สวดมนต์ นั่งสมาธิ
คือผมตั้งใจอยากจะสวดมนต์แผ่เมตตาก่อนนอนทุกคืน แต่มักจะง่วงนอนตลอดอาจจะเพราะเหนื่อยล้าจากการงาน แบบนี้มีวิธีแก้อย่างไรบ้างครับ โปรดชี้แนะผมที
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่ามนต์ก่อนครับ เพราะ มนต์ (ภาษาบาลี คือ มนฺต) หมายถึง ปัญญา บางครั้งก็มีคำว่า พุทธมนต์ (พระปัญญาของพระพุทธเจ้า) ด้วย และประการที่สำคัญ คือ มนต์ในทางพระพุทธศาสนา ต้องเป็นพระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเท่านั้น เช่น พระสูตร ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งถ้าไม่ฟัง ไม่ศึกษา ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย
การสวดมนต์จึงไม่ใช่จุดประสงค์เพื่อขอพร จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะนั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นไปเพื่อได้ เพื่อติดข้อง ไม่เป็นไปเพื่อละ สละขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องสวดมนต์โดยไม่เข้าใจ และ เพื่อหวังและอ้อนวอนเลย ครับ
ในความเป็นจริงแล้วในสมัยพุทธกาล บุคคลสมัยนั้ันต่างก็พูดเป็นภาษาบาลีกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นคำพูดเมื่อจะกล่าวสรรเสริญใคร ยกย่องบุคคลใด รวมทั้งอธิบายในสิ่งใดให้ผู้อื่นเข้าใจก็ใช้คำบาลี การสวดมนต์ที่ปัจจุบันสวดกันนั้นก็เป็นภาษาบาลี มีการกล่าวยกย่องสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า เป็นต้น รวมทั้งเป็นบทพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในสูตรต่างๆ ในปัจจุบันก็นำมาสวดกัน เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ การสวดมนต์ก็จะถูกต้อง คือ เป็นไปเพื่อการระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ครับ
การแผ่เมตตาในสมัยครั้งพุทธกาล คือ ผู้ที่มีปัญญาอบรมเจริญเมตตาจนมีกำลังมาก ไม่มีประมาณ จิตสงบ ระดับฌานจิต แล้วแผ่ความปรารถนาดี ความหวังดีไปยังสรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า ทุกทิศ ไม่มียกเว้นสัตว์ประเภทใดเลย แต่ก่อนที่จะถึงระดับขั้นที่สามารถแผ่ได้จะต้องอบรมเมตตาตั้งแต่เบื้องต้น คือ ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน ความมีไมตรี ความหวังดีแก่เพื่อนๆ แก่สัตว์บุคคลที่เราพบเห็นทั้งหมด ถ้าหากว่ายังไม่สามารถมีความปรารถนาดี หรือเป็นมิตรกับทุกคนที่เราพบ คือยังมีความไม่ชอบหน้าบุคคลบางคน เมตตาชื่อว่ายังไม่ได้เจริญให้มีกำลัง แบบนี้ยังแผ่ไม่ได้ ส่วนการท่องคำแผ่เมตตาว่า สัพเพสัตตา เป็นต้นนั้น เรียกว่า ท่องคำแผ่เมตตาไม่ใช่แผ่เมตตา
การแผ่เมตตา คือ การที่แผ่เมตตาไปในสัตว์ทั้งหลาย ทั้งปวง อันเกิดจากกำลังของการเจริญเมตตาฌานที่มีกำลังถึงอัปนาสมาธิแล้ว ซึ่งเหตุผลที่สำคัญของการเจริญเมตตาที่ได้ฌาน เพื่อถึงความสงบจากกิเลส ที่เป็นอกุศลที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเป็นสำคัญ ซึ่ง ผู้ที่ได้รับการแผ่เมตตา เช่น สัตว์ทั้งหลาย ก็ไม่จำเป็นจะต้องได้รับผลของการแผ่เมตตาของผู้อื่น เพราะ กุศลของใครก็ของคนนั้น ไม่เกี่ยวข้องกัน หากแต่ว่าถ้าผู้ที่ได้รับการแผ่เมตตา สามารถรู้คือ ล่วงรู้ถึงผู้อื่นว่า ผู้ที่กำลัง
แผ่เมตตามีกุศลจิตที่หวังดีย่อม ย่อมจะเป็นปัจจัยให้บางบุคคล ไม่ใช่ทุกคนคือ เกิดกุศลจิต ที่ผู้อื่นหวังดีก็เกิดจิตเมตตาด้วยเช่นกันก็ได้ แต่ก็ไมได้หมายความว่าทุกคนเมื่อรู้แล้ว จะเกิด กุศลจิต ที่มีเมตตาตอบ ก็แล้วแต่การสะสมของแต่ละบุคคล อย่างเช่น ในพระสูตรหลายๆ พระสูตร
ขอยกตัวอย่าง ที่ พระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านถูกงูกัดมรณภาพ พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่อง ได้กล่าวกับพระภิกษุทั้งหลายว่า เพราะ เธอไม่ได้เจริญเมตตา แผ่เมตตาไปในพญางูทั้งหลาย หากว่าเธอมีเมตตา ในพญางู งู ย่อมไม่เบียดเบียนเธอเลย จากเรื่องนี้ แสดงว่า หากมีเมตตาที่มีกำลังจนได้ฌานและ แผ่เมตตาในสัตว์ทั้งหลาย หากสัตว์เหล่านั้นทราบ ย่อมมีเมตตาในบุคคลที่แผ่เมตตาก็ได้ ครับ
อีกเรื่องหนึ่ง ที่พระภิกษุอาศัยอยู่ในราวป่า เทวดาต่างก็แปลงเป็นผีมาหลอกหลอน พระพุทธเจ้าให้เจริญเมตตา แผ่ไปในเทวดาทั้งหลายต่อมา เมื่อ พระภิกษุทั้งหลายเจริญเมตตา ในสัตว์ทั้งหลาย และ กับเทวดาเหล่านั้นเทวดา ทราบถึงไมตรีจิต จึงเกิด จิตที่เป็นกุศลตอบ คือ เกิดเมตตาในเหล่าพระภิกษุจึงอารักขาพระภิกษุ ที่ท่านกำลังประพฤติธรรมในป่า ครับ
จากตัวอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่า การแผ่เมตตาไปในสัตว์อื่น กุศลจิตของผู้แผ่ไม่่ได้ทำให้ สัตว์อื่น จะได้รับผลของกุศล แต่ อาจทำให้เกิดกุศลจิตในสัตว์อื่นได้ถ้าสัตว์เหล่านั้นรับรู้
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นที่น่าพิจารณา ว่า ในสมัยพุทธกาล กว่าจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีไม่บ่อย ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง แล้วกลับไปยังที่อยู่ของตน ก็มีการทบทวนเป็นลำดับด้วยดีตามพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เรียกว่า การสาธยาย ซึ่งเป็นเรื่องของความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ใช่การพูดคำที่ไม่รู้จักแล้วก็ไม่รู้เรื่อง
เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจธรรมได้ นั้น ไม่ใช่การสวดมนต์ แต่ต้องเป็นการฟัง เป็นการศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยความเคารพ ด้วยความละเอียดรอบคอบเท่านั้น ขณะที่เข้าใจ อกุศลใดๆ ก็เกิดไม่ได้ ครับ
เมตตา เป็นสภาพธรรมฝ่ายดี และเป็นประโยชน์ในที่ทั้งปวง ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใครทั้งสิ้น เป็นธรรมที่ควรมี ควรอบรมให้มีขึ้นแทนที่จะโกรธกันหรือไม่พอใจกัน เมตตาเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าความโกรธ (ถ้าไม่ได้สะสมมา ก็ไม่ง่าย) เพราะโกรธต้องหาเรื่องที่จะต้องโกรธ ย้อนคิดถึงเรื่องที่ทำให้ตนเองโกรธ แต่ถ้าเป็นเมตตาแล้ว ใจเบาสบาย ไม่หนักด้วยอำนาจของโทสะ ในชีวิตประจำวัน ยังไม่มีเมตตาที่มีกำลังจนกระทั้งถึงเมตตาฌาน ก็ยังไม่สามารถแผ่ได้ และที่สำคัญ เมตตา ไม่ใช่เรื่องท่อง ไม่ได้อยู่ที่คำแผ่ แต่สามารถอบรมเจริญได้ในชีวิตประจำวัน โดยเป็นมิตร เป็นเพื่อนกับทุกคน มีความหวังดี ไม่หวังร้าย ต่อผู้อื่น ครับ
ขอเชิญคลิกฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ ครับ
การเจริญเมตตา
...ยินดีในความดีขอทุกๆ ท่านครับ...
ขอบคุณที่แนะนำและชี้แนวทางให้ผมนะครับ
ผมขอถามเสริมอีกนิดนึงนะครับ
- ตอนนี้ผมมีปัญหาเรื่องเงินมากๆ ครับ เป็นมนุษย์เงินเดือนแต่ได้มาเท่าไหร่ก็ต้องมีเหตุต้องจ่ายจนไม่พอใช้ผมก็ไม่ได้ใช้ฟุ่มเฟือยอะไรเลยครับ ที่ผมคิดอยู่ตอนนี้คงเป็นเพราะกรรมเก่าในอดีตผมคงเคยไปโกงใครไว้ หรือเวลาทำบุญต้องอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรหรือเปล่าแล้วจะส่งบุญยังไงให้ถึงเค้าครับ รบกวนชี้แนวทางแก้ไขให้ผมทีครับ
ขอบพระคุณเป็นสูงนะครับ
เรียนความเห็นที่ 3 ครับ
เจ้ากรรมนายเวรไม่มี อุทิศให้ในสิ่งที่ไม่มีจริง
ท่าน อ.สุจินต์ ที่จริงแล้วดิฉันอยากจะถามผู้ที่อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรว่า ท่านเข้าใจเรื่องเจ้ากรรมนายเวรว่าอย่างไร เพราะรู้สึกว่าใช้กันมากทีเดียว เรื่องเจ้ากรรมนายเวร แล้วกลัวเหลือเกินว่า ถ้าไม่อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร จะไม่พ้นจากเคราะห์กรรมต่างๆ มีท่านผู้ใดที่เคยทำหรือเคยคิดอย่างนี้บ้างหรือเปล่าคะ หรือเคยคิดว่า เจ้ากรรมนายเวรคืออย่างไร เมื่อทำบุญแล้วควรอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่สามารถรู้และอนุโมทนาได้ แต่เจ้ากรรมและนายเวร ดูจะเป็นคำคล้องของกรรมเวรกับเจ้านายที่ว่า มีเจ้ากรรมนายเวร แต่ตามความเป็นจริงแล้วใครทำให้ท่านปฏิสนธิในชาตินี้ เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิ อะไรพาให้หรืออะไรทำให้แต่ละบุคคลเกิดในภพนี้ ในภูมินี้ เป็นบุคคลนี้ เจ้ากรรมนายเวรหรือเปล่า หรือกรรมของท่านเองแต่ละท่านที่ได้กระทำแล้วกรรมหนึ่งเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิเกิดขึ้นในภูมินี้
เพราะฉะนั้น ไม่มีที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นเจ้ากรรมของท่าน เพราะเหตุว่าแต่ละท่านมีกรรมเป็นของตน แม้แต่ปฏิสนธิจิตที่เกิดในภูมินี้ก็เป็นผลของกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้วในอดีตของท่านเอง ไม่ใช่มีเจ้ากรรมที่ทำให้ปฏิสนธิ
ข้อความในอังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ธัมมปริยายสูตร ข้อ ๑๙๓ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดงธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสนแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมปริยายอันเป็นเหตุแห่งความกระเสือกกระสนเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับผลของกรรม เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด เป็นผู้มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใดไว้เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีใครจะเป็นเจ้ากรรมนายเวร
ขออนุโมทนา
ศึกษาธรรมเพิ่มเติมได้ที่ www.dhammahome.com
โดย มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ข้อความบางตอน จากการสนทนาของ ท่านอาจารย์ สุจินต์ ...
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับผลของกรรม เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใดไว้ เป็นกรรมดี หรือ กรรมชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้นๆ
ทุกคนมีกรรมเป็นของของตน ซึ่งเท่ากับทุกคนเป็นเจ้าของกรรมที่ตนได้กระทำแล้ว แลกเปลี่ยนกรรมกันไม่ได้เลย สมบัติอื่นใดทั้งหมดยังไม่ใช่ของของใครโดยแท้จริง เพราะย่อมวิบัติสูญหาย ถูกลักขโมยไปได้ แต่กรรมที่แต่ละคนได้กระทำแล้วนั้น ทั้งกรรมดี และ กรรมชั่ว ไม่มีผู้ใดสามารถลักขโมยไปได้ แม้ไฟ ลม แดดก็กระทบสัมผัสไม่ได้เลย ไม่มีที่ใดที่จะเก็บสมบัติได้ปลอดภัยเท่ากับที่เก็บของกรรม เพราะกรรมทุกกรรมเก็บสะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกๆ ขณะ
เรื่องของเจ้ากรรมนายเวร
ขอเชิญเปิดอ่าน ...
แผ่ส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรได้ไหม
ขอเชิญเปิดฟัง ...