ช่วยอธิบายได้ไหม?
ซาร่าห์ ถ้าพิจารณาธรรมที่ ลึกซึ้ง เช่น ไปวัด ไหว้พระ ได้บุญ ว่ายน้ำเป็นอกุศล จริงๆ เป็นจิต เจตสิก รูป เหตุการณ์ใดๆ เป็นเรื่องคิด ขณะนี้มีเห็น เป็นผลของกรรม ได้ยิน ... เหมือนที่อื่นๆ หลังจากนั้นกุศลจิตหรืออกุศลจิตเกิดได้ หลังจากนั้น คิดถึงสิ่งที่เห็น บางคนคิดว่า ฟังธรรมมี ประโยชน์มาก เป็นกุศล จริงๆ แล้ว "คิด" อาจเป็นกุศลหรืออกุศลก็ได้ อบรมเจริญปัญญา เป็นกุศลที่สูงสุด เมื่อเข้าใจมากขึ้น เมื่อทำบุญ ให้ทาน มีกุศลจิต แล้วขณะที่ติดข้องกับกุศลที่ทำแล้ว เป็นอกุศล จิตเกิดดับสลับกันมากมาย มีทั้งกุศลและอกุศล เมื่อไปเลือกตั้ง ไปว่ายน้ำ ไม่ได้หมายความเป็นอกุศลตลอดเวลา
เมื่อเข้าใจการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ก็สามารถเข้าใจ สภาพธรรมที่เกิดปรากฏได้ เป็นปกติธรรมดา สภาพธรรมที่ไหนๆ ก็ปรากฏเหมือนกัน ไม่ว่าที่ไหน แม้ที่นี่ ขณะฟังธรรม ก็ไม่ได้เกิดกุศลตลอดเวลา ในพระสูตรทรงแสดงเมตตา เป็นกุศลที่สูงกว่าทาน แต่น้อยกว่า การอบรมเจริญปัญญา ขณะที่เข้าใจธรรมะ ประเสริฐที่สุด
จอน ในพระสูตรเรื่องล้อรถ สัมผัสพื้นจุดเดียว เหมือน ขณะนี้ เห็นขณะเดียวแล้วดับไป เห็นขณะก่อนดับไปแล้ว มีสภาพธรรมที่ต่างกัน ทีละขณะ การหมุนของล้อรถ คือ เห็น ได้ยิน ... ถ้าไม่ใช่เมตตา ก็เป็นอกุศล ไม่ว่า เหตุการณ์ใด ก็มีโอกาสเจริญกุศล กุศลสูงสุด คือ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง ทั้งเห็น ได้ยิน...
ถาม ความสำคัญของการนั่งสมาธิ เพื่อนำไปสู่การ อบรมเจริญปัญญา กลับจากทำงาน แล้วนั่งสมาธิ อาจจะง่วงบ้าง แต่ถ้านอนหลับก็ไม่ได้ทำกุศลอะไร ทำไมนั่งสมาธิดีกว่านอนหลับ
ซาร่าห์ ภาวนามี 2 สมถะและวิปัสสนา ต้องเกิดร่วมกับปัญญาและต้องเป็นกุศล พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า สภาพธรรมแต่ละอย่างเกิดเพราะ เหตุปัจจัย ขณะฟังธรรมที่นี่ ไม่มีใครอยากง่วง แต่เมื่อมี เหตุปัจจัยให้ง่วง ก็ไม่มีใครห้ามได้ เมื่อเข้าใจว่าเป็นธรรมะ ก็สามารถระลึกรู้สภาพง่วงได้ คิดว่าเลือกได้ ว่าจะนั่งสมาธิหรือนอน แต่จริงๆ ไม่มีใครเลือกได้ เกิดตามการสะสมและ เหตุปัจจัย
จอน ที่ถาม แสดงว่าคาดหวังที่จะได้ผลในการปฏิบัติ อยากเป็นกุศลใช่ไหม? หวังได้ผลของกุศลใช่ไหม? รู้ไหมว่า ขณะนี้เป็นอกุศล
ผู้ถาม ไม่รู้
จอน เพราะยังไม่รู้ว่า ขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนเป็นอกุศล ไม่สามารถเจริญความสงบได้ ถ้ายังหาวิธีได้ผลเร็ว ก็ยังไม่เข้าใจ
ถาม ตามการสะสม พระสะสมเจริญสติด้วยการนั่งให้สงบ
ท่านอาจารย์ คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องพิจารณาอย่างละเอียด เพราะทรงตรัสรู้ แต่ละคำแทน สภาพธรรมแต่ละ ลักษณะ เดี๋ยวนี้ อดีตผ่านไปแล้ว อนาคตยังไม่มาถึง ขณะนี้ต่างหากที่สามารถรู้ได้ ถ้าไม่รู้ เดี๋ยวนี้ จะรู้มากไปกว่านี้ได้ไหม? ความจริงเดี๋ยวนี้ คือ อะไร? ไม่อย่างนั้นจะไปหาอริยสัจจธรรม ตามที่ต่างๆ
แม้ไม่ใช้คำว่า ธรรมะ ก็มีความจริงเกิดปรากฏตลอดเวลา เมื่อมีสิ่งที่ปรากฏ อะไรจริง นั่นคือธรรมะ มีเห็น แต่ยังไม่รู้เห็น ตามความเป็นจริง คำสอนของพระพุทธเจ้าจะมีประโยชน์อะไร ถ้ายังไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ต้องพูดถีง สภาพธรรมอื่น เมื่อเข้าใจธรรมะแล้ว ก็ไม่ต้องไปที่ไหน เพื่อหาธรรมะ!!!
ซาร่าห์ ตอนนี้นั่ง กุศลหรืออกุศลทำให้สงบ? เหมือนกับไปที่อื่น ไม่ว่านั่ง เดิน ยืน ก็มีทั้งกุศล อกุศล เห็น ได้ยิน... ปรากฏให้ระลึกรู้
จอน จุดมุ่งหมายที่ทำสมาธิ เพราะต้องการกุศล เพื่อต้องการผลของกุศล ซึ่งไม่ใช่กุศลตามคำสอนของ พระพุทธเจ้า ลักษณะของสติ คือ ระลึกรู้ สภาพธรรมทุกอย่างเป็น อารมณ์ ไม่ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล
ท่านอาจารย์ คำว่า กุศล หรือ จิต เข้าใจจิตใน ขณะนี้พอหรือยัง จิต คือ อะไร? รู้จำนวนจิต แต่ยังไม่เข้าใจจิตในขณะนี้ จิต คือ สภาพธรรม เดี๋ยวนี้ ถ้าเข้าใจจิต เดี๋ยวนี้ จะเข้าใจจิตในชีวิตประจำวันตามคำสอน
ไปสำนักเพื่ออะไร? เพื่อได้บุญ? เข้าใจ สภาพธรรมอะไรบ้าง? ขณะนี้มีจิตไหม? จิตคืออะไร?
พระตอบ จิตคือสภาพรู้ วิบากจิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง
ท่านอาจารย์ จะเข้าใจเห็น ต้องเข้าใจสภาพรู้อารมณ์ที่ปรากฏ จิตเห็น เกิดขึ้นเห็น ไม่มีใคร ถ้าไม่ฟังคำสอน จะไม่รู้ว่า เห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับไปทันที ไม่กลับมาอีก "เห็น" ไม่ใช่ตัวตน เป็น สภาพธรรม แม้จะคิดพิจารณาสักเท่าไร ก็ยังไม่ประจักษ์แจ้งเห็น ตามความเป็นจริง อบรมเจริญปัญญาเพิ่มขึ้น ทีละขณะ จนกว่าจะมั่นคง ไม่ไปที่ไหน หรือหาทางลัดที่จะรู้
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อละคลายความติดข้องและความไม่รู้ อวิชชามากมายมหาศาล อะไรจะดับอวิชชาได้ ถ้าไม่ใช่ฟังธรรมให้เข้าใจทีละคำ โดยละเอียด
ถาม ปัญญามี 3 ระดับ ขั้นฟัง พิจารณา และอบรม ฟังอย่างเดียวจะเกิดสติได้อย่างไร?
ท่านอาจารย์ ในขณะนี้ "เห็น" มีสติไหม? ลักษณะของสติ เป็นอย่างไร? สติกับจิต ต่างกันอย่างไร? เมื่อไม่เข้าใจ จะมีสติได้ไหม? ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิ จะไม่มีสัมมาสติ สติไม่ได้เกิดเพราะจงใจ สติเกิดกับกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็ได้
กุศลมี 2 อย่าง ประกอบด้วยปัญญา และไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่กุศลทุกอย่าง ต้องมีสติเกิดร่วมด้วย ต้องมีศรัทธามั่งคง ไม่เปลี่ยนไปเป็นรู้ขณะอื่น นอกจากขณะเดี๋ยวนี้ จึงไม่ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เคยเป็นปกติ
สนทนาธรรมที่ Nha Trang บ่าย 20/5/2558
วิสุทธิมรรค มรณสติ เกี่ยวกับล้อรถ
คำถามจากสหายธรรมออนไลน์ ออสเตรเลีย แม่อายุ 96 อยู่โรงพยาบาล ควรบอกแม่ว่าอย่างไรเกี่ยวกับอนัตตา ไม่เคยฟังมาก่อน
ท่านอาจารย์ ทุกคนอยากฟังความจริงทุกขณะ แล้วแต่โอกาสของแต่ละคน ไม่อยู่ในอำนาจ บังคับบัญชา ชีวิต เปลี่ยนแปลงทุกขณะ รู้ว่า ไม่ใช่ของใคร ควรเจริญกุศล เพราะกุศล ไม่เป็นโทษแก่ใคร ควรรู้ว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล และควรรู้ว่า ควรรู้ปรมัตถธรรม ซึ่งมีประโยชน์กว่าสิ่งอื่น ที่เคยมีในชีวิต!!!
จอน ควรฟัง ปรมัตถธรรม อนัตตาก็เป็น ลักษณะของ ปรมัตถธรรม ในกรณีนี้ แม่ไม่สามารถฟังและเข้าใจอนัตตาได้ อาจจะเป็นธรรมะอื่น เช่น สติ "เห็น" ต่างจากได้ยิน และ คิด ส่วนใดของ ปรมัตถธรรมก็ได้ ถ้าเข้าใจ
ซาร่าห์ อาจช่วยแม่ด้วยเมตตาจิต ทุกคนรู้สึกได้ถึงความเมตตาของคนอื่น จะเห็นความติดข้องที่มีต่อแม่ อาจจะเกิดโทส ะถ้าแม่ไม่สนใจธรรมะ ไม่ควรคาดหวังให้ใครสนใจ การนำแม่ไปบ้านคนชรา คิดว่าเราเลือกได้ แต่จริงๆ เป็นแต่ละขณะ ที่เห็น ได้ยิน คิด ในชีวิตประจำวัน ถ้าแนะนำว่าควรทำอย่างไร ใน ปรมัตถธรรม นั่นคือสภาพคิด
ถาม พระพุทธเจ้าทรงสอนการ อบรมเจริญปัญญา ตั้งแต่ขั้นฟัง ...
ท่านอาจารย์ การตรัสรู้ ไม่ใช่เพียงอ้างถึงพระสูตร คำสอน คือ ขณะนี้!!! เห็นเดี๋ยวนี้ เกิดเพราะ เหตุปัจจัย หลับตา ลืมตา ไม่ใช่ตัวตน เกิดเพราะ เหตุปัจจัย เห็นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ต้องค่อยเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ จนสิ้นสังสาระ ต้องฟัง เวลาที่เข้าใจสภาพธรรมเพิ่มขึ้น จึงต้องอธิบายทีละคำ อะไรเห็น เห็นอะไร
เป็นธรรมดามาก เพราะ สภาพธรรมเกิดดับรวดเร็วมาก สภาพ "เห็น" ยากจะเข้าใจ แม้จะฟังว่า เห็นสามารถเกิดกับสิ่งที่ถูกเห็น จนกว่าจะเข้าใจ โดยไม่คาดหวัง เข้าใจมั่นคง จะทำให้ระลึกตรงลักษณะของ "เห็น" ที่มีแต่ "เห็น" ไม่มีอย่างอื่น!!! ไม่มีรูปร่างสัณฐาน ฟังบ่อยๆ เนืองๆ ว่าเห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เรา ... ไม่เลือก ไม่หวังที่จะระลึกสภาพธรรมใด ความเข้าใจอนัตตา ทำให้เป็นปกติใครสามารถเข้าใจเห็น เดี๋ยวนี้ได้? ไม่เร็วอย่างนั้น!!! พระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญบารมียาวนานมรดกที่ทรงมอบให้พวกเรา คือ ความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้
ซาร่าห์ พระพุทธเจ้าทรงรู้อัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลาย ต้องอดทน ที่จะค่อยๆ รู้เพิ่มขึ้น ใน สภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ!!!
แม่ชี สวดบท the king of Dhamma หมายถึง พระพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ ต้องทรงสอนธรรมะ และทรงสอนอะไร?
แม่ชีสาลี่ เกี่ยวกับ พระพุทธเจ้าไม่เกิด ไม่ดับ ในมหายาน
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีอะไรเกิด the king อยู่ที่ไหน? ปัญญาเกิดรู้ สภาพธรรม ตามความเป็นจริงต้องมีปัญญามาก ที่จะเป็น king ต้องตรัสรู้ สภาพธรรมทุกอย่างที่เกิดปรากฏ ตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นอะไร ไม่ว่าที่ไหน ต้องอบรมเจริญปัญญามากพอ จึงจะเข้าใจคำสอนของ พระพุทธเจ้า แข็ง เดี๋ยวนี้ เป็นเรา หรือของเราหรือไม่? แม้แข็งจะเกิดกับจิต ก็ยังไม่รู้ทั้งจิตและแข็ง เห็นเป็นธาตุที่กระทบกับจักขุปสาทรูป สั้นนิดเดียว แข็งเป็นแข็ง ไม่ใช่ใคร ขณะสวดมนต์ เข้าใจคำสอนของ พระพุทธเจ้าหรือไม่? หรือเพียงพูด หรือสวด สิ่งที่ทรงสอน
ซาร่าห์ ความหมายของ ขันธ์ คือ สิ่งที่เกิดแล้วดับไป เช่น รูป จิต ชอบ ไม่ชอบ สิ่งที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เป็นอนัตตา นิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่เกิด ไม่ดับ จิต รู้นิพพานได้ ขณะนี้มีจิต เจตสิก รูป ต่างๆ กัน เป็น ขันธ์ พระมหากรุณาคุณ เป็น ขันธ์ เป็น สภาพธรรมที่เกิดดับเช่นกัน
ถาม ฟังตอนแรกไม่เข้าใจ เมื่อฟังมากขึ้น ก็เข้าใจมากขึ้น อนุโมทนาและขอบคุณอาจารย์ที่มาที่นี่ แค่เข้าใจว่าไม่รู้ เดี๋ยวนี้ ก็ดีมากแล้ว แต่ ปัญญาเกิดน้อยและเปราะบาง พร้อมจะแตกหักตลอดเวลา
ซาร่าห์ ต้องเข้าใจพอที่จะรู้ว่า ไม่ต้องทำอะไร!!!
ถาม เมื่ออาจารย์พูดว่า ตั้งใจทำเป็นตัวตน ยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อฟังมากขึ้นก็ยอมรับ และจะฟังมากขึ้น
ซาร่าห์ อาจารย์บอกว่า น้องอาจหาญร่าเริง และจริงใจว่า ไม่ใช่ตัวตน
ถาม คนฆ่าตัวตายแสดงว่าไม่ติดข้องกับตัวตน
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ติดข้อง ไม่ฆ่าตัวตาย เพราะติดข้องในความเป็นเราอย่างมาก จึงฆ่าได้ เมื่อไม่ได้ตามความติดข้อง
พระ อยากจะให้เข้าใจอนัตตามากขึ้น ไม่ใช่ว่าไม่มีตัวตนเลยฆ่า
จอน คนฆ่าตัวตาย เห็นผิด เป็นอกุศล
พระ ในพระสูตร พระฆ่าตัวตายแล้วบรรลุ พระอรหันต์ จะอธิบายอย่างไร?
ซาร่าห์ มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถเข้าใจจิตของแต่ละคนอย่างละเอียด ไม่มีใครสามารถรู้จากสิ่งที่แสดงออก
จอน ภิกขุที่ฆ่าตัวตาย สะสมทั้งปัญญาและอกุศล ไม่มีใครเป็นพระอรหันต์ได้ ถ้ามีปัญญาเพียงเล็กน้อย
ถาม ถ้าไม่เห็น อยู่ในโลกของความมืด ช่วยอธิบายเพิ่ม
ท่านอาจารย์ อะไรเป็นปัจจัยของเห็น คือ แสงสว่าง ได้ยิน ได้กลิ่น ..คิด ในความมืดได้ จึงอยู่ในโลกของความมืดเกือบตลอดเวลา ยกเว้นเวลาเห็นต้องอาศัยแสงสว่าง ตอนนี้เห็นอะไร?
ตอบ คน
ท่านอาจารย์ คนถูกเห็นได้ไหม? ใครเห็นความต่างของเห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นบ้าง? เพราะเห็นเกิดปรากฏสั้นมาก ไม่เห็นความต่างของเห็นและคิดหลังเห็น รูปสามารถแตกย่อยเป็นกลาป มีมหาภูตรูป 4 สี กลิ่น รส โอชา อวิชชา ไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงยังคงเป็นคน สัตว์ บุคคล จึงยากมากที่จะรู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ขณะดูทีวี กับเห็น เดี๋ยวนี้ เหมือนกันหรือต่างกัน? เหมือนกัน เพราะไม่มีใครเลย มีแต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น!!!
จิต สภาพรู้ ไม่ใช่รูป จิตเกิดในความมืด แต่รู้ได้ ซึ่งไม่ใช่ใครเลย รู้สีหรือเสียง ทีละหนึ่ง ถ้ารู้สี อาศัยแสงสว่าง นอกนั้นอยู่ในความมืด ถ้าไม่เข้าใจ ก็ไม่สามารถละคลายความเป็นตัวตนได้
ถาม ตั้งใจทำหรือไม่ทำ เป็นตัวตนอย่างไร? แล้วจะ อบรมเจริญปัญญาได้อย่างไร?
ท่านอาจารย์ คนตาบอดเห็นไหม? ไม่เห็น ได้ยินเสียงไหม ได้กลิ่น ...คิดนึก ได้ แต่ในความมืด
จอน ล้อรถหมุนไปเรื่อยๆ จุดที่กระทบพื้นเลื่อนไปเรื่อยๆ ไม่ใช่จุดเดิม เช่น จิตเห็น ได้ยิน คิดนึก ก็กระทบ อารมณ์ต่างกัน วิสุทธิมรรค มรณสติ
ถาม คนตาบอดแต่กำเนิด สามารถบรรลุ พระอรหันต์ได้ไหม?
จอน ต้องเกิดด้วยเหตุ 3 จึงสามารถบรรลุได้ เมื่อไม่เห็น จะละคลายความเป็นตัวตนของเห็นและสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้อย่างไร?
.........
ขอเชิญคลิกชมคลิปวีดีโอจำนวน ๑๙ คลิป ของการสนทนาธรรมบางตอนในวันนี้ได้ที่นี่...
"...ไม่ลืมว่า การฟัง "ฟัง" เพื่อเข้าใจ อย่าหลงไปปฏิบัติ หรือไปทำอะไรที่ไม่สามารถจะรู้และเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะนั่นไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการทำให้พระศาสนา คือ คำสอน ค่อยๆ จางหาย และอันตรธานไป..."
(คัดจาก เมนูฟังธรรม>>> ธรรมะเตือนใจ >>>ตื่นหรือยัง?)
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรม บ้านธัมมะเวียดนาม ทุกท่าน ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดง (พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง) สำหรับข้อความการสนทนาธรรม ที่ถอดความสดขณะฟัง มาให้ประกอบเรื่อง และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
.........
ท่านสามารถคลิกอ่านกระทู้ทั้งหมดในครั้งนี้ ตามลิงก์แต่ละหัวข้อด้านล่าง :
- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๒]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๓]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๔]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๕ ดาลัด]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๖ ดาลัด]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๗ ดาลัด]
- ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เยี่ยมไข้ผู้ป่วยหนักชาวเวียดนาม ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘
- อันเนื่องมาจากการเดินทางไปเยี่ยมไข้ผู้ป่วยหนักชาวเวียดนาม ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
- ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เดินทางไปร่วมในพิธีศพสมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๘ ดาลัด-ญาจาง]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๙ ญาจาง]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๐ ญาจาง]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๑ ญาจาง]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๒ ญาจาง]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๓ ญาจาง พักผ่อนและสนทนาธรรมก่อนกลับ]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา สมุทรสงคราม ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๒๓ - ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๒ ฟังธรรมอย่างไรให้เข้าใจ]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๒ ญาจาง]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๒๓ - ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๑ ฟังธรรมเพื่อรู้ตัว]