ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมแลนด์มาร์ค ถ.สุขุมวิท กรุงเทพมหานคร ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๑

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  25 ก.ค. 2562
หมายเลข  31069
อ่าน  1,884

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎาและครอบครัว เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ ห้องสุขุมวิท ๑ - ๒ ชั้น ๓ โรงแรมแลนด์มาร์ค ถนนสุขุมวิท กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๖.๐๐ น.

ปรกติที่ผ่านมา คุณจักรกฤษณ์และคุณชฎาพร มีกุศลศรัทธา กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และเพื่อนๆ ไปสนทนาธรรมที่บ้านพักย่านถนนประดิพัทธิ์ สะพานควาย แต่เนื่องจากกำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงบ้านพัก จึงเปลี่ยนมาสนทนาธรรมที่โรงแรมแลนด์มาร์คในวันนี้แทน

อนึ่ง ขออนุญาตบันทึกไว้เพื่อทุกท่านจะร่วมอนุโมทนา ณ ที่นี้ ว่า ท่านเจ้าของโรงแรมแลนด์มาร์ค ซึ่งเป็นเพื่อนกันกับคุณพ่อของคุณจักรกฤษณ์ ได้มีโอกาสมากราบท่านอาจารย์ ณ ห้องอาหารของโรงแรม และขอโอกาสจากท่านเจ้าภาพ ในการเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันทุกๆ ท่าน ที่เข้าร่วมสนทนาธรรมในวันนี้ แทนความตั้งใจของท่านเจ้าภาพที่มีอยู่เดิม กราบอนุโมทนาท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

คุณจักรกฤษณ์ วันนี้กระผมขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่เมตตามาให้ความรู้ และให้ได้มีการสนทนาธรรมกันในวันนี้ ซึ่งวันนี้ก็มีสมาชิกใหม่หลายท่านอยู่เหมือนกันครับ อาจจะมีบางท่านเคยฟังมาบ้างแล้ว บางท่านอาจจะยังไม่เคยได้ฟังสนทนามาก่อน ช่วงแรกผมขออนุญาตเกริ่นในเรื่องพระพุทธศาสนาในประเทศไทยก่อน ปัจจุบันนี้ พระพุทธศาสนาในประเทศไทย มีการให้ความรู้ในหลายระดับ เริ่มตั้งแต่ความรู้ น่าจะเป็นในชั้นมัธยม ที่จัดหลักสูตรเป็นเรื่องเป็นราว จากกันนั้นก็มีระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก และยังมีสถาบันที่ให้ความรู้ทางด้านพระพุทธศาสนาอีกหลายแห่ง มีทั้งทางการศึกษาบาลี การศึกษาเป็นนักธรรม มีนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เป็นต้น

แล้วก็มีอีกส่วนหนึ่ง ที่เป็นการศึกษาตามอัธยาศัย หมายความว่า ผู้ที่มีความสนใจในการศึกษา ก็หาความรู้เอง จากสื่อต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ และจากผู้บรรยายธรรมต่างๆ หลากหลายมาก ขอยกตัวอย่างการให้ความรู้ระดับนักเรียน หลักสูตรจะมีการสอนเกี่ยวกับประวัติพระพุทธศาสนา มีสอนเรื่องหลักธรรม มีสอนเรื่องประวัติของสาวก และพูดไปถึงเรื่องของการปฏิบัติต่างๆ ปัจจุบันมีการปรับปรุงหลักสูตรเพิ่มเติม คือจะแก้ไข แล้วก็เข้าใจกันว่า ในการเรียนการสอน น่าจะเน้นการปฏิบัติมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งตรงนี้ก็ยังไม่ออกมาว่าจะเป็นแบบไหน

ที่ผมได้กล่าวมากว้างๆ เราในฐานะที่เป็นชาวพุทธ ควรจะเข้าใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาที่สำคัญ มีความสำคัญอย่างไร ตรงนี้เป็นเรื่องที่ควรจะเข้าใจก่อนเบื้องต้นหรือไม่ และการศึกษาอย่างไร ถึงจะถูกต้องที่สุด และมั่นใจได้ว่า เราสามารถที่จะเดินได้ตามทางที่ถูกต้องของพระพุทธองค์ กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็ต้องขออนุโมทนาคุณจักรกฤษณ์ ที่ห่วงใย แล้วก็เห็นการที่จะให้คนอื่น ได้เข้าใจความจริงด้วย เพราะเหตุว่า เท่าที่คุณจักรกฤษณ์พูดถึงพระพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นจริงอย่างนี้ ใช่ไหม? แต่ว่า วันนี้ก็คงจะพูดถึง "พระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธไม่รู้จัก"

น่าคิดไหม? "พุทธศาสนาที่ชาวพุทธไม่รู้จัก" เพราะเหตุว่า ชาวพุทธไปวัด แล้วก็ทำพิธีกรรมต่างๆ มีการสวดมนต์ มีการปฏิบัติ มากมาย ไม่ใช่แต่เฉพาะที่ประเทศไทย ทั่วโลกทั้งหมดเลย

เพราะฉะนั้น คุณจักรกฤษณ์ได้ช่วยให้คนอื่นได้เริ่มสนใจที่จะเข้าใจ "พุทธศาสนาที่ชาวพุทธไม่รู้จัก" เลย ใช้คำว่าเลย ก็ได้ เพราะถ้าถามว่า พุทธศาสนาคืออะไร? ทุกคนก็ ง่าย ศาสนาคือคำสอน ไม่ว่าจะเป็นของใคร เราก็บอกถึงศาสดาของผู้สอน ใช่ไหม แต่ว่า สำหรับ พุทธศาสนา แม้แต่คำว่า "พุทธะ" ชาวพุทธไม่ได้เข้าใจ ถึงความเป็นจริง ว่า "พุทธะ" ไม่ใช่ชาวบ้านอย่างธรรมดา หรือไม่ใช่มิตรสหายที่เราพูดกัน หรือว่า ไม่ใช่ตำรับตำราที่ใครเขาเขียนขึ้นมาได้ แล้วก็คิดว่า ได้เข้าใจแล้ว

แต่ "พุทธะ" เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คำนี้ รู้สึกว่าคนจะไม่ค่อยสนใจ แต่สนใจครูบาอาจารย์ หรือว่า สนใจใครก็ตามแต่ ที่คิดว่าเป็นผู้ที่รู้ แต่ว่า คำว่า "พุทธศาสนา" และ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" นานเท่าไหร่ กว่าใครจะได้ยินคำนี้? สมัยก่อนการตรัสรู้ โลกมืด เพราะเหตุว่า สมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อน อันตรธานก่อน ไม่เหลือเลย

เพราะฉะนั้น โลกที่คนอยู่มา หลังจากที่พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรินิพพานแล้ว เป็นโลกที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เหมือนอย่างคนที่เรียกตัวเองว่า ชาวพุทธหรือชาวอะไรก็ตามแต่ ทุกคนอยู่ในโลก ด้วยความไม่รู้ แต่ "พุทธะ" พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะรู้ความจริง ซึ่งมีอยู่ทุกขณะ แต่ถูกปกปิดไว้ ด้วยความไม่รู้ เพราะไม่มีการตรัสรู้ความจริงเมื่อไหร่ "คำ" ที่จะกล่าวถึง "สิ่งที่มีจริง" จะมีไม่ได้เลย

ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานมาก สี่อสงไขแสนกัป ที่จะรู้ความจริง ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ถูกปกปิดไว้ เมื่อพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี ถึงกาลโอกาสที่จะได้ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง ข้อความนี้มีในพระไตรปิฎก ด้วยความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ของ "คำ" ที่พวกเราจะได้ศึกษา ได้เข้าใจถูกต้อง ว่า แต่ละคำ มาจากพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีใครที่จะเทียบได้เลย "เจ้า" ยิ่งใหญ่ที่สุด ในสากลจักรวาล เทวดา พรหม ก็ยังต้องมากราบไหว้ ทูลถามปัญหา ไม่มีใครเปรียบได้เลย

พุทธะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า "สัมมา" คือ ตรัสรู้ถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มี แล้วก็เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมหากรุณา รู้ว่าชาวโลก ถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ ไม่มีทางที่จะรู้อะไรเลยทั้งสิ้น!! ตั้งแต่เกิดจนตาย ชาวพุทธเข้าใจอย่างนี้หรือเปล่า? ว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ เป็นคำที่ฟังแล้ว ไม่ใช่เข้าใจได้ทันที ฟังแล้วไตร่ตรอง จนกระทั่งมีความเข้าใจว่า ทุกคำถูกต้อง ตามความเป็นจริง และกำลังมี ในขณะนี้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มอบให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟังคำของพระองค์ ซึ่งจะเรียกว่าชาวพุทธก็ได้ ก็คือ "ปัญญา" คิดดู ปัญญาคำนี้ไม่ใช่ปัญญาที่จะมาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ แล้วก็ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ แต่ปัญญานี้ มาจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ปัญญานี้ต้อง ใครก็คิดไม่ได้ ใครก็คิดเองไม่ได้เลย แม้ได้ยินได้ฟังแล้ว ประมาทไม่ได้เลย ถ้าประมาทคือเข้าใจผิด อ่านง่ายๆ เปิดพระไตรปิฎก คิดว่าเข้าใจได้ เหมือนคำธรรมดาๆ ที่เคยได้ยินได้ฟัง แต่ความจริง นั่นลบหลู่พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเท่านั้นเองหรือ ง่ายๆ

แต่ว่า แต่ละคำ ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เช่น เราได้ยินคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินคำว่า พระธรรม คือคำสอนของพระองค์ แล้วก็ผู้ที่ฟัง เป็นสาวก ที่เข้าใจจนกระทั่งสามารถรู้ตามพระพุทธเจ้าได้ จึงเป็นรัตนะ คือสิ่งที่มีค่ายิ่ง ๓ อย่าง ที่เราเรียกว่าพระรัตนตรัย พระพุทธรัตนะ เหนือบุคคลใด เพราะฉะนั้น คำของพระองค์ ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจ ก็เป็นรัตนะด้วย และผู้ที่ได้รู้แจ้งแล้ว ก็เป็นสังฆรัตนะ เป็นสาวก

เพราะฉะนั้น จากความไม่รู้เลย มาสู่คำที่ได้ฟัง แล้วเข้าใจ จนกระทั่ง รู้ตามได้ ยากสักแค่ไหน? ที่จะถึงการ ถึงการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รู้ และ ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้เข้าใ และรู้ตามด้วย

เพราะฉะนั้น ธรรมะคืออะไร? แค่นี้ ใครก็ตามที่เผินมาก ก็คิดว่ารู้แล้ว ทุกคำที่ได้ยิน แต่ความจริง ไม่ใช่เลย ลองถามดู ธรรมะที่ชาวพุทธไม่รู้จัก ก็คือ เดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริง ทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ถ้าสิ่งนั้นไม่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้อะไร? เพราะฉะนั้น จึงทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่เหลือเลย โดยประการทั้งปวง ถึงที่สุด ที่ไม่มีใครสามารถที่จะสงสัยในคำของพระองค์ และในสภาพธรรมที่พระองค์ตรัส แสดง ถึงที่สุดได้

ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้ ถูกปกปิดไว้ ด้วยความไม่รู้ ว่า ธรรมะอยู่ไหน มีธรรมะแน่ๆ แต่ ธรรมะอยู่ไหน? เดี๋ยวนี้เอง ไม่ได้ไปไกลเลย แต่ถูกปกปิดไว้ (ด้วยความไม่รู้)

เพราะฉะนั้น ธรรมะคือ สิ่งที่มีจริง แค่นี้ แต่ละคนต้องค่อยๆ คิด เพื่อจะได้รู้จัก "พระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธไม่รู้จัก" รู้จักแต่เพียงพิธีกรรมต่างๆ เช่น การสวดมนต์ หรือการบวช โดยที่ไม่ได้เข้าใจเลยว่า บวชคืออะไร? และ สวดมนต์คืออะไร?

เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง? ถามใครๆ เขาก็ต้องบอกว่า ในห้องนี้ มีแสงสว่าง มีดอกไม้ มีโต๊ะ มีเก้าอี้ คำเหล่านี้ไม่ลึกซึ้งเลย ถ้าบอกว่า เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง โต๊ะเก้าอีมีจริง ไม่ลึกซึ้ง เดี๋ยวนี้มีคนในห้องนี้ มากมาย ก็ไม่ลึกซึ้ง ใช่ไหม? จะลึกซึ้งได้อย่างไร ธรรมดาที่สุด

แต่ถ้ามีคำพูดที่ว่า ขณะนี้มี "เห็น" ทำไมต้องพูดเรื่อง "เห็น" เพราะเราไม่รู้จัก "เห็น" เพราะฉะนั้น ขณะนี้ถ้าถามว่า เห็นอะไร? เราก็ตอบธรรมดา ว่าเห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ เห็นคน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "เห็น...สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้" คำไหนจริง? เห็น สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ หลับตา คนหายไปไหนหมด? ห้องก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี พอลืมตา "มี" เพราะ "เห็นสิ่งที่สามารถที่จะปรากฏให้เห็นได้" เมื่อมีเห็น ซึ่งสิ่งนั้นต้องกระทบตา เป็นเพียงสิ่งที่กระทบตา แล้วอยู่ที่ไหนจะมากระทบตาได้ ก็อยู่ที่ดอกไม้บ้าง โต๊ะบ้าง คนบ้าง แต่จริงๆ แล้ว สิ่งนั้นต้องแข็ง จับตรงไหน กระทบที่ไหน ตั้งแต่ศีรษะ จรดเท้า ต้องแข็ง และสิ่งที่แข็งตรงนั้นแหละ มี "สิ่งที่สามารถกระทบตาได้" และเราก็เรียกว่าสีสันวรรณะต่างๆ ดอกกล้วยไม้สีขาว จับดู..แข็ง แข็งไม่ใช่ขาว แต่แข็งเป็น "แข็ง"

กลีบดอกไม้ ใบไม้ เป็นสีเขียว แข็งไม่ได้เขียว เลย แต่พอจับ..แข็ง เป็นแข็ง แข็งไม่เขียว แต่ที่แข็ง มีสิ่งที่กระทบตา ปรากฏเป็นสีสันวรรณะต่างๆ หลากหลายมาก นี่เป็นสิ่งซึ่ง ใครจะมาคิดถึง นักวิทยาศาสตร์เขาก็คิดเรื่องอื่นไป แต่นี่ไม่ต้องไปไหน อยู่ตรงนี้ และมีความจริงที่กำลังเผชิญหน้า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ว่าไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาได้ ถ้าสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น จะมีไหม? ถ้าแข็งไม่เกิด อะไรๆ ไม่เกิดเลย จะมีสิ่งที่เกิดแล้วรวมกัน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่ง คือ อัตตา ภาษาบาลีจะใช้คำว่า "อัตตา" หมายความว่า "สิ่งหนึ่งสิ่งใด"

เพราะฉะนั้น ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า ทุกคนสามารถจะรู้ความจริงได้ ในภาษาของตน ของตน ทั้งๆ ที่เราไม่รู้ภาษาที่พระพุทธเจ้าตรัส คือ ภาษามคธี ซึ่งดำรงพระศาสนา เราใช้คำว่า บาลี แต่ว่า สามารถที่จะเข้าใจในคำของเรา คำเดียวกัน ที่คนชาตินี้พูดอย่างนี้ คนชาตินั้นพูดอย่างนั้น แต่หมายความถึงสิ่งเดียวกัน

เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงว่า ขณะนี้เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ และสิ่งนั้นต้องเกิดด้วย ชาวพุทธเคยได้ฟัง เคยคิดอย่างนี้มาก่อนไหม? ถ้าไปสวดมนต์ จะเข้าใจอย่างนี้ไหม? ถ้าไปสำนักปฏิบัติ จะเข้าใจอย่างนี้ไหม? ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย เพราะเหตุว่า นั่นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ "เดี๋ยวนี้เลย" เข้าใจได้เลย พิสูจน์ได้เลยว่าถูกต้องและจริงไหม

จริงหรือเปล่า? ถ้าไม่จริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร? ลองหาคำที่พระองค์ตรัสรู้มา ว่าพระองค์จะตรัสรู้อะไร ก็เหมือนชาวบ้านธรรมดา ที่พูดธรรมดา แต่นี่ตรัสรู้ ต้องมีสิ่งที่ตรัสรู้ คือคำที่เรากำลังได้ฟังนี่แหละ แค่คำเดียว แต่ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เมื่อตรัสรู้ ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง เพราะสิ่งนี้เหลือวิสัยที่ใครจะคิด ที่จะรู้ว่า ความจริงแท้ๆ เป็นอย่างนี้ แต่ถูดปิดบังไว้ (ด้วยความไม่รู้)

แต่เพราะเหตุว่า มีผู้ที่ได้ฟัง ได้เข้าใจ ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ในสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ เคยได้ยินได้ฟังมา ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้ที่ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดดู เพียงได้ยินว่า มีผู้ที่ตรัสรู้ธรรมะ บางคนอยู่ใกล้มาก พวกเดียรถีย์ ไม่ไปเฝ้าเลย ฟังครูบาอาจารย์ ไม่เข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็มีผู้ที่ได้ฟังแล้ว เช่น ท่าอนาถบิณฑิกเศรษฐี แค่ได้ยินคำว่า พุทโธ นอนไม่หลับ เพราะอยากที่จะได้ฟังคำที่พระองค์ตรัส ว่าคำนั้นที่ตรัสรู้ คืออะไร เป็นความจริงอย่างไร ท่านประสงค์ที่จะไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตื่นถึงสามครั้ง ยังไม่สว่าง พอสว่างก็ได้ไปเฝ้า

เห็นไหมว่า ถ้าสะสมมา ถ้าได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพที่จะได้ฟัง คำจริงๆ ไม่ใช่ "คำที่คนอื่นพูด" แล้วก็กล่าว แล้วก็ไม่ได้ให้เหตุผล ไม่ได้กล่าวคำจริงถึงที่สุด ก็เข้าใจว่านั่นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ความจริงไม่ใช่ "คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ต้อง "เริ่มต้นทีละคำ" แล้วก็เข้าใจ ไตร่ตรอง ทีละคำ เพราะจะสามารถรู้แจ้งตามความเป็นจริง ตรงตามที่ได้ฟัง ตั้งแต่คำแรก

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา และครอบครัว
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

.........

ขอเชิญคลิกชมบันทึกการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ได้ที่นี่...

และ ขอเชิญชมครั้งที่ผ่านมาทั้งหมดได้ที่นี่.....

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๑
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๐
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๐
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา ๑๔ เมษายน ๒๕๖๐
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา ๒๐ มกราคม ๒๕๖๐
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๗


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
kullawat
วันที่ 26 ก.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chvj
วันที่ 16 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ