ยังเป็นเราจะละคลายกิเลส

 
เมตตา
วันที่  23 พ.ย. 2567
หมายเลข  48970
อ่าน  243

[เล่มที่ 29] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้า 103

๑๕. สักกายปัญหาสูตร

ว่าด้วยปัญหาเรื่องสักกายทิฏฐิ

[๕๑๑] ดูก่อนท่านสารีบุตร ที่เรียกว่า สักกายะๆ ดังนี้ สักกายะเป็นไฉนหนอ.

สา. ดูก่อนผู้มีอายุ อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ คือ อุปาทานขันธ์คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้แล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าสักกายะ

ช. ก่อนท่านผู้มีอายุ ก็มรรคามีอยู่หรือ ปฏิปทามีอยู่หรือ เพื่อกำหนดรู้สักกายะนั้น.

สา. มีอยู่ ผู้มีอายุ.

ช. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ก็มรรคาเป็นไฉน ปฏิปทาเป็นไฉน เพื่อกำหนดรู้สักกายะนั้น.

สา. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ คือความเห็นชอบ ฯลฯ ตั้งมั่นชอบ นี้แลเป็นมรรคา เป็นปฏิปทา เพื่อกำหนดรู้สักกายะนั้น.

ช. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ มรรคาดีนัก ปฏิปทาดีนัก เพื่อกำหนดรู้สักกายะนั้น และเพียงพอเพื่อความไม่ประมาท นะท่านสารีบุตร.

จบ สักกายปัญหาสูตรที่ ๑๕


คุณศรีสอางค์: เวลาหนูฟังธรรมหนูชอบไปนั่งใกล้ๆ ต้องเห็นหน้าท่านอาจารย์ ต้องเห็นปากผู้พูด อะไรทำนองนี้ แต่พอเอาจริงๆ แล้วเราคือผู้ห่างไกล ทำไมหนูคิดเช่นนี้ เพราะว่า สองวันที่ผ่านมาเราคุยถึงเรื่องของการข้ามห้วงน้ำ โอคะ การผูกแพการใช้แพข้าม และเมื่อวานนี้เองคุยถึง บารมี แล้วมีผู้ถามถามถึง เมตตาบารมี แล้ว อ.อรรณพ ก็ได้เกื้อกูลว่า ถ้าเป็นบารมีแล้ว ต้องเป็นไปเพื่อออกจากวัฏฏะ หนูก็มาคิดว่า อ.อรรณพ ยกตัวอย่างความรักของแม่ที่มีต่อลูก หนูก็มาไตร่ตรองว่า เราอยากจะทำโน่นทำนี่ให้ลูก เรามีความรู้สึกได้ชื่อว่า ตัวเองเป็นผู้รักลูกรักบุตร แต่จริงๆ เพราะพระธรรมทำให้หนูไตร่ตรองเมื่อคืนว่า หนูค้นหาว่า จริงๆ แล้วตรงนี้เป็นโลภะ หนูก็คิดของหนูเพราะอะไร หนูเจอคำตอบว่า แท้จริงแล้วเรารักเขา เพราะเราประสงค์ให้เขารักเราตอบค่ะ หนูคิดของหนูยังไม่เห็นสภาพธรรมใดๆ ปรากฏ แต่การที่พระธรรมทำให้เราถามตัวเอง เราสะท้อนตัวเองตรงนี้ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ยังเป็นเรา ยังเป็นเราจะคลายความรักลูกลงไป ก็ยังเป็นเรา จะรักขึ้นก็เป็นเรา ทุกอย่างเป็นเราหมด ไม่สามารถที่จะละคลายได้ถ้ายังคิดว่า เป็นเรา ถูกต้องไหม?

คุณศรีสอางค์: ถูกต้องค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็รู้ว่า ธรรม ความเข้าใจความจริงเท่านั้นที่จะทำให้สามารถรู้ความจริงตามลำดับ

กิเลสฝังมานานเท่าไหร่ ลึกเท่าไหร่ มากเท่าไหร่ ที่โผล่มานี่ไม่หมด ยังมีปัจจัยอีกเยอะมากที่จะเกิด ที่ยังไม่ได้เกิด แต่ก็จะเกิด เมื่อเกิดแล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะสะสมมา ไม่เป็นเราเลย ที่เข้าใจว่า นิสัยอย่างนี้ คิดอย่างนี้ อะไรอย่างนี้ทั้งหมดเป็นธรรมทั้งหมด เป็นเหตุที่ยากที่จะรู้ได้ว่า แล้วธรรมขณะต่อไปจะเป็นอะไร ไม่มีทางรู้ได้เลย นั่นคือเริ่มเข้าใจมั่นคงขึ้นทีละน้อยว่า ทุกอย่างเกิดแล้ว แล้วเราไม่รู้ขณะที่เกิดแล้ว เราก็ไปหวังขณะต่อไป

แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว และที่ยังมาไม่ถึง เพราะขณะนี้เท่านั้นที่สามารถจะรู้ความจริงได้ ที่เกิดแล้วดับโดยความเป็นนิมิต ละเอียดขึ้นๆ

ฟังคำเดียว มีความเข้าใจนิดหนึ่ง ก็ต้องอาศัย คำอื่น อีกทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะรู้ว่า หนาแน่นแค่ไหนในความเป็นเรา มุ่งแต่เพียงว่า จะให้เขารักตอบ ให้ลูกรักตอบ หรือให้คนที่เราทำดีด้วยดีกับเรา รักเราตอบ นั่นไม่ใช่การที่จะละความเป็นตัวตน

การที่จะรู้ตามความเป็นจริงนะ เพราะว่าอกุศลทุกประเภทไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะมีอวิชชา ความไม่รู้เป็นพื้น เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่จะไม่หวัง ก็คือรู้ว่าหวังไม่ได้ เพราะไม่มีใครจะหวัง เป็นธรรมทั้งหมด ธรรมเป็นโลภะก็มี ธรรมที่เป็นความไม่รู้ก็มี ทรงแสดงไว้หมดเพราะว่า เพื่อว่า เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น จึงสามารถเริ่มเข้าใจได้ เพราะรู้มาแล้วว่า ธรรมคืออะไรบ้าง ไม่เว้นเลยสักอย่างที่มีจริง

เพราะฉะนั้น บารมี คือปัญญาบารมีเป็นพื้นฐานที่จะทำให้ชีวิตค่อยๆ เปลี่ยนจากอกุศลมากมายมหาศาล เป็นกุศลเพิ่มขึ้นทีละน้อย แต่ก็ยังไม่ใช่กุศลที่ขัดเกลาความเป็นเรา ถ้าตราบใดยังไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ค่อยๆ เข้าใจทีละน้อย และเห็นได้ว่า กิเลสที่มากมายเทียบกับกิเลสที่ยึดถือว่า เป็นเรา คิดดู ต่อให้ทำความดีถึงรูปพรหม อรูปพรหม เกิดเป็นอย่างนั้นแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรา

ขอเชิญอ่านได้ที่..

สักกายทิฏฐิ

ขอเชิญฟังได้ที่..

ไม่รู้ก็เป็นเรา

ไม่สละความเป็นเรา

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ