ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๑

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  10 ส.ค. 2562
หมายเลข  31092
อ่าน  2,879

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันจันทร์ ที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร เพื่อไปสนทนาธรรมที่บ้านพัก ภายในสนามกอล์ฟรอยัลเจมส์ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๖.๐๐ น.

การได้มีโอกาสเดินทางมาร่วมฟังการสนทนาธรรมที่บ้านของคุณทักษพลและคุณจริยา เจียมวิจิตร ของข้าพเจ้าครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ ๙ แล้ว ถ้าไม่นับการเดินทางมาในวันที่มีการบันทึกเทปถ่ายทำรายการพิเศษของรายการบ้านธัมมะ ที่นำไปออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๑๑ และช่องอื่นๆ อีกหลายสถานี เป็นรายการภาคพิเศษที่สนทนาเจาะจงเรื่องพระธรรมวินัยและวิกฤตของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ซึ่งท่านเจ้าบ้านทั้งสองมีกุศลศรัทธาอย่างยิ่ง ปวารณายกบ้านหลังนี้ให้มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาใช้เป็นสถานที่บันทึกเทปรายการพิเศษดังกล่าว โดยมีการเดินทางมาสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อาจารย์วิทยากรและแขกรับเชิญ เดือนละหนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อย ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ เป็นต้นมา

และเช่นเคย ทุกครั้งที่ท่านอาจารย์เดินทางมาสนทนาธรรมในวาระปรกติแต่ละครั้ง ท่านเจ้าบ้านคือคุณจริยา ซึ่งชื่นชอบต้นไม้ทุกชนิด ทั้งรักการปลูกและดูแลพรรณไม้ต่างๆ เป็นชีวิตจิตใจ จะกราบเรียนท่านอาจารย์เพื่อปลูกต้นไม้ไว้เป็นที่ระลึกทุกครั้ง บ้านริมสนามกอล์ฟที่มีพื้นที่สามไร่กว่าหลังนี้ จึงรายรอบไปด้วยต้นไม้ พรรณไม้ หลายชนิด หลากพรรณ

สำหรับต้นไม้ที่ท่านอาจารย์จะทำการปลูกในครั้งนี้ คือ ต้นกระดังงาโนรี (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cananga fruticosa x odorata ชื่อวงศ์ Annonaceae) เป็นต้นไม้ที่ ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น (คลิกอ่าน... ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น บุคคลดีเด่นแห่งชาติ 2556) เป็นผู้นำมามอบให้ท่านเจ้าของบ้าน ซึ่ง ดร.ปิยะ ท่านเล่าประวัติของต้นไม้ต้นนี้ให้คุณจริยาฟังว่า กระดังงาโนรี เป็นต้นไม้ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ ระหว่างต้นกระดังงาไทย-พ่อ [กระดังงา หรือกระดังงาไทย อังกฤษ : Ylang-ylang ชื่อวิทยาศาสตร์: Cananga odorata (Lamk.) Hook.f. et Th. ลำต้นมีขนาดสูงมาก กลีบดอกมีจำนวน ๖ กลีบ] และต้นกระดังงาสงขลา-แม่ [กระดังงาสงขลา เป็นกระดังงาชนิดหนึ่งถิ่นกำเนิดที่สงขลา ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cananga fruticosa มีชื่อสามัญอื่นคือ Dwarf Ylang-Ylang ต้นขนาดไม่สูงกลีบดอกมีจำนวน ๑๒ กลีบ]

กระดังงาโนรี ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติระหว่างพ่อคือกระดังงาไทยและแม่คือกระดังงาสงขลานี้ มีลำต้นขนาดกลาง กลีบดอกมีจำนวน ๖ กลีบ กลิ่นหอมแรง ส่งกลิ่นไปไกลตั้งแต่เวลาประมาณหกโมงเย็นถึงประมาณสิบโมงเช้า เป็นต้นไม้ต้นที่ ๑๔ ที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เมตตาปลูกให้ในการมาสนทนาธรรม ณ บ้านเลขที่ ๙๘/๑๒๐ สนามกอล์ฟรอยัลเจมส์ ศาลายา นครปฐม เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ (ขอบพระคุณข้อมูลจากคุณจริยา เจียมวิจิตร ครับ)

คุณจริยา กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ วันนี้ก็มีสมาชิกมากหน้าหลายตา มีทั้งสมาชิกเก่า สมาชิกใหม่ ดิฉันคิดว่า ไม่มีอะไรที่มีค่าและประเสริฐยิ่ง เท่ากับการได้ฟังพระธรรม จากการถ่ายทอดของท่านผู้มีความรู้ แล้วก็ถ่ายทอดตรง จริง ท่านใดมีคำถาม โดยเฉพาะท่านที่ฟังใหม่หรือว่าเพิ่งเริ่มฟัง ดิฉันคิดว่าอย่ารีรอ กรุณาถาม กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ

ท่านอาจารย์ ขณะนี้ เป็นวาระที่มีโอกาสจะได้รู้พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีการสนทนาโดยการที่ได้ฟังคำของพระองค์ เราก็ไม่สามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย เพราะว่า การที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแต่การเห็นพระพุทธรูป หรือว่าการอ่านหนังสือพระไตรปิฎก แต่ว่า ต้องเป็นความเข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ๔๕ พรรษา ซึ่งแม้ว่าเวลาจะผ่านมา ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง ไม่ใช่ธรรมดา เพราะเหตุว่า แม้พระไตรปิฎกก็มีตามที่ต่างๆ พระพุทธรูปก็มาก แต่ใครสามารถที่จะเข้าใจ ในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ และในพระมหากรุณาคุณ

ถ้าไม่ได้มีการฟังคำแต่ละคำ แล้วเข้าใจ เข้าใจเมื่อไหร่ จึงสำนึกในพระคุณเมื่อนั้น แต่ถ้าไม่เข้าใจ คำเหล่านั้นก็ไม่มีความหมายอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การที่จะเคารพบูชาสูงสุด ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ ไตร่ตรอง แล้วก็ เข้าใจคำที่ได้ยินได้ฟัง เพราะว่าพระองค์ทรงแสดงพระธรรม ไม่ใช่ปรารถนาสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ทรงสละทั้งหมด ความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ และทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อที่จะมีสิ่งที่ให้คนอื่นได้เข้าใจถูกตามที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี แล้วสามารถที่จะรู้ความจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย แม้เทวดาและพรหม โลกกี่โลก ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าถึงพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทั้งหมด ธรรมะที่ทรงแสดง เป็นแต่เพียงส่วนเล็กน้อยที่พระองค์ได้ตรัสกับผู้ที่สามารถที่จะมีโอกาสได้ฟังและเข้าใจ

เพราะฉะนั้น หนึ่งชาติที่เกิดมาเป็นคนนี้ และจะเป็นคนนี้อีกไม่นาน ไม่มีใครจะรู้ว่าจะเป็นคนนี้อีกนานเท่าไหร่ ต่อไปก็จะเป็นคนใหม่ คนใหม่ก็มาจากคนนี้ คนนี้ทำอะไรไว้ สืบเนื่องมาจากแสนโกฏิกัปป์ ก็จะปรุงแต่งให้ขณะต่อไป จากโลกนี้สู่โลกอื่น เป็นคนใหม่ แล้วก็ไม่รู้ว่ากรรมใดที่ได้ทำมาแล้วทั้งหมด กรรมไหนจะให้ผล

ก็เป็นสิ่งซึ่ง ไม่ละเว้นแต่ละโอกาส แต่ละขณะ มีค่าอย่างยิ่ง ที่ได้เข้าใจพระธรรม เพราะถ้าไม่มี "แต่ละหนึ่งขณะ" ไม่มีทางที่จะเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมะ ไม่ใช่เพื่ออะไรเลย แต่เพื่อเข้าใจ และการเข้าใจธรรมะ ก็จะเป็นการรู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ว่า การบูชาพระองค์ ก็คือ ด้วยความเข้าใจของแต่ละคน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ตรัสรู้ พระองค์ได้ทรงแสดงไว้โดยครบถ้วนก่อนที่จะปรินิพพาน ไม่มีอะไรที่จะต้องสงสัย ข้องใจ เพราะว่า พุทธบริษัทในครั้งนั้น ก็มีตั้งแต่พระอรหันต์ จนกระทั่งถึงพระโสดาบัน และปุถุชน และพระธรรมก็สืบทอดมา สำหรับผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็ศึกษาด้วยความเคารพ ไม่คิดเอง แต่ว่า ไตร่ตรองพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ให้ลึกซึ้ง และละเอียด จนสามารถที่จะรู้ความจริง ตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้

พระธรรม ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร เหมือนง่าย แต่ว่า ความจริงลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า คนไม่รู้ ก็จะไม่สามารถเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งซึ่งกำลังมีขณะนี้ ตามปรกติธรรมดา แต่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ตามปัญญา ของแต่ละคน ที่ "เริ่มเข้าใจ" เพราะฉะนั้น การสนทนาธรรม เป็นมงคล ทำให้เราได้เข้าใจสิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง เพิ่มขึ้น ชัดเจนขึ้น ทั้งหมดก็คือ เพื่อเข้าใจธรรมะ ไม่ใช่เพื่อเหตุอื่น เพราะว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่ แม้กำลังมี ก็ยากที่จะเข้าใจ แต่ไม่พ้นวิสัยเลย เพราะเหตุว่า ความเข้าใจ ต้องเข้าใจถูกต้อง มั่นคง ตามลำดับ ไม่ใช่ผิวเผิน

ความลึกซึ้งอย่างยิ่งก็คือว่า ถ้าไม่สนใจที่จะรู้ความจริง ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ไม่รู้ว่า พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง แม้ว่ายาก แต่ก็ฟังเถอะ จริงไหม สิ่งที่มีขณะนี้ ไม่แน่นอน ไม่เที่ยง ใครไปทำให้เกิดขึ้นก็ไม่ได้ เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย จะไม่ให้ดับหมดไป ก็ไม่ได้ แต่ละขณะ กำลังดับไป ดับไป แล้วสิ่งที่เกิดสืบต่อก็เกิดสืบต่อไป นี่คือโลก โล-กะ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้น มีความดับไปเป็นธรรมดา

เพราะฉะนั้น โลกอยู่ไหน? เห็นไหม? ตอนเป็นเด็ก เรียนภูมิศาสตร์ โลกอยู่ไหน? แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสความจริงว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นแหละเป็นโลก เพราะว่าถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย โลกก็ไม่มี โลกภูมิศาสตร์ โลกอะไรๆ ไม่มีหมดเลย ถ้าไม่มีการเกิดขึ้น แต่ เพราะเกิดขึ้น จึงเป็นไป ทำให้ "เราหลงยึดถือ" ว่า "เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด" ซึ่งเป็น "ของเรา" บ้าง เป็น "ตัวเรา" บ้าง

อย่างขณะที่กำลังนั่งอยู่เดี๋ยวนี้ ฟังธรรมะ ก็รู้ว่า "เป็นสิ่งที่มีจริง" ก่อนฟังธรรมะ "เป็นเรา" แต่ฟังทีเดียว จะให้รู้ไหม ว่า "ไม่มีเรา" แต่มี "สิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่งอย่าง" ซึ่งกำลังมีจริงๆ มี "เห็น" มี "ได้ยิน" เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป "เรา" อยู่ไหน? "สิ่งนั้น" จะเป็นเราได้ไหม? แยกย่อย "สิ่งที่รวมกันปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด" โดยละเอียดยิบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ของสิ่งที่เกิดในขณะนั้น จนสามารถที่จะทำให้คนที่ได้ฟัง เริ่มเข้าใจถูก ว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัสรู้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้เลย ว่า ทุกอย่าง แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุด ก็ยังแยกย่อยออกไปตามความเป็นจริงว่า ต้องอาศัยกันและกันเกิดขึ้นอย่างไร เพราะว่าไม่มีใครไปทำ แต่สิ่งที่มีนั้น อาศัยกันและกันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

ธรรมะก็เป็นเรื่องที่ต้องฟังด้วยความศรัทธา จิตที่ผ่องใส ขณะนั้นไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ แต่มีการที่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แล้วก็พิจารณาขณะนั้นให้ถูกต้อง เริ่มเข้าใจถูกว่า มีเราหรือเปล่า? หรือว่ามีธรรมะ ถ้าไม่มีธรรมะ มีเราไหม? เห็นไหม ถ้าถามกลับกัน ตอบได้ ถ้าไม่มี "เห็น" ไม่มีร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่มี "ได้ยิน" ไม่มี "คิดนึก" จะมี "เรา" ไหม? ก็ไม่มี แต่ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ สิ่งที่มีอยู่ ก็เป็นเราทั้งหมด

จริงๆ แล้ว สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นเรา นั่นเป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งต้องเกิด เกิดแล้วต้องดับ ดับแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่สิ่งอื่นที่เกิดสืบต่อ ก็ปกปิด เมื่อวานนี้ยังมีอะไรเหลือไหม? เห็นเมื่อวานนี้หมดแล้ว ได้ยินเมื่อวานนี้หมดแล้ว ทุกอย่างเมื่อวานนี้หมดแล้ว แต่มีวันนี้ ก่อนนี้ก็มีธรรมะซึ่งเกิดแล้วดับแล้ว แต่ไม่ปรากฏ จึงเข้าใจว่า แม้ขณะนี้ ก็ไม่มีอะไรที่เกิดดับ แต่ความจริง ถ้าพิจารณาแต่ละหนึ่ง ขณะเห็น ต้องไม่มีได้ยิน ขณะได้ยิน ต้องไม่มีคิด ทุกอย่าง เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ

เพราะฉะนั้น น่าเข้าใจถูกต้องว่า แต่ละหนึ่ง คืออะไรบ้าง สภาพที่มีจริงอย่างหนึ่ง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เช่น สิ่งที่ตัว ผม ผมรู้อะไรไหม? เอามือแตะผม สระผม หวีผม ผมไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้น สภาพที่มีที่ตัว ที่ว่าเป็น (ของเรา) ความจริงก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่ง "แข็ง" หรืออะไรก็ตามแต่ อาจจะร้อน ก็ได้ ตากแดดมา ผมก็ร้อน ทั้งหมดก็เปลี่ยนแปลงไป แต่ว่า เป็นของเราหรือ? แต่สิ่งที่มีที่ตัวส่วนหนึ่ง ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เล็บรู้อะไรได้ไหม? ตัดเล็บ เล็บไม่เจ็บ ไม่รู้สึกอะไรเลยทั้งสิ้น

สภาพที่มี ก็ต่างกันเป็นสองอย่าง อย่างหนึ่งมีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น จะตี จะกระทบกระแทกอย่างไร สิ่งนั้นก็ไม่รู้สึก เช่น แข็งที่เราว่าเป็นโต๊ะ ลองทุบโต๊ะแรงๆ โต๊ะก็ไม่รู้สึก เพราะฉะนั้น ส่วนหนึ่งที่ตัวของเรา ก็มีสภาพที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ คนตายต่างกับคนเป็น เพราะว่ามีรูปร่างกายเหมือนเดิมเลย แต่ไม่รู้อะไร เพราะไม่มีจิต จึงกล่าวว่าเป็นคนตาย ไม่มีสภาพรู้ ไม่มีธาตุรู้ คนตายไม่เห็น คนตายไม่ได้ยิน คนตายไม่ได้คิด เพราะฉะนั้น "เห็น" เป็นอย่างหนึ่ง "คิด" เป็นอย่างหนึ่ง "จำ" เป็นอย่างหนึ่ง ทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นสภาพที่เกิดขึ้นรู้ รัก ชัง ต่างๆ ขี้เกียจ ขยัน ทั้งหมดในวันหนึ่งๆ ก็เป็นสภาพรู้ ไม่ใช่เรา ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี

เพราะฉะนั้น เรามีไหม ตอนที่ยังไม่เกิด แต่พอเกิดแล้วมี เดี๋ยวนี้ หิวไหม? ไม่หิว แต่หิวเกิด เป็น "เราหิว" ความจริง "หิว" เป็นสภาพธรรมะที่เป็นทุกข์ทางกายลักษณะหนึ่ง เพราะความรู้สึกที่ไม่สบายกาย มีหลายอย่าง เจ็บ คัน ปวด เมื่อย สารพัดอย่าง เป็นสภาพที่ มีเมื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เมื่อไม่เกิดไม่มี แล้วเรามีไหม? เราเจ็บไหม? เราคันไหม? เราหิวไหม? ถ้าสภาพต่างๆ เหล่านั้นไม่มี จะไม่มีเรา แต่พอเกิดขึ้น เพราะไม่รู้ ก็เป็นเราทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นธรรมะแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ จึงเป็นเรา แต่ละภพแต่ละชาติ เกิดมาเป็นคนโน้น คนนี้ ต่อไปเป็นใคร? แต่ก็คือธรรมะทั้งหมด

ธรรมะหลากหลายมาก แต่อย่างใหญ่ๆ เป็นประเภทที่ต่างกันคือ สภาพอย่างหนึ่งไม่รู้อะไรเลย ที่ตัวก็มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติว่า รูปธรรม แต่ถ้าไม่มีสภาพรู้ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ แต่ที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏได้ เพราะมี "ธาตุรู้" ที่กำลังรู้สิ่งนั้น เพราะฉะนั้น เห็นขณะนี้ เป็นสภาพรู้ ว่าเดี๋ยวนี้มีอะไรตรงหน้าที่ปรากฏ พอได้ยิน รู้ว่าเสียง เสียงอะไร แล้วก็คิด เพราะเหตุว่าจำได้ ทั้งหมดก็เป็นสภาพรู้ที่ใช้คำเรียกว่า นามธรรม เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรพ้นไปจากรูปธรรมและนามธรรม เมื่อเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นต้องเป็นหนึ่ง คือ เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม

ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้เข้าใจความจริงว่า โลกว่างเปล่า เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น และโลกว่างเปล่า เมื่อไม่มีอะไร แล้วก็มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิด แล้วสิ่งนั้นก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย เหมือนเดิมไหม? จากไม่เคยเกิด ไม่มีอะไรเกิด แล้วก็มีสิ่งที่เกิด แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ก็ไม่มีอะไร แต่พอมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ไม่ประจักษ์การเกิดดับ ก็หลงเข้าใจว่าเป็นเรา แต่จะเป็นเราได้อย่างไร? หมดไปแล้วทุกขณะ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงหรือเปล่า? ความจริงซึ่งคนอื่นไม่รู้ และบางคนไม่สนใจที่จะรู้ด้วย เพราะฉะนั้น เกิดมา ไม่รู้ว่าจะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี จากโลกนี้ไป ก็ไม่รู้อะไรเหมือนเดิม เกิดอีกก็เหมือนเดิมอีก คือไม่รู้อะไร

ความรู้ขณะนี้ มาจากใคร? จากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ละเอียดอย่างยิ่ง นี่แค่ไม่กี่คำ แต่คำของพระองค์ทุกคำ จะทำให้สิ่งซึ่งไม่เคยเกิด คือ ความเข้าใจถูก ภาษาบาลีใช้คำว่า "สัมมาทิฏฐิ" ความเห็นถูก หรือจะใช้คำว่า "ปัญญา" ก็ได้ เพราะว่าคนไทยคุ้นเคยกับคำนี้ แต่ไม่รู้ว่า คำนี้จริงๆ หมายความถึงสภาพธรรมะอะไรที่มีจริงๆ "ปัญญา" ต้องเป็น "ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังมี ที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง"

เพราะฉะนั้น จากความมืด ไม่เคยฟังธรรมะ ไม่เคยรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินคำที่ทำให้เริ่มเข้าใจว่า ที่ตัวนี้ ตรงไหนเป็นเรา? เป็นแต่สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แล้วแต่จะแข็ง อ่อน เย็น ร้อน ตึง ไหว หรือว่าเป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นอะไรต่างๆ แล้วก็มีสภาพรู้ซึ่งเกิดดับ ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ตายแล้ว เป็นเราหรือเปล่า? ถ้าตายแล้วไม่เป็นเรา ตอนเป็นอยู่ ทำไมเป็นเรา? เอาเรามาจากไหน? เอาเรามาตอนที่เป็นอยู่เท่านั้นเอง แต่พอตายแล้วก็ไม่มีเรา แต่ มีธรรมะ เกิดอีก หลงยึดถือว่าเป็นเราอีก แต่ไม่ใช่คนที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ แต่วันหนึ่ง ก็จะหมดสิ้น หาคนนี้อีก ไม่ได้เลย

ธรรมะละเอียดยิ่ง ที่จะต้องเข้าใจ จนกระทั่ง หมดความสงสัย ในขั้นฟัง แต่...ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมะเดี๋ยวนี้ ที่เกิดดับ ก็ยังไม่สามารถที่จะละความเห็นผิด ซึ่งสะสมมานานสุดที่จะประมาณได้ ด้วยความไม่รู้ ว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ก็ต้องอาศัยการฟัง เข้าใจขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย เป็นประโยชน์ไหม? ไม่ว่าวิชาอื่นใดทั้งสิ้น เป็นประโยชน์ทุกวิชา แต่วิชาที่จะทำให้รู้จักตัวเอง รู้จักดี ชั่ว ว่าคืออะไร เป็นธรรมะหรือเปล่า? ยับยั้งได้ไหม? เกิดแล้ว เป็นแล้ว แต่ไม่รู้

เพราะฉะนั้น ก็สมควรจะรู้สภาพธรรมะซึ่งแม้สุขและทุกข์ก็มี เกิดขึ้น แต่เป็นเรา สามารถไหม? ที่จะดับความไม่รู้ แล้วก็ค่อยๆ รู้ขึ้น จนกระทั่ง ไม่ใช่เรา เป็นธรรมะ แล้วแต่มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป จะเดือดร้อนไหม? ไม่ใช่เรา แต่ว่า ขณะที่ไม่รู้ เดือดร้อนมาก นั่งอยู่ขณะนี้ก็เดือดร้อน เดือดร้อน ในความเป็นเรา สบายดีไหม? เห็นไหม? เราใช่ไหม? สบายไหม? ไม่สบาย "เรา" ใช่ไหม? สบายดี ก็ "เรา" อีก ทุกอย่าง ที่เกิดขึ้น บังคับบัญชาไม่ได้ เข้าใจผิดว่าเป็นเรา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้เข้าใจผิด แต่เข้าใจถูกต้อง ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่มี แล้วก็ให้คนอื่น ได้เข้าใจถูกด้วย เพราะเหตุว่า ปัญญาที่มีความเข้าใจถูกต้อง สามารถที่จะรู้ความจริง ขณะไหนดีงาม ขณะไหนไม่ดีงาม ขณะไหนเป็นทุกข์ นำมาซึ่งความทุกข์ และผลของสิ่งที่เป็นทุกข์ในขณะนี้

ทุกอย่าง ครบถ้วนในพระไตรปิฎก แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจ อ่านพระไตรปิฎกไม่เข้าใจ คิดว่าเป็นเรา หมดเลย (คิดว่า) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเรา ให้เป็นอย่างนี้ ให้ทำอย่างนั้น แต่ละเลยการที่จะไตร่ตรองความลึกซึ้งว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง เมื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี ธรรมะที่เกิดขึ้น ไม่มีใครไปทำให้เกิดได้ ยับยั้งไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้มีแข็งใช่ไหม? ใครทำแข็งนี้ ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ ใครทำ? ไม่มีใครทำได้เลย แต่มี คิดดูก็แล้วกัน ตามเหตุ ตามปัจจัย นี่คือธรรมะ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้น เกิดเองไม่ได้เลย ต้องอาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้น ปรุงแต่ง

รู้ดีกว่าไม่รู้ ใช่ไหม? แล้วถ้าฟังอีก จะรู้มากกว่านี้อีก จะเข้าใจละเอียดขึ้น เพื่ออะไร? เพื่อละความไม่รู้และความเห็นผิด นั่งอยู่อย่างนี้ เห็นผิดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ไม่รู้อะไร ก็ยังไม่รู้อีก เต็มไปด้วยความไม่รู้ แต่พอได้ฟังแล้ว ก็ค่อยๆ รู้ว่าไม่รู้อะไร "ม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ"

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

.........

ขอเชิญคลิกชมบันทึกการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ได้ที่นี่...

อนึ่ง การสนทนาธรรมครั้งนี้ มีพระภิกษุรูปหนึ่งเดินทางมาร่วมฟังและร่วมสนทนากับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในเวลาใกล้จบการสนทนาภาคบ่ายด้วย เป็นการสนทนาที่น่าสนใจมากสำหรับพุทธศาสนิกชนทั้งภิกษุและคฤหัสถ์ ที่จะค่อยๆ ฟังและพิจารณา เพื่อประโยชน์คือความเข้าใจที่ถูกต้องของตนเอง ในหนทางที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ เพราะเหตุว่า "สัมมาทิฏฐิ" ความเห็นที่ถูกต้อง เป็นมรรคองค์แรก ในอริยมรรคมีองค์ ๘ หนทางที่จะนำไปสู่การตรัสรู้ ที่ทรงแสดงไว้ ซึ่งสำคัญที่สุด เพราะหากบุคคลเริ่มต้นด้วยความเห็นผิด เข้าใจผิด ไม่มีทางที่บุคคลจะไปสู่การสิ้นทุกข์ ออกจากสังสารวัฏฏ์นี้ได้เลย ท่านสามารถคลิกชมได้ตามลิงค์ด้านล่างครับ

และ ขอเชิญคลิกชมบันทึกการสนทนาธรรมที่บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ครั้งที่ผ่านมาทั้งหมด ได้ที่นี่...

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๘
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๖


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Selaruck
วันที่ 10 ส.ค. 2562

น้อมกราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เหนือเกล้า

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
พัชรีรัศม์
วันที่ 13 ส.ค. 2562

กราบเท้าอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ และขออนุโมทสาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
papon
วันที่ 28 ส.ค. 2562

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chvj
วันที่ 30 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ