ทรงอนุเคราะห์สกุลุทายีปริพาชก
ในพระสูตรยังมีเหตุการณ์และมีข้อความที่คล้ายคลึงกัน แต่ต่างกันที่สถานที่และบุคคล และผลของพระธรรมเทศนา
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ จูฬสกุลุทายิสูตร ข้อความคล้ายคลึงกับเวขณสสูตร มีว่า
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน เขตพระนครราชคฤห์ สกุลุทายีปริพาชกอยู่ในปริพาชิการาม ซึ่งเป็นที่ให้เหยื่อแก่นกยูง พร้อมด้วยปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่ ครั้งนั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริว่า
การเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ยังเช้านัก พึงเข้าไปหาสกุลุทายีปริพาชกยังปริพาชการามเถิด
เป็นพระมหากรุณา ที่จะทรงอนุเคราะห์สกุลุทายีปริพาชก
เมื่อพระผู้มีพระภาคได้เสด็จไปถึงปริพาชิการามแล้ว สกุลุทายีก็ตั้งใจที่จะฟังธรรม แล้วพระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงให้โอกาสสกุลุทายีถามปัญหา ซึ่งสกุลุทายีก็ได้กราบทูลเล่าให้ฟังว่า สกุลุทายีได้ถามท่านผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่อ้างว่า ท่านเป็นผู้สารพัดรู้ สารพัดเห็น แต่ว่าสิ่งที่สกุลุทายีถาม ท่านผู้นั้นก็โกรธ ขัดใจ ไม่พอใจ ซึ่งสิ่งที่สกุลุทายีถามก็คือ ถามเรื่องการระลึกถึงอดีตชาติ หรือว่าการรู้จุติปฏิสนธิของสัตว์ ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ตรัสกับสกุลุทายีว่า
การที่บุคคลใดจะสนทนากันด้วยเรื่องของการระลึกชาติ ผู้นั้นก็ควรจะเป็นผู้ที่ระลึกชาติได้ จึงจะทำให้พระองค์ทรงยินดีด้วยกับการสนทนาของบุคคลนั้น และการสนทนาของพระองค์ พระดำรัสของพระองค์ ก็จะทำให้บุคคลนั้นยินดีด้วย แต่ถ้าพูดกับบุคคลที่ระลึกชาติไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อคนหนึ่งระลึกชาติได้ และอีกคนหนึ่งระลึกชาติไม่ได้ เพราะฉะนั้น การที่จะสนทนาในเรื่องนั้นก็ไม่นำมาซึ่งความยินดี
โดยนัยเดียวกัน สำหรับเรื่องของการเห็นจุติปฏิสนธิของสัตว์ก็เช่นเดียวกัน ถ้าสกุลุทายีเป็นผู้ที่เห็นจุติปฏิสนธิของสัตว์ แล้วก็สนทนากับพระผู้มีพระภาค พระองค์ก็ทรงยินดีในคำสนทนาของสกุลุทายี และพระดำรัสของพระองค์ก็จะเป็นที่ยินดีของสกุลุทายี แต่เมื่อสกุลุทายีไม่สามารถที่จะเห็นจุติปฏิสนธิของสัตว์ได้ ก็ย่อมจะไม่ยินดีในคำสนทนานั้น
ซึ่งสกุลุทายีก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า แม้แต่อัตภาพของสกุลุทายีที่เป็นอยู่ในบัดนี้ ก็ยังไม่สามารถจะระลึกได้ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ก็ไฉนจะระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก เหมือนพระผู้มีพระภาคได้เล่า
คือ อย่าว่าแต่จะระลึกถึงอดีตชาติก่อนๆ เพียงในชาติปัจจุบันที่กำลังนั่ง นอน ยืน เดิน เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น คิดนึก สุข ทุกข์ ก็ยังระลึกไม่ได้แล้ว เมื่อระลึกไม่ได้ ไฉนจะระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมากเหมือนพระผู้มีพระภาคได้เล่า
สกุลุทายี ก็ได้กราบทูลต่อไปว่า ในเดี๋ยวนี้ แม้แต่ปังสุปีศาจ สกุลุทายีก็ยังไม่เห็นเลย ไฉนจักเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ
ก็เป็นการยอมรับว่า ตนเองนั้นไม่สามารถระลึกชาติ หรือว่าเห็นจุติ ปฏิสนธิได้ เพราะเหตุว่าแม้ในปัจจุบันชาตินี้ ก็ยังไม่สามารถที่จะระลึกอัตภาพที่เป็นอยู่ในบัดนี้ได้ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ
พระผู้มีพระภาคตรัสถามลัทธิของอาจารย์ของสกุลุทายี ซึ่งสกุลุทายีก็ตอบว่า ในลัทธิอาจารย์ของตนนั้นมีอยู่อย่างนี้ว่า นี้เป็นวัณณะอย่างยิ่ง นี้เป็นวัณณะอย่างยิ่ง
ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงธรรมแก่สกุลุทายีเป็นอันมาก คล้ายๆ กับในเวขณสสูตร ซึ่งทำให้สกุลุทายีเกิดความเลื่อมใสยิ่ง และก็ได้กราบทูลพระผู้มี-พระภาคว่า
ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ และได้ขอบรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค แต่ว่าเมื่อสกุลุทายีปริพาชกกราบทูลอย่างนี้แล้ว บริษัทของสกุลุทายีปริพาชกได้กล่าวห้ามสกุลุทายีปริพาชก ว่า
ท่านอุทายี ท่านอย่าประพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณโคดมเลย ท่านอุทายี ท่านเป็นอาจารย์ อย่าอยู่เป็นอันเตวาสิกเลย เปรียบเหมือนเป็นหม้อน้ำแล้ว จะพึงเป็นจอกน้อยลอยในน้ำ ฉันใด ข้ออุปมานี้ก็จักมีแก่ท่านอุทายี ฉันนั้น ท่านอุทายี ท่านอย่าประพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณโคดมเลย ท่านอุทายีเป็นอาจารย์ อย่าอยู่เป็นอันเตวาสิกเลย
เรื่องนี้เป็นอันยุติว่า บริษัทของสกุลุทายีปริพาชก ได้ทำสกุลุทายีปริพาชกให้เป็นอันตรายในพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาค ด้วยประการฉะนี้
ตนเองฟังแล้วเกิดความเลื่อมใส ใคร่ที่จะได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของ พระผู้มีพระภาค แต่ว่าศิษย์ไม่ยอม ผลที่สุดก็ตามศิษย์ คือ ไม่ได้บรรพชาอุปสมบท แต่ถึงกระนั้นก็จะเห็นพระมหากรุณาของพระผู้มีพระภาคที่ได้ทรงแสดงธรรมกับสกุลุทายีปริพาชก เพื่อให้เป็นอุปนิสัยปัจจัยสำหรับในกาลข้างหน้า ซึ่งใน ปปัญจสูทนี มีข้อความอธิบายว่า
ได้ยินว่า สกุลุทายีนี้บวชในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ได้บำเพ็ญสมณธรรม ครั้งนั้นภิกษุผู้เป็นสหายของท่านไม่ยินดีในศาสนา บอกท่านว่าจะสึก ท่านยังความโลภให้เกิดขึ้นในบาตรและจีวรของภิกษุนั้น จึงได้พรรณนาความดีของคฤหัสถ์ สหายของท่านก็ได้ถวายบาตรและจีวรแก่ท่าน แล้วก็สึก ด้วยกรรมนั้นจึงเกิดมีอันตรายแก่การบรรพชาในเฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคในกาลบัดนี้ และมิได้บรรลุมรรคผล
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมแก่สกุลุทายีปริพาชก ด้วยทรงพระดำริว่า การแสดงธรรมครั้งเดียวนี้ เขาไม่บรรลุมรรคผล แต่ก็จะเป็นปัจจัยแก่เขาในอนาคต พระผู้มีพระภาคทรงเล็งเห็นว่า สกุลุทายีผู้นี้บวชในศาสนาของพระองค์ในอนาคต จักเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้เมตตาวิหารี คือ ในการอยู่ด้วยเมตตา ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคจึงไม่ทรงตั้งแม้ภิกษุรูปหนึ่ง แม้ในเอตทัคคะในเมตตาวิหารี
เมื่อพระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว ในสมัยพระเจ้าธรรมาโศกราช สกุลุทายีก็ได้เกิดในเมืองปาตลีบุตร บวชแล้วได้บรรลุอรหันต์ นามว่าพระอัสสคุตตเถระ ได้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้เมตตาวิหารี
การที่กล่าวถึงสกุลุทายี เพื่อจะแสดงให้ท่านผู้ฟังเห็นภัยของโทษแม้เพียงเล็กน้อยที่ประมาทไม่ได้เลย ซึ่งความจริงสกุลุทายีควรจะได้ขอบรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค ได้เจริญหนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ด้วยเหตุ คือ กรรมอันเล็กน้อยที่ได้ทำไว้ ทำให้สกุลุทายีนั้นไม่ได้บรรพชาอุปสมบท
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...