สุพรหมสูตร ... วันเสาร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๐
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
สนทนาธรรมที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๐
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๕๕
๗. สุพรหมสูตร
[๒๖๙] สุพรหมเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคาถาว่า จิตนี้ สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ ใจนี้ หวาดเสียวอยู่เป็นนิตย์ ทั้งเมื่อกิจไม่เกิดขึ้น ทั้งเกิดขึ้นแล้วก็ตาม ถ้าความไม่สะดุ้งกลัว มีอยู่ ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว โปรดตรัสบอกความไม่สะดุ้งนั้น แก่ข้าพระองค์เถิด
[๒๖๕] พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า เรา ยังมองไม่เห็นความสวัสดีแห่งสัตว์ทั้งหลาย นอกจากปัญญาและความเพียร นอกจากความสำรวมอินทรีย์ นอกจากความสละวางทุกสิ่งทุกอย่าง
สุพรหมเทวบุตรได้กล่าวดังนี้แล้ว ก็อันตรธานไปในที่นั้น นั่นเอง.
จบสุพรหมสูตร
อรรถกถาสุพรหมสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสุพรหมสูตรที่ ๗ ต่อไป :-
บทว่า สุพฺรหฺมา ความว่า ได้ยินว่า เทพบุตรนั้น อันเหล่าเทพอัปสรห้อมล้อมแล้ว ไปยังสนามกีฬานันทวัน นั่ง ณ อาสนะที่จัดไว้ ใต้โคนต้นปาริฉัตร เหล่าเทพธิดา ๕๐๐ ก็นั่งล้อมเทพบุตรนั้น เหล่าเทพธิดา ๕๐๐ ก็ปีนขึ้นต้นไม้ ถามว่า ก็ต้นไม้แม้สูง ๑๐๐ โยชน์ ก็น้อมลงมาถึงมือด้วยอำนาจจิตของเหล่าเทวดามิใช่หรือ เหตุไร เทพธิดาเหล่านั้น จึงต้องปีนขึ้นเล่า
ตอบว่า เพราะเทพธิดาเหล่านั้นสนใจแต่จะเล่น ครั้นปีนขึ้นไปแล้ว ก็ขับเพลงด้วยเสียงอันไพเราะ ทำดอกไม้ทั้งหลายให้หล่นลง เหล่าเทพธิดานอกนี้ (ที่ไม่ได้ปีนขึ้น) ก็เก็บดอกไม้เหล่านั้น เอามาร้อยทำเป็นพวงมาลัยขั้วเดียวกันเป็นต้น ครั้งนั้น เหล่าเทพธิดา ที่ปีนขึ้นต้นไม้ ก็ทำกาละ (จุติ) ด้วยอำนาจอุปัจเฉทกกรรม ประหารครั้งเดียวเท่านั้น ไปบังเกิดในอเวจีนรก เสวยทุกข์ใหญ่ เมื่อเวลาล่วงไป เทพบุตรก็นึกรำพึงว่า ไม่ได้ยินเสียงเทพธิดาเหล่านั้น ดอกไม้ก็ไม่หล่น เขาไปไหนกันหนอ ก็เห็นไปบังเกิดในนรก เกิดรันทดใจ เพราะความโศกในของรัก จึงดำริว่า ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เหล่าเทพธิดาก็ไปตามกรรม ตัวเราจะมีอายุสังขารเท่าไรกันเล่า เทพบุตรนั้น ดำริว่า ในวันที่ ๗ เราก็จะพึงทำกาละ พร้อมกับเหล่าเทพธิดา ๕๐๐ ส่วนที่เหลือ พากันไปบังเกิดในนรกนั้นเหมือนกัน เกิดรันทดระทมเพราะความโศกที่รุนแรง เทพบุตรนั้นก็ดำริว่า ในมนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลก นอกจากพระตถาคตแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถดับความโศกของเรานี้ได้ จึงไปเฝ้า กล่าวคาถาว่า นิจฺจมุตฺรสุตํ ดังนี้ เป็นต้น
บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า อิทํ เทพบุตรนั้น แสดงจิตของตน
บทที่ ๒ เป็นไวพจน์ของบทต้นนั่นแหละ ก็บทว่า นิจฺจํ ไม่พึงถือเอาความว่า จำเดิมแต่กาลที่บังเกิดในเทวโลก พึงทราบความนั้นว่า เป็นนิตย์ จำเดิมแต่เวลาที่สะเทือนใจ
บทว่า อนุปฺปนฺเนสุ กิจฺเจสุ ได้แก่ในทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น โดยล่วงไป ๗ วัน แต่วันนี้ ด้วยบทว่า อโถ อุปฺปตฺติเตสุ จ เทพบุตรนั้นแสดงว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้วและยังไม่เกิดขึ้นเหล่านี้ อย่างนี้ คือ ในทุกข์ที่ข้าพระองค์ เห็นนางอัปสร ๕๐๐ บังเกิดในนรก จิตของข้าพระองค์ก็หวาดสะดุ้งเป็นนิตย์ ข้าพระองค์เป็นประหนึ่งถูกไฟเผาอยู่ในอก
บทว่า นาญฺญตฺร โพชฺฌงฺคตปสา ความว่า นอกจากการเจริญโพชฌงค์ และคุณคือตบะ เรามองไม่เห็นความสวัสดีในที่อื่น
บทว่า สพฺพนิสฺสคฺคา ได้แก่ พระนิพพาน ก็ในบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาการเจริญโพชฌงค์ก่อน ภายหลังก็ทรงถือเอาอินทรียสังวรก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น โดยใจความอินทรียสังวร ก็พึงทราบว่า ทรงถือเอาก่อน ด้วยว่า เมื่อภิกษุถือเอาอินทรียสังวรแล้วก็เป็นอันถือเอา จตุปาริสุทธิศีลด้วย ภิกษุตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีลนั้น เป็นนิสสัยมุตตกะ (พ้นจากการถือนิสสัยกับอุปัชฌาย์หรืออาจารย์) สมาทานตปคุณ กล่าวคือธุดงค์ เข้าไปสู่ป่าเจริญกัมมัฏฐาน ย่อมทำโพชฌงค์ให้เกิดมี พร้อมกับวิปัสสนา อริยมรรคของภิกษุนั้น ทำนิพพานธรรมอันใดเป็นอารมณ์แล้วเกิดขึ้น นิพพานธรรมอันนั้น ชื่อว่า สัพพนิสสัคคะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปลี่ยนเทศนาเป็นสัจจะ ๔
เมื่อจบเทศนา เทพบุตรก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
จบ อรรถกถาสุพรหมสูตรที่ ๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
สุพรหมสูตร
สุพรหมเทพบุตร มีนางอัปสร ๑,๐๐๐ ห้อมล้อม ไปเล่นที่สวนนันทวันเมื่อนางอัปสร ๕๐๐ ผู้เก็บดอกไม้จากต้น จุติไปเกิดในนรก สุพรหมเทพบุตรเกิดความเศร้าโศกเมื่อรู้ว่านางอัปสร ๕๐๐ ไปเกิดในนรก และรู้ว่าในวันที่ ๗ แม้ตนเอง กับนางอัปสร ๕๐๐ ที่เหลือ ก็จักตายไปเกิดในนรกเหมือนกันยิ่งเกิดความเศร้าโศกที่รุนแรงขึ้น คิดว่า พระบรมศาสดาเท่านั้น ที่จะยังความเศร้าโศกของเราให้สิ้นไปได้ จึงพานางอัปสร ๕๐๐ ที่เหลือ เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามปัญหา และพระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบปัญหาความว่า
“เรายังมองไม่เห็นความสวัสดี แห่งสัตว์ทั้งหลาย นอกจากปัญญาและความเพียร นอกจากความสำรวมอินทรีย์ นอกจากความสละวางทุกสิ่งทุกอย่าง (พระนิพพาน) ”
ในที่สุดแห่งเทศนา สุพรหมเทพบุตรได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน (ในทีฆนิกายและ ในมัชฌิมนิกาย ได้แสดงไว้ว่า นางอัปสร ๕๐๐ ที่เหลือ ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันด้วย) .
ขอเชิญคลิกศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
อินทรีย์สังวรศีล
รัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันสูงสุดได้อย่างไร
เพราะไม่ได้ฟังธรรม ย่อมเสื่อมรอบ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...