สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (10) 30-31 ต.ค. 59

 
kanchana.c
วันที่  10 พ.ย. 2559
หมายเลข  28345
อ่าน  2,067

30-31 ต.ค. 59

2 วันนี้ตื่นขึ้นมาอากาศหนาวเย็นกว่าวันก่อนๆ ทราบว่าอุณหภูมิเหลือ 20 องศา ขณะที่วันก่อนๆ ร้อนถึง 33 องศา ท้องฟ้าก็ดูมืดครึ้ม เหมือนฝนจะตก อีกกลุ่มไปเที่ยวฮาลองเบย์ เราไปมาแล้วเลยเลือกอยู่สนทนาธรรมที่โรงแรม คนฟังยังหนาแน่นเหมือนเดิม มีคนวัยหนุ่มสาวหลายคนถามปัญหาในชีวิตประจำวัน ดูคึกคักมีชีวิตชีวา รายละเอียดต้องรอคุณนภาถอดความก่อนค่ะ

ชมรมบ้านธัมมะเวียดนามเลี้ยงอาหารกลางวันขอบคุณคณะมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่มาจากเมืองไทยที่ห้องอาหารใหญ่ติดห้องประชุมที่ใช้สนทนาธรรมทุกวัน แถมยังคืนเงินที่เราจ่ายค่าอาหารกลางวันไปแล้วคนละ 10 $ แต่ทุกคนก็บริจาคให้ชมรมบ้านธัมมะเวียดนามเพื่อทำกิจกรรมเผยแพร่พระพุทธศาสนาต่อไป

โรงแรม Army Guest Hotel Hanoi เป็นโรงแรมเก่าเห็นปีที่เขียนไว้หน้าตึกว่า 1816 คงเป็นที่รับรองทหารฝรั่งเศสเมื่อครั้งปกครองเวียดนามก็ได้ (อันนี้เดาเอา คือคิดเอง ไม่ได้หาข้อมูลจากที่ไหน เพราะ wifi ของที่นี่ไม่ค่อยดี เลยถามอากู๋บ่อยๆ ไม่ได้)

ปัจจุบันถูกจัดระดับเป็นโรงแรม 3 ดาว แม้จะเก่าแต่ก็สะอาด ร่มรื่นด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่อายุหลายร้อยปี มีทั้งต้นจำปีสูงเท่าตึก 4 ชั้น ต้นละมุดที่แก่จนออกลูกเล็กนิดเดียว โรงแรมตั้งอยู่กลางเมือง แม้จะต้องเข้าไปในซอย ไม่ติดถนนใหญ่ก็ตาม แต่สามารถเดินไปย่านเก่าที่สวยงามที่เรียกว่า The Old Quarter ที่เป็นที่ตั้งของ The Opera House ได้

เดินไปอีกไม่ไกลก็ถึงทะเลสาปที่สวยงาม วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ปิดถนนรอบทะเลสาปให้เป็นถนนคนเดิน โรงแรมมีห้องประชุมและห้องอาหารหลายห้อง ห้องพักก็ใหญ่โตกว้างขวาง จึงสะดวกมากในการจัดสนทนาธรรม

ห็นกลุ่มคุณวินเซ็นต์ คนไต้หวันนั่งหลังห้องแปลการสนทนาเป็นภาษาจีนไต้หวันให้น้องชายกับน้องสะใภ้ฟัง เราแปลเป็นภาษาไทยให้สหายธรรมที่นั่งใกล้ๆ ฟัง คุณตั้มบัคแปลจากวิทยากรที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาเวียดนามให้ผู้ฟังเข้าใจ และตั้มน้อยแปลจากผู้ถามที่พูดเวียดนามเป็นอังกฤษให้วิทยากรเข้าใจ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีถึง 4 ภาษา อังกฤษเวียดนาม ไทย จีน คิดถึงตอนไปร่วมพิธีที่ท่านอาจารย์ไปรับรางวัลสตรีดีเด่นในพระพุทธศาสนาที่ศาลาสันติธรรม กรุงเทพ ท่านอาจารย์กล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษาไทย มีหูฟังให้ผู้ฟังเลือกว่าจะฟังภาษาอะไร อังกฤษ หรือจีน ฯลฯ ถ้ามีคนมาฟังหลายชาติมากขึ้น อาจต้องใช้วิธีนี้เหมือนกัน

ตอนบ่าย ท่านอาจารย์ให้โอกาสคุณวินซ์พาคณะสนทนาธรรมเพิ่มเติมเวลาบ่ายสองจนถึงสี่โมงเย็น และสี่โมงเย็นถึงหกโมงเย็นก็สนทนาตามปกติ ท่านอาจารย์มีชีวิตเพื่อเผยแพร่พระธรรมจริงๆ ท่านบอกว่า ให้เข้าเริ่มเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ความเข้าใจนี้จะติดตามไปในชาติต่อๆ ไป เหมือนน้องชายน้องสะใภ้คุณวินซ์ที่บินตามมาจากไต้หวัน ที่เห็นด้วยว่า ทุกอย่างเกิดแล้วบังคับบัญชาไม่ได้

(ถอดความปากเปล่าโดย พลอากาศตรีหญิงกาญจนา เชื้อทอง จดชวเลขและเรียบเรียงเพื่อนำเสนอโดยคุณนภา จันทรางศุ)

Vincent: สงสัยเรื่องการปฎิบัติ นั่งสมาธิเกิดความสงบ จะมีผลอะไรหรือไม่?

ท่านอาจารย์: ปฎิบัติคืออะไร? ปฎิบัติเพื่ออะไร?

Vincent: ปฎิบัติคือการเลือกอารมณ์ที่ทำให้สงบ

ท่านอาจารย์: ถ้า "เลือก" ก็ผิด

Vincent: เลือกเพื่อให้เห็นอนัตตา

ท่านอาจารย์: มีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ... คิดนึกเดี๋ยวนี้ ... ต้องเข้าใจคำสอนก่อน อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เข้าใจ ต้องเข้าใจว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล

Vincent: สงสัยว่าสงบจนถึงระดับสูงแล้ว ทำไมจึงเป็นอกุศล?

ท่านอาจารย์: เป็น "คุณ" หรือเป็น "ความเข้าใจ"? เข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้หรือยัง?

Vincent: เข้าใจเห็นยากมาก

ท่านอาจารย์: ปัญญาสามารถเข้าใจทุกอย่าง

Vincent: ต้องเป็นปัญญาระดับสูงใช่ไหม?

ท่านอาจารย์: อะไรเป็นประโยชน์กว่ากัน ระหว่างเข้าใจกับไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฎขณะนี้!!

Vincent: เข้าใจว่าเกิดแล้วดับ ไม่ใช่ปัญญาหรือ?

Sara: ความสงบเป็นเจตสิกอะไร?

Vincent: เป็นปัสสัทธิเจตสิก

Sara: ขณะที่เข้าใจจิตสงบมีปัสสัทธิเกิดร่วมด้วย ที่เลือกอารมณ์ให้สงบนั้นเป็น "ตัวตนที่เลือก" เป็น "โลภะ" ไม่เข้าใจอะไรเลยในขณะนั้น จริงๆ แล้วสมาธิก็เกิดกับจิตทุกขณะ ซึ่งมีทั้งสัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ

Vincent: ทำอานาปานสติในบางครั้งก็เกือบหยุดหายใจ

Jone: พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนให้เลือกอารมณ์ เพราะไม่มีตัวตนที่เลือก นั่นไม่ใช่การอบรมเจริญปัญญาให้เข้าใจมากขึ้น เมื่อปฎิบัติผิดทำให้พบเหตุการณ์แปลกๆ ที่ไม่ได้ทำให้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ทรงแสดงสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไปทันที

ถาม: สภาพธรรมในชีวิตประจำวันเกิดเพราะเหตุปัจจัย เป็นอย่างไร?

Jone: การกระทำดีในทางธรรมขึ้นอยู่กับเหตุ เหตุดีก็เป็นกุศลเหตุ ขึ้นอยู่กับว่าเกิดกับเจตสิกที่ดี หรือเจตสิกที่ไม่ดี ในโลกของบัญญัติ คนก็มองไปตามความคิดของแต่ละคน มีการตัดสินว่าดีหรือไม่ดีต่างๆ กันไป มีมาตรฐานต่างกันที่จะตัดสิน

ถาม: เกี่ยวกับเรื่องเชื้อโรค!!!

ท่านอาจารย์: อยากพูดเรื่องเชื้อโรคต่อ ... แต่จะพูดเรื่องอื่น เชื้อโรคมีจริงไหม? แค่เกิดขึ้นจริงเมื่อขณะที่ปรากฎ อะไรเกิดขึ้น และอะไรที่เกิดขึ้นแล้วเรียกว่าเชื้อโรค ... อะไรก็ตามที่เกิดจะต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย "เห็น"เป็นเชื้อโรคหรือเปล่า? (ไม่เป็น) เห็นเพียงเห็นเท่านั้น นี่คือความเข้าใจที่มั่นคง ได้ยินอะไรก็ตาม เห็นเป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจากเห็นทำกิจเห็น /ทำกิจได้ยิน/ทำกิจคิดนึก ... เป็นเชื้อโรคหรือเปล่า!! คิดก็เป็นคิดไม่ใช่เวทนาทางกาย คิดรู้สึกได้ไหม? (ไม่ได้) ... ยากไป!!แต่ก็อยากเข้าใจในสิ่งที่ปรากฎ เพราะอยู่กับความไม่รู้ตลอดเวลา ...

ถาม: เกี่ยวกับที่คุณJone ตอบเรื่องดี ไม่ดี ไม่ค่อยพอใจในคำตอบ ยกตัวอย่าง เหมือนคนยิงโจรกับยิงคนอื่นๆ ผลก็ต่างกัน?

Jone: ขณะที่คิดหรือแสดงอาการอะไร จะเป็นกุศลหรืออกุศล ขึ้นอยู่กับเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย จิตที่เกิดกับโลภะ โทสะ หรือกับความไม่รู้ อันนั้นเป็นอกุศล แต่ถ้าเกิดอโลภะ อโทสะ โมหะ เป็นกุศล การฆ่าคนอื่นจะต้องเป็นจิตที่เป็นอกุศล เพราะว่าขณะนั้นไม่ใส่ใจในชีวิตของคนอื่น..

ถาม: ...

Jone: ทำไม่ได้เพราะไม่ได้พิจารณาจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าการกระทำเป็นอกุศลเพราะจิตขณะนั้นเป็นอกุศล เช่น พ่อแม่อยากจะปกป้องลูก จิตอาจจะเป็นอกุศลในบางครั้ง จะพูดว่าเป็นกุศลตลอดเวลาไม่ได้ ความคิดอาจดี แต่จิตที่ทำไม่ดี ท่านอาจารย์สอนให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฎในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่สำคัญที่จะคิด เพราะจิตเกิดดับแต่ละขณะ เพราะจิตเกิดดับ สภาพจิตที่เกิดขึ้นมีลักษณะเฉพาะตน ... ขณะที่เห็น ได้ยิน เป็นผลของกรรม ขณะที่คิดเป็นกุศลหรืออกุศล ก่อนฟังพระธรรมไม่เคยรู้อย่างนี้เลย ยังเป็นเรื่องราวของสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วคิดถึงเหตุการณ์และชีวิตโดยทั่วๆ ไป จริงๆ มีเพียงสิ่งที่ปรากฎเกิดปรากฎแต่ละขณะ เริ่มต้นที่จะรู้ลักษณะ ต้องแยกให้ออกว่าสิ่งที่เป็นกับสิ่งที่เราคิดว่าเป็น "ยาก" ในสิ่งที่มันเป็นกับสิ่งที่เราคิดว่ามันเป็น

ถาม: เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดง และที่อาจารย์สอนธรรมลึกซึ้งรู้ยาก ในขณะที่เข้าใจอย่างนี้ก็มีวิริยเจตสิก?

ท่านอาจารย์: รู้จักวิริยเจตสิกไหม? วิริยเจตสิกคืออะไร?

ตอบ: ไม่รู้

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่ใช่จิตแล้วเป็นอะไร? จิตเป็นอะไร? เจตสิกเป็นอะไร?

ถาม: อยากให้แยกวิริยะ ระหว่างจิต และเจตสิกต่างกันอย่างไร?

Nina: จิตแต่ละขณะเกิดขึ้นต้องมีสภาพรู้ แต่เจตสิกเห็นในสิ่งที่ปรากฎให้เห็น หลังเห็นชอบไม่ชอบเป็นเจตสิก แต่จิตเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เจตสิกบางอย่างดีเป็นกุศล บางอย่างไม่ดีก็เป็นอกุศล กุศลเจตสิกเป็นปัจจัยให้ทำกุศลกรรม เกิดเพราะปัจจัย เช่น พ่อแม่สอนลูกให้เป็นคนดี แม้จิตขณะนั้นดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ กุศลและอกุศลสะสมมา ทำให้กุศลจิต อกุศลจิตเกิดอีก จึงทำให้รู้ว่าเพราะมีเหตุปัจจัยจึงเกิด ... ไม่มีประโยชน์ที่จะมีตัวตนไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ ควรฟังให้เข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะไม่มีใครทำจิตอะไรให้เกิดได้ "อนัตตา" ขณะที่สุขก็เปลี่ยนไปตลอดเวลา โยนิโส อโยนิโส พิจารณาถูก ไม่ถูกที่เกิดขึ้นแต่ละขณะในชีวิต ... คำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อให้เราเข้าใจธรรมและรู้หนทางแห่งการดำเนินชีวิต การสนทนาเรื่องธรรมนั้นมีค่ามาก ควรหาโอกาสฟังแล้วพิจารณา เพื่อค้นหาความจริงของชีวิต.

Sara: ขณะที่เห็นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย 7 อย่าง ไม่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วยเลย นอกนั้นจิตทุกขณะมีวิริยเจตสิก โยนิโส อโยนิโสก็คือกุศล อกุศลที่เกิด หลังจากนั้นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากกว่า 7 ดวง ขณะที่จิตเป็นกุศล อกุศลก็มีวิริยะเกิดร่วมด้วย ... จริงๆ ไม่มีใครที่จะไปพยายามมีวิริยะ วิริยะเกิดดีมีตัวตนที่เป็นกุศล แต่ถ้าตั้งใจให้วิริยะเกิดก็เป็นอกุศล ... ขณะติดข้องมีวิริยะก็จริงแต่เป็นอกุศล ถ้าอกุศลจิตเกิดก็มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วยโดยไม่ต้องเลือกเลย ดังนั้น การเรียนเรื่องเจตสิกทุกประเภทเพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่ตัวตน ... ในชีวิตประจำวันเราคิดว่าจะมีความเพียรที่จะทำอะไรดีๆ จริงๆ แล้วไม่มีอะไรพยายาม แต่ละขณะเกิดขึ้นแล้วดับไปทันที ...

ถาม: มโนกรรม เช่นคนไม่เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม จะเป็นกรรมบทหรือเปล่า?

Jone: อาจจะไม่ได้คิดถึงเหตุและผล จึงถามอย่างนี้!! หรือเชื่อว่ามีเหตุและผล

Sara: อาจจะไม่เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม และไม่เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า นั่นคือความคิด ขณะคิดไม่ได้พูดออกมาไม่ทำให้เกิดผล แต่เป็นอกุศลจิต ไม่อย่างนั้นเวลาที่เราสงสัยอะไรก็เป็นกรรมไปหมด!! เป็นแค่ความคิดเท่านั้นไม่ได้ล่วงวาจาออกมา แต่ถ้าความเชื่อมีมากพอก็นำไปสู่การทำกรรมได้ ... ความเชื่อเป็นมโนกรรมไม่ใช่หรือ? เพราะแค่ความคิดก็อาจนำไปสู่การทำกรรมได้ จะเป็นกายกรรม (ทางกาย) หรือวจีกรรม (ทางวาจา)

ท่านอาจารย์: ต้องเข้าใจก่อนว่ากรรมคืออะไร และกรรมมีกี่อย่าง (เจตนาเจตสิก) นั่งในห้องขณะนี้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นกรรมหรือเปล่า? ... แค่พูดฟังแล้วเข้าใจเป็นกรรมหรือเปล่า? ไม่ใช่พูดว่ากรรม แต่ขณะที่เข้าใจเป็นกรรมหรือเปล่า? แต่เป็นขณะที่เข้าใจว่าเจตนาเป็นอะไร ... เพราะฉะนั้น ฟังเข้าใจเป็นกรรมหรือเปล่า? 👉🏻เป็นกรรม👉🏻กรรมทางทวารไหน? 👉🏻มโนทวาร ... ต้องเข้าใจสภาพธรรม ทีละเล็ก ทีละน้อย ไม่เช่นนี้ก็สับสน ความเข้าใจจะไม่เกิดถ้าไม่พิจารณา ถ้าฟังเรื่องจิตเจตสิกมากมาย อะไรเป็นอะไรในขณะนี้! มีอะไรที่จะรู้เจตสิกขณะนี้ได้ไหม? แต่อะไรที่จะรู้ความแตกต่างของเห็นกับความติดข้อง สภาพธรรมเกิดดับจึงยากที่จะรู้ เช่นเห็นเดี๋ยวนี้ เห็นมีจริงไหม? เป็นเราเห็นได้ไหม? หรือเห็นเป็นเห็นมากมายทุกขณะในชีวิตประจำวัน เป็นกิจของจิต เพราะที่สภาพรู้ 2 อย่าง คือจิตเป็นสภาพรู้ อีกอันคือเจตสิก ขณะนี้เห็นเพียงเห็น แต่ว่าเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยไม่ปรากฎให้รู้ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยเป็นปัจจัย แต่ไม่สามารถรู้ได้ พระพุทธเจ้าแสดงว่าต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยกับจิตเท่านั้น ... เมื่อเข้าใจว่าทุกอย่างที่เกิดกับจิตต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ... ขณะที่เห็นมีเจตสิกปรากฎให้เห็นไหม? แม้ว่าจิตมีก็ไม่ปรากฎ ... เริ่มต้นเข้าใจก็คือ ไม่มีอะไรเลย มีแต่สภาพธรรมมที่เกิดขึ้นแล้วดับไปตลอดเวลา ... ขณะที่ชอบนั้นไม่ใช่จิตเพราะจิตรู้อารมณ์แต่เจตสิกทำกิจต่างกัน ความติดข้องไม่สามารถทำกิจของเวทนาได้ ขณะที่เห็นต้องมีเวทนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เกิดกับจิตทุกประเภท "ใครรู้"!!! เวทนาที่เกิดร่วมกับจิตอะไรบ้าง? แม้ว่าจะเกิดร่วมกันแต่ว่าเป็นอารมณ์ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ... ขณะที่รู้สึกเป็นอารมณ์ให้รู้ได้ รู้ได้ทีละอย่าง ... คำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับชีวิตแต่ละขณะ มีจิตและเจตสิกเกิดทำกิจมากมายโดยไม่รู้ ขณะที่ชอบ ไม่ชอบ รู้ได้ แต่เป็นเราที่ชอบ ไม่ชอบ ถ้าชอบไม่เกิดจะมีความคิดว่าเราชอบไม่ชอบได้ไหม?

เราเรียนเรื่องจิตเจตสิกมากมาย แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ว่าเป็นจิต เจตสิกอะไร จนกว่าปัญญาที่เกิดในขณะนั้นจึงจะรู้ได้ ... รู้ขั้นปริยัติไม่สามารถประจักษ์ตามความเป็นจริงได้ คำสอนของพระพุทธเจ้า จริงตั้งแต่ต้นจนขณะสุดท้าย จากไม่รู้อะไรเลย เห็น ได้ยิน ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดนึก เมื่อมีปัจจัยที่เหมาะสมก็จะรู้ได้ เข้าใจเล็กน้อยไม่พอที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฎตามความเป็นจริง เพราะว่าจิตแต่ละขณะสะสมความไม่รู้มามากมาย นานเท่าไหร่ที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อละคลายความไม่รู้ "ขณะที่สะสมความเข้าใจไปจนถึงขณะที่ไม่ต้องใช้คำก็รู้" ... เช่น ได้ยินชื่อ Sarah ก็ไม่รู้ว่า Sarah คือใคร ถ้าไม่รู้จักมาก่อน จนกว่าจะเจอ Sarah แล้วจึงรู้ว่าเป็น Sarah ... "เหมือนกับมาเจอพระธรรม" คือ เมื่อเห็น Sarah ไกลๆ ก็ไม่รู้ว่าเป็น Sarah ต้องมาใกล้ๆ จึงจะรู้ ... เหมือนกับสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ เห็นเดี๋ยวนี้ไม่มีรูปร่าง ไม่มีอะไร เห็นคือเห็น จิตบริสุทธิ์ทำกิจเห็นแล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีก ไม่เหลือเลย ... "และนี่คือชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย บางชีวิตไม่มีโอกาสได้ฟังธรรม และบางชีวิตมีโอกาสได้ฟัง แต่ความเข้าใจน้อยมาก ถ้าเห็นว่ามีชีวิตอยู่ได้ด้วยความเข้าใจก็จะตั้งใจมากขึ้น"

... จากชีวิตหนึ่งไปอีกชีวิตหนึ่ง สะสมความเข้าใจไปเรื่อยๆ จากขณะหนึ่งของจิตที่เกิดดับ เพราะว่าจิตที่เกิดขึ้นดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดต่อโดยไม่มีระหว่างคั่น ... ทุกวันนี้ก็เหมือนวันอื่นๆ จนกว่าวันตายจะมาถึง สะสมเพิ่มขึ้นๆ ๆ ๆ จนถึงชาติหน้า เหมือนเดี๋ยวนี้ จากเด็กมาถึงเดี๋ยวนี้ จนกว่าจะถึงความเข้าใจว่าเห็นไม่ใช่เรา ขณะได้ยินเกิดเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วก็ดับไม่มีใครทำอะไร!! จากไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ การเกิดดับรวดเร็วมากจึงเป็นเหตุให้เราติดข้อง เป็นสภาพธรรมที่เกิดสั้นมาก ... จนกระทั่งวันหนึ่ง การฟังคำสอน พร้อมที่จะเข้าใจจนกระทั่งไม่ติดข้องกับอะไรเลย เพราะรู้ว่าเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย "อวิชชาไม่มีโอกาสจะทำอย่างนั้นได้เลย เพราะอวิชชาไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฎ" แต่การฟังพระธรรมทำให้เข้าใจเพิ่มขึ้น ทำให้ละคลายอวิชชา ทำให้ติดข้องน้อยลง ตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ สะสมอกุศลมากมาย ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ ไม่มีอะไรละคลายความสกปรกจากขณะหนึ่งไปสู่ขณะหนึ่งได้ นอกจากความเข้าใจ "เมื่อพูดถึงความเข้าใจที่เป็นสภาพธรรมก็คือ ความเข้าใจขณะฟัง แต่ว่าค่อยๆ เห็นความลึกซึ้งมากขึ้นๆ จึงจะเห็นปัญญาของพระพุทธเจ้า"

ถาม: ความต่างระหว่างจิต กับสภาพรู้?

Sara: สภาพรู้มีหลายความหมาย จะเรียกว่าจิตก็ได้ หรือสภาพรู้ก็คือจิต ท่านอาจารย์: สงสัยเรื่อง "เห็น" ไหม? เห็นเดี๋ยวนี้ก็มีจิต ต้องเข้าใจว่าเห็นไม่ใช่เรา เห็นสิ่งที่ปรากฎ มีหลายๆ สี เห็นเป็นจิตที่เป็นสภาพรู้ที่รู้เห็น ...

ถาม: คิดว่าอภิธรรม เหมาะกับเทวดาในสวรรค์ ยากสำหรับคนทั่วไป ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจ และการทำสมาธิทำให้เกิดความสงบได้

ท่านอาจารย์: สมาธิคืออะไร? ความสงบคืออะไร? ความเข้าใจที่ว่าสอนเทวดาในสวรรค์เท่านั้น แต่พระองค์ก็สอนท่านพระสารีบุตรด้วย ... ความเข้าใจทำให้สงบได้ไหม? ก่อนที่จะถึงธรรมคืออะไร เราพูดถึงสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นมากมาย อย่าพูดถึงสิ่งที่ไม่เข้าใจ ... ขณะนี้เห็นมีจริง สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมใช่ไหม? ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่เราเห็น สิ่งที่เห็นซึ่งมีจริง เห็นด้วยกับคำว่าธรรมไหม? ... (เห็นด้วย) แล้วเทวดาเห็นไหม?

ตอบ: ไม่รู้ ... และจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนเทวดาเรื่องอะไร?

ท่านอาจารย์: นามคืออะไร ขณะนี้มีนามไหม?

ตอบ: มีทั้งรูปและนาม

ท่านอาจารย์: พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องเห็น..ได้ยิน ... คิดนึก..กับเทวดา บางคนคิดว่าธรรมไม่ใช่อภิธรรม แต่อะไรจริงก็จริง อะไรถูกก็ถูก ความจริงคือความจริง ไม่มีใครทำให้ธรรมเกิดขึ้นได้จึงเรียกว่าปรมัตถธรรมคือความจริงที่สูงสุด ถ้าเข้าใจแล้วจะรู้ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอภิธรรม คำว่าอภิธรรมแปลว่าอะไร?

ตอบ: ไม่รู้

ท่านอาจารย์: ธรรมลึกซึ้งจึงเรียกว่าอภิธรรม ไม่สามารถที่จะเข้าใจทันที ต้องใช้เวลา พระองค์ทรงแสดงธรรมถึง 45 ปี เกี่ยวกับความจริงของธรรม เห็นเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นอภิธรรมไม่เปลี่ยน เปลี่ยนเห็นเป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ ธรรมทั้งหมดเป็นอภิธรรม

Sarah: สภาพธรรมที่พูดถึงเดี๋ยวนี้เห็น ได้ยิน โกรธ ติดข้อง พระองค์ทรงแสดงตลอดพระชนม์ชีพ ในพระสูตรก็ทรงแสดงตลอด ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่าจิต เจตสิก แต่คำทุกคำ ท่านพูดเพื่อให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่อง "เห็น" ในพระไตรปิฏกทั้งหมด ทุกสิ่งที่ทรงแสดงเป็นธรรม เป็นอภิธรรม เพราะลึกซึ้ง บางครั้งท่านก็ใช้คำต่างๆ กันในพระสูตร ก็คือเห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินเดี๋ยวนี้ ท่านแสดงในพระวินัย ในพระสูตรว่าชีวิตก็คือขณะนี้ที่เป็นจริง สอดคล้องกันทั้งหมด

ท่านอาจารย์: ลองยกตัวอย่างเรื่องอภิธรรมสิคะ

ผู้ถาม: ยุงกัด! ยุงมีโลภะหรือเปล่า? เพราะยุงก็ไม่รู้อะไร?

ท่านอาจารย์: อะไรคืออภิธรรม? เรื่องยุง เรื่องอะไรนี่?

ตอบ: โดยทั่วไปก็เข้าใจอย่างนั้น

ท่านอาจารย์: โลภะเป็นโทสะได้ไหม? โทสะเป็นโลภะได้ไหม?

ตอบ: ไม่เข้าใจในคำถาม!

ท่านอาจารย์: ทั้งโลภะและโทสะเป็นธรรม เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย เพราะโลภะก็เป็นธรรม ทั้งหมดเป็นอภิธรรม.

เช่นเคยที่เมื่อจบการสนทนาในวันสุดท้าย หลังตัวแทนชมรมบ้านธัมมะเวียดนามกล่าวขอบคุณท่านอาจารย์ และคณะวิทยากร มีคุณนีน่า คุณโจนาธาน คุณซาราห์ที่มาให้ความเข้าใจคำสอนที่แท้จริงแล้ว ก็ร่วมกันกล่าวอุทิศส่วนกุศลให้ผู้มีกุศลจิตร่วมอนุโมทนาเหมือนทุกวัน

หลังจากนั้นสหายธรรมเวียดนามมอบของที่ระลึกให้คนไทยที่ไปร่วมกุศลในครั้งนี้ ดีใจที่เป็นของเล็กๆ ไม่ต้องแบกน้ำหนักอย่างคราวก่อนๆ ขออนุโมทนาผู้ร่วมเดินทางทุกท่านที่ร่วมทำหน้าที่ตามความถนัดของตน ทุกคนมีส่วนสำคัญที่ช่วยท่านอาจารย์ในการเผยแพร่พระสัทธรรม ความจริงแท้ที่ไม่ใช่จะหาฟังได้โดยง่าย เพราะต้องรอการตรัสรู้และทรงแสดงธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์มีอายุยืนยาวจนได้มีโอกาสได้ฟังธรรม และเคยทำบุญมาก่อนที่ทำให้ฟังเข้าใจ

พระธรรมยิ่งเผยแพร่ยิ่งรุ่งเรือง สาธุ สาธุ สาธุ ขอนอบน้อมต่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า

กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างสูงที่เปลี่ยนชีวิตที่เคยอยู่ในความมืดให้เริ่มเห็นแสงสว่างมากขึ้นๆ เมื่อฟังธรรมเข้าใจขึ้นๆ ว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจเฉพาะของธรรมนั้นๆ แล้วดับไปทันที ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์

ขอเชิญคลิกชมตอนที่ผ่านมาทั้งหมดได้ที่นี่ ...

สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (1)

สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (2)

สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (3)

สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (4)

สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (5)

สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (6)

สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (7)

สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (8)

สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (9)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suchada.s
วันที่ 10 พ.ย. 2559

น้อมอนุโมทนาด้วยความเคารพค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
j.jim
วันที่ 11 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 12 พ.ย. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Boonyavee
วันที่ 13 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wirat.k
วันที่ 13 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
นายสุรพล กิจพิทักษ์
วันที่ 15 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 26 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pakati58
วันที่ 26 พ.ย. 2559

ขออนุโมทนา สาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ