กรรม ตอนที่ 02


    ถ้ามีการฟังเพิ่มขึ้นๆ และรู้จุดประสงค์ของการฟังว่า เพื่อให้ปัญญารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพื่อเหตุอื่นเลยสักประการเดียว ทั้งการฟังธรรม การแสดงธรรม และกุศลทุกประการ เพื่อที่จะให้ปัญญาเจริญขึ้น เกื้อกูลเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สามารถจะพิจารณาละการยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้

    2195 เวลาสวดมนต์ จิตเป็นกุศลหรืออกุศล

    เวลาสวดมนต์ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล สลับกัน ตามความเป็นจริงทุกอย่าง ถ้าเวลาที่สวดเฉยๆ ไม่ได้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นกุศลไหมคะ

    นี่เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณา สวดเฉยๆ โดยที่ไม่ได้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นกุศลไหมคะ

    อย่าลืมนะคะ สวด ไม่ใช่เพียงพูด หรือท่องตามๆ ไป ขณะที่สวดมนต์ ซึ่งทุกท่านที่เป็นพุทธศาสนิกชนก็สวดมนต์ก่อนนอน และบางท่านทั้งตื่นขึ้นมาด้วย ทั้งเช้าทั้งค่ำ ชีวิตปกติธรรมดาตามความเป็นจริง ในขณะที่กำลังสวดมนต์เป็นกุศลหรือเปล่า ในขณะที่สวดมนต์ไม่ได้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นกุศลหรือเปล่า เป็นมหากุศลหรือเปล่า เป็นไหมคะ เป็น ถ้าไม่เป็นจะสวดไหมคะ ขณะที่เผลอก็รู้ว่า ขณะนั้นเป็นอกุศล ขณะที่ไม่เผลอแต่สวด มีศรัทธาไหมคะในขณะสวด ศรัทธาเป็นโสภณเจตสิก แม้ว่าไม่เกิดกับปัญญา เพราะเหตุว่าศรัทธาไม่ใช่ปัญญา เป็นเจตสิกแต่ละประเภท ต่างชนิดกัน ลักษณะต่างกัน กิจต่างกัน

    เพราะฉะนั้นเมื่อมีศรัทธาจึงสวด แต่ก็สามารถจะรู้ได้ในการสวดมนต์แต่ละครั้งว่า ศรัทธามากหรือน้อย ประกอบด้วยปัญญาหรือไม่ประกอบด้วยปัญญา

    นี่คือความวิจิตรของจิตซึ่งเป็นกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งสะสมไปเรื่อยๆ การเกิดดับสืบต่อของจิตเป็นไปอย่างรวดเร็ว การเกิดดับสะสมของกรรมก็เป็นไปอย่างรวดเร็วในแต่ละวัน ในแต่ละภพ ในแต่ละชาติ

    2331 กรรมต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล

    จะไม่มีการที่แต่ละคนจะซ้ำกันเลย เพราะว่าแม้แต่ความคิดก็วิจิตรต่างๆ กัน แม้ว่าจะเห็นสิ่งเดียวกัน ได้ยินอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นก็ทำให้กรรมต่างกันออกไป และบางกรรมก็เป็นทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ ให้ผลในปัจจุบันชาติ คือ ในชาติที่ทำกรรมนั้น แต่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะพยากรณ์ได้ว่า ในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นผลของกุศลในชาตินี้เองที่ได้ทำเมื่อขณะนั้น วันนั้น

    เพราะฉะนั้นถ้ามีคนหนึ่งคนใดมาบอกท่านผู้ฟังว่า ขณะนี้กำลังได้ผลของกรรมที่ท่านทำวันนั้นวันนี้ ท่านจะรู้สึกอย่างไรคะ เชื่อไหมคะ ไม่เชื่อ หรือว่าชาติก่อนเคยทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นชาตินี้จึงได้รับผลอย่างนั้นอย่างนี้ เชื่อไหมคะ

    แน่นอนค่ะ รู้แต่เพียงว่า อกุศลกรรมย่อมให้ผลเป็นอกุศลวิบาก กุศลกรรมให้ผลเป็นกุศลวิบาก แต่พยากรณ์ไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    2332 กรรม และ กาลที่กรรมจะให้ผล

    เพราะฉะนั้นกรรมที่ได้กระทำแล้วในชาติก่อนๆ โน้น และกรรมที่กำลังทำอยู่ในชาตินี้ จะมีกรรมทั้งประเภทที่ให้ผลในชาตินี้ และยังไม่ได้ให้ผลในชาตินี้ แต่จะให้ผลในชาติหน้าต่อไป หรือว่าในชาติหน้าต่อไปยังไม่ให้ผล ก็จะมีโอกาสจะให้ผลหลังจากชาติหน้าต่อไปอีก ไม่สิ้นสุดตราบใดที่ยังมีสังสารวัฏฏ์อยู่

    เพราะฉะนั้นท่านที่หนักแน่นในเหตุในผล ก็ย่อมจะเป็นผู้ที่เชื่อมั่นในกรรมของตนเองว่า ทุกท่านเป็นทายาทของกรรม มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ไม่ใช่บุคคลอื่นสามารถที่จะดลบันดาลได้ แต่ว่าไม่มีใครสามารถจะบอกได้ พยากรณ์ได้ว่า ขณะที่กำลังมีกุศลวิบากเกิด หรืออกุศลวิบากเกิดนั้นเป็นผลของกรรมในชาติไหน แต่ให้ทราบว่า กรรมที่กระทำแล้วในชาตินี้ ก็มีบางกรรมที่เป็นทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันชาตินี้เอง

    2333 ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม

    สำหรับการให้ผลของกรรมโดยกาล คือ ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม ให้ผลในปัจจุบันชาติที่กระทำกรรมนั้น ๑ อุปปัชชเวทนียกรรม ให้ผลในชาติต่อไป คือ ชาติหน้าต่อจากชาตินี้ ๑ และอปรปริยายเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาติต่อๆ ไปตราบใดที่สังสารวัฏฏ์ยังไม่สิ้น ๑

    ในชวนจิต ๗ ขณะ เจตนาในชวนจิตดวงที่ ๑ เมื่อให้ผลเป็นทิฏฐธัมมเวทนีย กรรม คือ ให้ผลในปัจจุบันชาตินั้นเอง ถ้าในปัจจุบันชาตินั้นไม่ให้ผล ก็เป็นอโหสิกรรม คือ กรรมที่ได้ทำแล้วแต่ไม่ทำให้วิบากเกิดขึ้น

    ทุกท่านคงจะอยากได้ผลของกุศลชวนะดวงที่ ๑ ทำบุญแล้วเมื่อไรจะได้ผลของบุญ พอทำเสร็จก็หวังที่จะได้ผลของกุศลนั้นทันที

    นี่คือต้องการผลของบุญที่เป็นทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือเมื่อทำแล้วก็ให้ได้ผลในชาตินั้นทันที ท่านผู้ฟังบอกว่าใจร้อน ก็ยังคงมีการหวังรอผลแม้ว่าจะช้า แต่ให้ทราบว่าเวลาที่ได้กระทำบุญไปแล้ว อาจจะเป็นทิฏฐธัมมเวทนียกรรมได้ หรือว่าอาจจะไม่ใช่ทิฏฐธัมมเวทนียกรรมก็ได้

    เสียดายไหมคะ ทำบุญไปแล้ว ไม่ได้ให้ผลในชาตินี้ ชวนะดวงที่ ๑ ไม่ได้ให้ผลในชาตินี้ เสียดายหรือไม่เสียดาย น่าเสียดาย ถ้าอย่างนั้นทางฝ่ายอกุศล น่าเสียดายไหมคะ อกุศลจิตหรืออกุศลกรรมที่ได้ทำไปแล้ว แล้วอกุศลจิตชวนะดวงที่ ๑ ควรจะให้ผลในปัจจุบันชาติ แล้วไม่ให้ เสียดายไหม ถ้าเป็นฝ่ายอกุศลไม่เสียดาย แต่ถ้าเป็นฝ่ายกุศลเสียดาย

    แต่ให้ทราบว่าทิฏฐธัมมเวทนียกรรมเป็นได้ทั้งกุศล และอกุศล และชวนะดวงที่ ๑ เป็นทิฏฐธัมมเวทนียกรรม

    2334 อุปปัชชเวทนียกรรม

    สำหรับการให้ผลของกรรมโดยกาลที่ไม่ใช่ในชาติปัจจุบัน ก็คือ อุปปัชชเวทนีย กรรม ให้ผลในชาติต่อไป คอยได้ไหมคะ กุศลกรรมที่ทำแล้ว ถ้าชาตินี้ไม่ให้ผล ก็แล้วไปเลย ไม่ต้องเสียดาย เพราะเหตุว่าถ้าเสียดาย เดี๋ยวอกุศลกรรมที่ทำไปแล้วในชาตินี้ก็จะต้องให้ผลด้วย ถ้าเสียดาย

    เพราะฉะนั้นสำหรับชวนจิตดวงสุดท้ายคือดวงที่ ๗ สามารถที่จะเป็นอุปปัชชเวทนียกรรม คือ ให้ผลในชาติต่อไป โดยทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น และเมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว อุปปัชชเวทนียกรรมก็เป็นปัจจัยทำให้ภวังคจิตเกิดต่อ ดำรงภพชาติสืบต่อไป

    นอกจากนั้นยังอุปถัมภ์โดยการที่ทำให้จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ เกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่างๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยกรรมนั้นด้วย

    เพราะฉะนั้นกิจของกรรมนี้ คือ ชนโกปถัมภกิจ หมายความว่าทำให้เกิดขึ้นโดยปฏิสนธิกิจแล้วก็ยังอุปถัมภ์ต่อไปด้วย

    จริงไหมคะ ทุกท่านที่เกิดมาในสกุลใด ก็อยู่ในสกุลนั้นตลอดไป ทุกท่านที่เกิดมาในสกุลที่มั่งคั่งก็จะมีชีวิตที่สมบูรณ์ มั่งคั่งชั่วระยะที่กรรมอื่นยังไม่มีโอกาสจะให้ผล

    เพราะฉะนั้นกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น เมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ก็ทำให้ภวังคจิตเกิดต่อ ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้น แล้วก็ยังอุปถัมภ์ให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้กระทบสัมผัสกับอารมณ์แล้วแต่ว่าเป็นผลของกุศลที่ประณีตมากหรือน้อยขั้นใด ก็เป็นไปอย่างนั้นจนกว่ากรรมอื่นมีโอกาสจะให้ผล

    2335 ชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้า เป็นไปตามกรรม

    สังสารวัฏฏ์ไม่มีสิ้นสุด ชาตินี้ก็เป็นผลของกรรมในอดีตที่ได้ทำแล้ว ที่ทำให้เกิดมาเป็นบุคคลนี้ ชาติก่อนจะมีหลายท่านที่คิดไหมว่า ก็คงจะเคยสงสัยว่าชาติหน้าจะเกิดที่ไหน จะเกิดเป็นใคร เหมือนกับชาตินี้ ทุกคนก็อยากจะทราบว่าต่อไปชาติหน้าจะเกิดที่ไหน และจะเกิดเป็นใคร เพราะทุกท่านรู้แน่นอนว่า อย่างไรก็จะอยู่ในโลกนี้ตลอดไปไม่ได้ จะต้องจากโลกนี้ไป และเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว ที่น่าคิดน่าสงสัยก็คือจะไปที่ไหน คือจะเกิดที่ไหน เป็นใคร ชาตินี้ยังคิดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นชาติก่อนก็คงจะเคยสงสัย และก็คิดอย่างนี้ว่า ชาติหน้าเราจะเป็นใครอยู่ที่ไหน แต่คำตอบที่ชัดเจน ก็คือว่าที่สงสัยไว้ ชาติก่อนว่าจะเป็นใครที่ไหน ก็คือเป็นคนนี้ ชาตินี้นั่นเอง ซึ่งก็จะต้องสงสัยต่อไปถึงชาติหน้าอีกว่า จะเป็นใคร อยู่ในภพภูมิไหนต่อไป แต่ให้ทราบว่าต้องเป็นไปตามกรรมทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นทุกท่านมีทั้งกุศลกรรมอย่างอ่อน และอย่างที่ประกอบด้วยปัญญา และก็มีอกุศลกรรมด้วย เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่เป็นพระโสดาบันบุคคลก็ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดในอบายภูมิได้

    2341 กรรม ๑๒

    โดยนัยของพระสุตตันตปิฎก ตามข้อความในมโนรถปูรณี อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ วรรคที่ ๔ นิทานสูตร ซึ่งได้แสดงกรรม ๑๑ คือ แสดงโดยกาลของการให้ผล ๓ ได้แก่

    ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันชาติ ๑

    อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติต่อไป ๑

    และอปรปริยายเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาติต่อๆ ไปนั้นอีก ตราบใดที่สังสารวัฏฏ์ยังไม่สิ้น ๑

    ซึ่งข้อความเรื่องของกรรมอื่น จะไม่ใช่กรรม ๑๑ แต่เป็นกรรม ๑๒ โดยกล่าวถึงอีกกรรมหนึ่ง คือ อโหสิกรรม ซึ่งข้อความในมโนรถปุรนี โดยปริยายแห่งปฏิสัมภิทามรรค ท่านพระสารีบุตรจำแนกกรรม แม้อย่างอื่นไว้ ๑๒ ประการ มีข้อความว่า

    ๑. อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กัมมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมได้มีแล้ว

    นี่เป็นเรื่องที่ทุกท่านจะพิจารณาชีวิตของท่านอย่างละเอียดทีเดียวว่า ที่ยังต้องมีการเกิด แล้วก็ยังไม่จุติ ยังมีการเห็น การได้ยิน มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในชีวิตอยู่ทุกขณะ แต่ละขณะ ล่วงไปๆ ๆ โดยขณะๆ เรื่อยๆ ก็เพราะเหตุว่ามีกรรมนั่นเองยังเป็นปัจจัยอยู่ และในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน แม้พระผู้มีพระภาคเองในคืนที่จะตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จะได้ทรงระลึกชาติสักเพียงใดตลอดปฐมยาม ก็ไม่สามารถที่จะจบสิ้นได้

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมาแล้วยาวนานมาก และในชาตินี้ก็จะเป็นชาติหนึ่งซึ่งใกล้จะจบสิ้นส่วนหนึ่งของสังสารวัฏฏ์ ซึ่งยังจะต้องมีการเกิด เพราะมีกรรมที่ยังไม่ได้ให้ผลอีกมากทีเดียวที่จะทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวอีกต่อไปนับไม่ถ้วน

    ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ยังไม่ใช่พระโสดาบัน การเกิดต้องมีอีกมากมาย เมื่อไรเป็นพระโสดาบันบุคคล เมื่อนั้นการเกิดจึงจะยังมีอยู่อีกอย่างมากที่สุด ๗ ชาติ

    เพราะฉะนั้นก็ควรจะทราบเรื่องความสลับซับซ้อน ความมากมายของกรรมในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งยังติดตามให้ผลแม้ในปัจจุบันชาตินี้ได้ โดยที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดกับท่าน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกุศลวิบากหรืออกุศลวิบากนั้น เป็นผลของกรรมใดในชาติใด เพราะเหตุว่าแม้ในชาตินี้เอง แต่ละท่านก็ต่างได้ทำกรรมไม่น้อยเลย ทั้งที่เป็นกุศลกรรม และอกุศลกรรม เฉพาะในชาตินี้ชาติเดียว เมื่อรวมในชาติก่อนๆ ย้อนไป ย้อนๆ ๆ ไปอีก ก็จะเห็นได้ว่ากรรมยังมีอีกมากมายเหลือเกินที่จะทำให้สังสารวัฏฏ์ยาวนานต่อไป

    เพราะฉะนั้น อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก ได้แก่ กรรมได้มีแล้ว คือ ได้กระทำแล้ว ผลของกรรมได้มีแล้ว หมายความว่า กรรมในสังสารวัฏฏ์ที่ได้ทำแล้ว ก็ได้ให้ผลไปแล้ว ก็มี ไม่ใช่ว่าไม่ได้ให้ผลไปเลย แต่ในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน กรรมที่ได้ทำแล้ว จริง และผลของกรรมก็ได้มีแล้วด้วย หมดไปแล้วกรรมนั้น อย่างหนึ่ง คือ เป็นอโหสิกรรม เพราะเหตุว่ากรรมได้มีแล้ว และผลของกรรมได้มีแล้วด้วย

    ๒. อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่ได้มีแล้ว

    หมายความว่า กรรมได้กระทำแล้วจริง แต่ยังไม่ได้ให้ผลในอดีต กรรมในอดีตได้กระทำไปแล้ว แต่ว่าผลของกรรมนั้นยังไม่ได้ให้ผลในอดีต คอยโอกาสที่จะให้ผลในชาตินี้หรือในชาติต่อๆ ไปก็ได้ แต่กรรมมีแล้ว

    เพราะฉะนั้นกรรมมีแล้วนั้นเป็นอโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่ได้มีแล้ว คือ กรรมในอดีตไม่ได้ให้ผลในอดีต

    ต่างกับข้อที่ ๑ คือ ประเภทที่ ๑ กรรมในอดีตให้ผลแล้วในอดีต ใครตามระลึกได้บ้าง ผลของกรรมในอดีตชาติก่อนๆ ก็ไม่ทราบว่าเกิดมาเป็นใคร ได้รับผลของกรรมอะไร เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถจะล่วงรู้ไปถึงกรรมก่อนนั้นอีก ซึ่งได้ทำแล้ว คือกรรมในอดีตได้มีแล้ว และผลของกรรมในอดีตก็ได้มีแล้ว กรรมในอดีตให้ผลแล้วในอดีตอย่างหนึ่ง และกรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่ได้มีแล้ว คือ กรรมในอดีตไม่ได้ให้ผลในอดีต ระลึกถึงชาติก่อนๆ ไม่ได้ก็จริง แต่ให้ทราบลักษณะของกรรมที่กระทำแล้ว ที่เป็นอโหสิกรรม

    ๓. อโหสิ กมฺมํ อัตถิ กมฺมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมมีอยู่

    คือ กรรมในอดีตให้ผลในปัจจุบัน โดยที่ไม่ทราบอีกเหมือนกันว่า ขณะนี้ที่เป็นผลในปัจจุบันเป็นผลของกรรมใดในอดีต แต่ให้ทราบว่ากรรมนั้นได้กระทำแล้วในอดีต ผลของกรรมนั้นมีอยู่ คือ ในปัจจุบันชาตินี้

    ท่านที่กำลังสุขสบาย เป็นผลของกรรมในอดีต ท่านที่กำลังทุกข์ยาก ลำบาก เดือดร้อน ก็เป็นผลของกรรมในอดีต โดย อโหสิ กมฺมํ อัตถิ กมฺมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมมีอยู่

    ๔. อโหสิ กัมมํ นัตถิ กัมมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่มีอยู่

    นี่เป็นเรื่องความละเอียดของกรรมจริงๆ ที่แสดงว่า กรรมได้มีแล้ว หมายความถึงกรรมในอดีตได้กระทำแล้ว แต่ว่าไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ

    กรรมในอดีตมากมายเหลือเกินในสังสารวัฏฏ์ มีแล้ว คือ อโหสิ กฺมมํ กรรมได้มีแล้ว นัตถิ กมฺมวิปาโก ผลของกรรมไม่มีอยู่ คือ ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ ชาติหน้าอาจจะให้ผลก็ได้ กรรมที่ได้กระทำแล้วๆ มาในสังสารวัฏฏ์ แต่ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ แต่อาจจะให้ผลในชาติต่อไปได้

    เพราะฉะนั้นกรรมนั้นๆ ที่ได้กระทำแล้วในอดีต แต่ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาตินี้ เป็น อโหสิ กมฺมํ นัตถิ กฺมมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว แต่ผลของกรรมไม่มีอยู่ คือ ไม่มีอยู่ในปัจจุบันชาติ แต่จะมีอยู่ในชาติต่อๆ ไปได้

    ๕. อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี

    ประมาทไม่ได้เลย คือ กรรมในอดีตจักให้ผลในอนาคต

    เพราะฉะนั้นทุกท่านที่เกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบันชาติ แล้วก็เข้าใจว่าทำบาปน้อย ทำบุญมาก ก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสจะเกิดในอบายภูมิ แต่อย่าลืม อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี คือ กรรมที่ได้กระทำแล้ว แม้ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ แต่ก็จักให้ผลในอนาคต เป็นไปได้ไหมคะ ถ้าจุติจิตเกิด ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้วันหนึ่งวันใด อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ หรือวันหนึ่งวันใดก็ได้ แล้วก็เกิดในอบายภูมิ จะทราบได้ไหมว่าเป็นผลของกรรมใด เพราะเหตุว่าอาจจะเป็น อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี คือ กรรมนั้นแหละไม่ให้ผลทำให้เกิดในอบายภูมิในชาตินี้ แต่จักมี คือจะให้ผลคืออบายภูมิในอนาคตคือในชาติต่อไปได้

    ๖. อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักไม่มี

    หมายความว่า กรรมในอดีตจะไม่ให้ผลในอนาคต เช่น ท่านพระองคุลีมาล ที่ท่านได้กระทำกรรมไปแล้ว แต่ว่ากรรมนั้นจักไม่ให้ผลในอนาคต ก็เป็น อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก

    เพราะฉะนั้นกรรมมีมากมายเหลือเกินในสังสารวัฏฏ์ที่ได้กระทำแล้ว และให้ผลแล้วในอดีตก็มี กรรมที่ได้กระทำแล้ว ให้ผลในชาตินี้คือปัจจุบันชาตินี้ก็มี และกรรมที่ได้ทำแล้ว ปัจจุบันชาตินี้ยังไม่ให้ผล แต่จะให้ผลในชาติอนาคตก็มี หรือว่ากรรมที่ได้ทำแล้วนั่นเอง จักไม่ให้ผลในอนาคตก็มี แล้วแต่ปัจจัยที่ประกอบอีกหลายปัจจัยทีเดียวที่กรรมแต่ละกรรมจะเกิดขึ้นให้ผลได้ โดยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

    นี่คือโดยปริยายแห่งปฏิสัมภิทามรรค ท่านพระสารีบุตรจำแนกกรรมแม้อย่างอื่นไว้ ๑๒ ประการ คือ เป็นเรื่องของอโหสิกรรม คือกรรมที่ได้ทำแล้ว ๖ ประการ และเป็นกรรมที่มีอยู่ คือ กรรมในปัจจุบันชาติอีก ๖ ประการ ได้แก่

    ๗. อตฺถิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมมีอยู่ คือ กรรมปัจจุบันทำให้เกิดวิบากในปัจจุบัน

    อย่าคิดว่า กรรมจะไม่ให้ผล กรรมที่ได้กระทำแล้วให้ผลในปัจจุบันชาตินี้ก็ได้ เป็นกรรมในปัจจุบันชาติ ซึ่งให้ผลในปัจจุบันชาติได้

    ๘. อตฺถิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมไม่มี

    หมายความถึงกรรมในปัจจุบันที่ทุกท่านทำในชาตินี้ ไม่ทำให้เกิดวิบากในปัจจุบัน ท่านที่รอคอยผลว่าทำกรรมแล้ว ทำไมไม่ได้รับผลของกรรม ทำกุศลแล้ว ทำไมไม่ได้รับกุศลวิบาก ก็เพราะเหตุว่ากรรมมีอยู่ แต่ผลของกรรมไม่มี คือ กรรมปัจจุบันมี แต่กรรมปัจจุบันนั้นไม่ได้ทำให้เกิดวิบากในปัจจุบัน

    เพราะฉะนั้นทำให้หลายคนอาจจะเข้าใจผิด ไม่เชื่อเรื่องกรรม คิดว่ากรรมไม่ได้ทำให้เกิดวิบาก หรือว่าวิบากที่กำลังได้รับในขณะนี้ไม่ใช่ผลของกรรม

    ๙. อตฺถิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักมี

    ได้แก่ กรรมที่ได้กระทำในปัจจุบัน ทำให้เกิดวิบากในอนาคต ผลของกรรมจักมี ได้แก่ ประเภทของครุกรรม กรรมหนักที่ได้กระทำแล้วในปัจจุบันชาตินี้ เพราะฉะนั้นผลของกรรมจักมี จะต้องได้รับผลของกรรมนั้นในอนาคตแน่นอน

    ๑๐. อตฺถิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักไม่มี

    เป็นไปได้ไหมคะ กรรมที่ทำในปัจจุบันชาตินี้ คือ กรรมมีอยู่ แต่ผลของกรรมจักไม่มี เป็นไปได้ อย่างผู้ที่เจริญสมถภาวนาจนกระทั่งได้ฌานจิต แต่ว่าฌานเสื่อม ก่อนจุติ ฌานจิตไม่เกิด ฌานนั้นไม่ได้ให้ผลในอนาคต เพราะฉะนั้นกรรมปัจจุบัน มี แต่ไม่ทำให้เกิดวิบากในอนาคต คือ กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักไม่มี

    ๑๑. ภวิสฺสติ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมจักมี ผลของกรรมจักมี

    ได้แก่ทุกท่านหรือเปล่า หรือว่าหมดกรรมแล้ว ไม่มีกรรมอีกต่อไปแล้ว อย่างนั้นหรือคะ ทุกท่านยังมีกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้นแน่นอนที่สุดคือกรรมจักมี และผลของกรรมจักมี ได้แก่ กรรมที่จะกระทำในอนาคตก็ทำให้เกิดวิบากในอนาคต ยังไม่หมดสิ้นเลย ไม่ว่าจะเป็นกรรมอดีต หรือกรรมปัจจุบัน หรือกรรมที่จะทำในอนาคต หรือกรรมที่จักมีในอนาคตก็ทำให้เกิดวิบากในอนาคตด้วย

    ๑๒. ภวิสฺสติ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมจักมี ผลของกรรมจักไม่มี

    คือ กรรมในอนาคตไม่ทำให้เกิดวิบากในอนาคต

    เห็นความต่างกันของกรรมแต่ละชนิด แต่ละประเภท แต่ละชีวิตในสังสารวัฏฏ์ไหม ที่ว่ากรรมอนาคตไม่ทำให้เกิดวิบากในอนาคต

    ผู้ที่เจริญกุศล รู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่ทำให้เกิดวิบากในอนาคตหลังปรินิพพานแล้ว

    เพราะฉะนั้นก็เป็นกรรมจักมี ผลของกรรมจักไม่มี ไม่มีการสิ้นสุดกรรม และผลของกรรม ถ้าปัญญาไม่เกิดขึ้นรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏตามความเป็นจริง

    2342 อโหสิกรรม ๖

    โดยนัยของพระสุตตันตปิฎก ตามข้อความในมโนรถปูรณี อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ วรรคที่ ๔ นิทานสูตร ซึ่งได้แสดงกรรม ๑๑ คือ แสดงโดยกาลของการให้ผล ๓ ได้แก่

    ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันชาติ ๑

    อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติต่อไป ๑

    และอปรปริยายเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาติต่อๆ ไปนั้นอีก ตราบใดที่สังสารวัฏฏ์ยังไม่สิ้น ๑

    ซึ่งข้อความเรื่องของกรรมอื่น จะไม่ใช่กรรม ๑๑ แต่เป็นกรรม ๑๒ โดยกล่าวถึงอีกกรรมหนึ่ง คือ อโหสิกรรม ซึ่งข้อความในมโนรถปุรนี โดยปริยายแห่งปฏิสัมภิทามรรค ท่านพระสารีบุตรจำแนกกรรม แม้อย่างอื่นไว้ ๑๒ ประการ มีข้อความว่า

    ๑. อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กัมมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมได้มีแล้ว

    นี่เป็นเรื่องที่ทุกท่านจะพิจารณาชีวิตของท่านอย่างละเอียดทีเดียวว่า ที่ยังต้องมีการเกิด แล้วก็ยังไม่จุติ ยังมีการเห็น การได้ยิน มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในชีวิตอยู่ทุกขณะ แต่ละขณะ ล่วงไปๆ ๆ โดยขณะๆ เรื่อยๆ ก็เพราะเหตุว่ามีกรรมนั่นเองยังเป็นปัจจัยอยู่ และในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน แม้พระผู้มีพระภาคเองในคืนที่จะตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จะได้ทรงระลึกชาติสักเพียงใดตลอดปฐมยาม ก็ไม่สามารถที่จะจบสิ้นได้

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมาแล้วยาวนานมาก และในชาตินี้ก็จะเป็นชาติหนึ่งซึ่งใกล้จะจบสิ้นส่วนหนึ่งของสังสารวัฏฏ์ ซึ่งยังจะต้องมีการเกิด เพราะมีกรรมที่ยังไม่ได้ให้ผลอีกมากทีเดียวที่จะทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวอีกต่อไปนับไม่ถ้วน

    ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ยังไม่ใช่พระโสดาบัน การเกิดต้องมีอีกมากมาย เมื่อไรเป็นพระโสดาบันบุคคล เมื่อนั้นการเกิดจึงจะยังมีอยู่อีกอย่างมากที่สุด ๗ ชาติ

    เพราะฉะนั้นก็ควรจะทราบเรื่องความสลับซับซ้อน ความมากมายของกรรมในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งยังติดตามให้ผลแม้ในปัจจุบันชาตินี้ได้ โดยที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดกับท่าน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกุศลวิบากหรืออกุศลวิบากนั้น เป็นผลของกรรมใดในชาติใด เพราะเหตุว่าแม้ในชาตินี้เอง แต่ละท่านก็ต่างได้ทำกรรมไม่น้อยเลย ทั้งที่เป็นกุศลกรรม และอกุศลกรรม เฉพาะในชาตินี้ชาติเดียว เมื่อรวมในชาติก่อนๆ ย้อนไป ย้อนๆ ๆ ไปอีก ก็จะเห็นได้ว่ากรรมยังมีอีกมากมายเหลือเกินที่จะทำให้สังสารวัฏฏ์ยาวนานต่อไป

    เพราะฉะนั้น อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก ได้แก่ กรรมได้มีแล้ว คือ ได้กระทำแล้ว ผลของกรรมได้มีแล้ว หมายความว่า กรรมในสังสารวัฏฏ์ที่ได้ทำแล้ว ก็ได้ให้ผลไปแล้ว ก็มี ไม่ใช่ว่าไม่ได้ให้ผลไปเลย แต่ในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน กรรมที่ได้ทำแล้ว จริง และผลของกรรมก็ได้มีแล้วด้วย หมดไปแล้วกรรมนั้น อย่างหนึ่ง คือ เป็นอโหสิกรรม เพราะเหตุว่ากรรมได้มีแล้ว และผลของกรรมได้มีแล้วด้วย

    ๒. อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่ได้มีแล้ว

    หมายความว่า กรรมได้กระทำแล้วจริง แต่ยังไม่ได้ให้ผลในอดีต กรรมในอดีตได้กระทำไปแล้ว แต่ว่าผลของกรรมนั้นยังไม่ได้ให้ผลในอดีต คอยโอกาสที่จะให้ผลในชาตินี้หรือในชาติต่อๆ ไปก็ได้ แต่กรรมมีแล้ว

    เพราะฉะนั้นกรรมมีแล้วนั้นเป็นอโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่ได้มีแล้ว คือ กรรมในอดีตไม่ได้ให้ผลในอดีต

    ต่างกับข้อที่ ๑ คือ ประเภทที่ ๑ กรรมในอดีตให้ผลแล้วในอดีต ใครตามระลึกได้บ้าง ผลของกรรมในอดีตชาติก่อนๆ ก็ไม่ทราบว่าเกิดมาเป็นใคร ได้รับผลของกรรมอะไร เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถจะล่วงรู้ไปถึงกรรมก่อนนั้นอีก ซึ่งได้ทำแล้ว คือกรรมในอดีตได้มีแล้ว และผลของกรรมในอดีตก็ได้มีแล้ว กรรมในอดีตให้ผลแล้วในอดีตอย่างหนึ่ง และกรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่ได้มีแล้ว คือ กรรมในอดีตไม่ได้ให้ผลในอดีต ระลึกถึงชาติก่อนๆ ไม่ได้ก็จริง แต่ให้ทราบลักษณะของกรรมที่กระทำแล้ว ที่เป็นอโหสิกรรม

    ๓. อโหสิ กมฺมํ อัตถิ กมฺมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมมีอยู่

    คือ กรรมในอดีตให้ผลในปัจจุบัน โดยที่ไม่ทราบอีกเหมือนกันว่า ขณะนี้ที่เป็นผลในปัจจุบันเป็นผลของกรรมใดในอดีต แต่ให้ทราบว่ากรรมนั้นได้กระทำแล้วในอดีต ผลของกรรมนั้นมีอยู่ คือ ในปัจจุบันชาตินี้

    ท่านที่กำลังสุขสบาย เป็นผลของกรรมในอดีต ท่านที่กำลังทุกข์ยาก ลำบาก เดือดร้อน ก็เป็นผลของกรรมในอดีต โดย อโหสิ กมฺมํ อัตถิ กมฺมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมมีอยู่

    ๔. อโหสิ กัมมํ นัตถิ กัมมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่มีอยู่

    นี่เป็นเรื่องความละเอียดของกรรมจริงๆ ที่แสดงว่า กรรมได้มีแล้ว หมายความถึงกรรมในอดีตได้กระทำแล้ว แต่ว่าไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ

    กรรมในอดีตมากมายเหลือเกินในสังสารวัฏฏ์ มีแล้ว คือ อโหสิ กฺมมํ กรรมได้มีแล้ว นัตถิ กมฺมวิปาโก ผลของกรรมไม่มีอยู่ คือ ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ ชาติหน้าอาจจะให้ผลก็ได้ กรรมที่ได้กระทำแล้วๆ มาในสังสารวัฏฏ์ แต่ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ แต่อาจจะให้ผลในชาติต่อไปได้

    เพราะฉะนั้นกรรมนั้นๆ ที่ได้กระทำแล้วในอดีต แต่ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาตินี้ เป็น อโหสิ กมฺมํ นัตถิ กฺมมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว แต่ผลของกรรมไม่มีอยู่ คือ ไม่มีอยู่ในปัจจุบันชาติ แต่จะมีอยู่ในชาติต่อๆ ไปได้

    ๕. อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี

    ประมาทไม่ได้เลย คือ กรรมในอดีตจักให้ผลในอนาคต

    เพราะฉะนั้นทุกท่านที่เกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบันชาติ แล้วก็เข้าใจว่าทำบาปน้อย ทำบุญมาก ก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสจะเกิดในอบายภูมิ แต่อย่าลืม อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี คือ กรรมที่ได้กระทำแล้ว แม้ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ แต่ก็จักให้ผลในอนาคต เป็นไปได้ไหมคะ ถ้าจุติจิตเกิด ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้วันหนึ่งวันใด อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ หรือวันหนึ่งวันใดก็ได้ แล้วก็เกิดในอบายภูมิ จะทราบได้ไหมว่าเป็นผลของกรรมใด เพราะเหตุว่าอาจจะเป็น อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี คือ กรรมนั้นแหละไม่ให้ผลทำให้เกิดในอบายภูมิในชาตินี้ แต่จักมี คือจะให้ผลคืออบายภูมิในอนาคตคือในชาติต่อไปได้

    ๖. อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักไม่มี

    หมายความว่า กรรมในอดีตจะไม่ให้ผลในอนาคต เช่น ท่านพระองคุลีมาล ที่ท่านได้กระทำกรรมไปแล้ว แต่ว่ากรรมนั้นจักไม่ให้ผลในอนาคต ก็เป็น อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก

    เพราะฉะนั้นกรรมมีมากมายเหลือเกินในสังสารวัฏฏ์ที่ได้กระทำแล้ว และให้ผลแล้วในอดีตก็มี กรรมที่ได้กระทำแล้ว ให้ผลในชาตินี้คือปัจจุบันชาตินี้ก็มี และกรรมที่ได้ทำแล้ว ปัจจุบันชาตินี้ยังไม่ให้ผล แต่จะให้ผลในชาติอนาคตก็มี หรือว่ากรรมที่ได้ทำแล้วนั่นเอง จักไม่ให้ผลในอนาคตก็มี แล้วแต่ปัจจัยที่ประกอบอีกหลายปัจจัยทีเดียวที่กรรมแต่ละกรรมจะเกิดขึ้นให้ผลได้ โดยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

    นี่คือโดยปริยายแห่งปฏิสัมภิทามรรค ท่านพระสารีบุตรจำแนกกรรมแม้อย่างอื่นไว้ ๑๒ ประการ คือ เป็นเรื่องของอโหสิกรรม คือกรรมที่ได้ทำแล้ว ๖ ประการ และเป็นกรรมที่มีอยู่ คือ กรรมในปัจจุบันชาติอีก ๖ ประการ

    2343 กรรมปัจจุบัน ๖

    โดยปริยายแห่งปฏิสัมภิทามรรค ท่านพระสารีบุตรจำแนกกรรมแม้อย่างอื่นไว้ ๑๒ ประการ คือ เป็นเรื่องของอโหสิกรรม คือกรรมที่ได้ทำแล้ว ๖ ประการ และเป็นกรรมที่มีอยู่ คือ กรรมในปัจจุบันชาติอีก ๖ ประการ ได้แก่

    ๗. อตฺถิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมมีอยู่ คือ กรรมปัจจุบันทำให้เกิดวิบากในปัจจุบัน

    อย่าคิดว่า กรรมจะไม่ให้ผล กรรมที่ได้กระทำแล้วให้ผลในปัจจุบันชาตินี้ก็ได้ เป็นกรรมในปัจจุบันชาติ ซึ่งให้ผลในปัจจุบันชาติได้

    ๘. อตฺถิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมไม่มี

    หมายความถึงกรรมในปัจจุบันที่ทุกท่านทำในชาตินี้ ไม่ทำให้เกิดวิบากในปัจจุบัน ท่านที่รอคอยผลว่าทำกรรมแล้ว ทำไมไม่ได้รับผลของกรรม ทำกุศลแล้ว ทำไมไม่ได้รับกุศลวิบาก ก็เพราะเหตุว่ากรรมมีอยู่ แต่ผลของกรรมไม่มี คือ กรรมปัจจุบันมี แต่กรรมปัจจุบันนั้นไม่ได้ทำให้เกิดวิบากในปัจจุบัน

    เพราะฉะนั้นทำให้หลายคนอาจจะเข้าใจผิด ไม่เชื่อเรื่องกรรม คิดว่ากรรมไม่ได้ทำให้เกิดวิบาก หรือว่าวิบากที่กำลังได้รับในขณะนี้ไม่ใช่ผลของกรรม

    ๙. อตฺถิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักมี

    ได้แก่ กรรมที่ได้กระทำในปัจจุบัน ทำให้เกิดวิบากในอนาคต ผลของกรรมจักมี ได้แก่ ประเภทของครุกรรม กรรมหนักที่ได้กระทำแล้วในปัจจุบันชาตินี้ เพราะฉะนั้นผลของกรรมจักมี จะต้องได้รับผลของกรรมนั้นในอนาคตแน่นอน

    ๑๐. อตฺถิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักไม่มี

    เป็นไปได้ไหมคะ กรรมที่ทำในปัจจุบันชาตินี้ คือ กรรมมีอยู่ แต่ผลของกรรมจักไม่มี เป็นไปได้ อย่างผู้ที่เจริญสมถภาวนาจนกระทั่งได้ฌานจิต แต่ว่าฌานเสื่อม ก่อนจุติ ฌานจิตไม่เกิด ฌานนั้นไม่ได้ให้ผลในอนาคต เพราะฉะนั้นกรรมปัจจุบัน มี แต่ไม่ทำให้เกิดวิบากในอนาคต คือ กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักไม่มี

    ๑๑. ภวิสฺสติ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมจักมี ผลของกรรมจักมี

    ได้แก่ทุกท่านหรือเปล่า หรือว่าหมดกรรมแล้ว ไม่มีกรรมอีกต่อไปแล้ว อย่างนั้นหรือคะ ทุกท่านยังมีกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้นแน่นอนที่สุดคือกรรมจักมี และผลของกรรมจักมี ได้แก่ กรรมที่จะกระทำในอนาคตก็ทำให้เกิดวิบากในอนาคต ยังไม่หมดสิ้นเลย ไม่ว่าจะเป็นกรรมอดีต หรือกรรมปัจจุบัน หรือกรรมที่จะทำในอนาคต หรือกรรมที่จักมีในอนาคตก็ทำให้เกิดวิบากในอนาคตด้วย

    ๑๒. ภวิสฺสติ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมจักมี ผลของกรรมจักไม่มี

    คือ กรรมในอนาคตไม่ทำให้เกิดวิบากในอนาคต

    เห็นความต่างกันของกรรมแต่ละชนิด แต่ละประเภท แต่ละชีวิตในสังสารวัฏฏ์ไหม ที่ว่ากรรมอนาคตไม่ทำให้เกิดวิบากในอนาคต

    ผู้ที่เจริญกุศล รู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่ทำให้เกิดวิบากในอนาคตหลังปรินิพพานแล้ว

    เพราะฉะนั้นก็เป็นกรรมจักมี ผลของกรรมจักไม่มี ไม่มีการสิ้นสุดกรรม และผลของกรรม ถ้าปัญญาไม่เกิดขึ้นรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏตามความเป็นจริง

    2344 กรรม ๑๒ (๑) กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมได้มีแล้ว

    โดยนัยของพระสุตตันตปิฎก ตามข้อความในมโนรถปูรนี อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ วรรคที่ ๔ นิทานสูตร ซึ่งได้แสดงกรรม ๑๑ คือ แสดงโดยกาลของการให้ผล ๓ ได้แก่

    ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันชาติ ๑

    อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติต่อไป ๑

    และอปรปริยายเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาติต่อๆ ไปนั้นอีก ตราบใดที่สังสารวัฏฏ์ยังไม่สิ้น ๑

    ซึ่งข้อความเรื่องของกรรมอื่น จะไม่ใช่กรรม ๑๑ แต่เป็นกรรม ๑๒ โดยกล่าวถึงอีกกรรมหนึ่ง คือ อโหสิกรรม ซึ่งข้อความในมโนรถปุรนี โดยปริยายแห่งปฏิสัมภิทามรรค ท่านพระสารีบุตรจำแนกกรรม แม้อย่างอื่นไว้ ๑๒ ประการ มีข้อความว่า

    ๑. อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กัมมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมได้มีแล้ว

    นี่เป็นเรื่องที่ทุกท่านจะพิจารณาชีวิตของท่านอย่างละเอียดทีเดียวว่า ที่ยังต้องมีการเกิด แล้วก็ยังไม่จุติ ยังมีการเห็น การได้ยิน มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในชีวิตอยู่ทุกขณะ แต่ละขณะ ล่วงไปๆ ๆ โดยขณะๆ เรื่อยๆ ก็เพราะเหตุว่ามีกรรมนั่นเองยังเป็นปัจจัยอยู่ และในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน แม้พระผู้มีพระภาคเองในคืนที่จะตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จะได้ทรงระลึกชาติสักเพียงใดตลอดปฐมยาม ก็ไม่สามารถที่จะจบสิ้นได้

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมาแล้วยาวนานมาก และในชาตินี้ก็จะเป็นชาติหนึ่งซึ่งใกล้จะจบสิ้นส่วนหนึ่งของสังสารวัฏฏ์ ซึ่งยังจะต้องมีการเกิด เพราะมีกรรมที่ยังไม่ได้ให้ผลอีกมากทีเดียวที่จะทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวอีกต่อไปนับไม่ถ้วน

    ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ยังไม่ใช่พระโสดาบัน การเกิดต้องมีอีกมากมาย เมื่อไรเป็นพระโสดาบันบุคคล เมื่อนั้นการเกิดจึงจะยังมีอยู่อีกอย่างมากที่สุด ๗ ชาติ

    เพราะฉะนั้นก็ควรจะทราบเรื่องความสลับซับซ้อน ความมากมายของกรรมในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งยังติดตามให้ผลแม้ในปัจจุบันชาตินี้ได้ โดยที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดกับท่าน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกุศลวิบากหรืออกุศลวิบากนั้น เป็นผลของกรรมใดในชาติใด เพราะเหตุว่าแม้ในชาตินี้เอง แต่ละท่านก็ต่างได้ทำกรรมไม่น้อยเลย ทั้งที่เป็นกุศลกรรม และอกุศลกรรม เฉพาะในชาตินี้ชาติเดียว เมื่อรวมในชาติก่อนๆ ย้อนไป ย้อนๆ ๆ ไปอีก ก็จะเห็นได้ว่ากรรมยังมีอีกมากมายเหลือเกินที่จะทำให้สังสารวัฏฏ์ยาวนานต่อไป

    เพราะฉะนั้น อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก ได้แก่ กรรมได้มีแล้ว คือ ได้กระทำแล้ว ผลของกรรมได้มีแล้ว หมายความว่า กรรมในสังสารวัฏฏ์ที่ได้ทำแล้ว ก็ได้ให้ผลไปแล้ว ก็มี ไม่ใช่ว่าไม่ได้ให้ผลไปเลย แต่ในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน กรรมที่ได้ทำแล้ว จริง และผลของกรรมก็ได้มีแล้วด้วย หมดไปแล้วกรรมนั้น อย่างหนึ่ง คือ เป็นอโหสิกรรม เพราะเหตุว่ากรรมได้มีแล้ว และผลของกรรมได้มีแล้วด้วย

    2345 กรรม ๑๒ (๒) กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่ได้มีแล้ว

    ๒. อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่ได้มีแล้ว

    หมายความว่า กรรมได้กระทำแล้วจริง แต่ยังไม่ได้ให้ผลในอดีต กรรมในอดีตได้กระทำไปแล้ว แต่ว่าผลของกรรมนั้นยังไม่ได้ให้ผลในอดีต คอยโอกาสที่จะให้ผลในชาตินี้หรือในชาติต่อๆ ไปก็ได้ แต่กรรมมีแล้ว

    เพราะฉะนั้นกรรมมีแล้วนั้นเป็นอโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่ได้มีแล้ว คือ กรรมในอดีตไม่ได้ให้ผลในอดีต

    ต่างกับข้อที่ ๑ คือ ประเภทที่ ๑ กรรมในอดีตให้ผลแล้วในอดีต ใครตามระลึกได้บ้าง ผลของกรรมในอดีตชาติก่อนๆ ก็ไม่ทราบว่าเกิดมาเป็นใคร ได้รับผลของกรรมอะไร เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถจะล่วงรู้ไปถึงกรรมก่อนนั้นอีก ซึ่งได้ทำแล้ว คือกรรมในอดีตได้มีแล้ว และผลของกรรมในอดีตก็ได้มีแล้ว กรรมในอดีตให้ผลแล้วในอดีตอย่างหนึ่ง และกรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่ได้มีแล้ว คือ กรรมในอดีตไม่ได้ให้ผลในอดีต ระลึกถึงชาติก่อนๆ ไม่ได้ก็จริง แต่ให้ทราบลักษณะของกรรมที่กระทำแล้ว ที่เป็นอโหสิกรรม

    2346 กรรม ๑๒ (๓) กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมมีอยู่

    ประเภทที่ ๓. อโหสิ กมฺมํ อัตถิ กมฺมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมมีอยู่

    คือ กรรมในอดีตให้ผลในปัจจุบัน โดยที่ไม่ทราบอีกเหมือนกันว่า ขณะนี้ที่เป็นผลในปัจจุบันเป็นผลของกรรมใดในอดีต แต่ให้ทราบว่ากรรมนั้นได้กระทำแล้วในอดีต ผลของกรรมนั้นมีอยู่ คือ ในปัจจุบันชาตินี้

    ท่านที่กำลังสุขสบาย เป็นผลของกรรมในอดีต ท่านที่กำลังทุกข์ยาก ลำบาก เดือดร้อน ก็เป็นผลของกรรมในอดีต โดย อโหสิ กมฺมํ อัตถิ กมฺมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมมีอยู่

    นี่เป็นประเภทที่ ๓

    2347 กรรม ๑๒ (๔) กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่มีอยู่

    ประเภทที่ ๔. อโหสิ กัมมํ นัตถิ กัมมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมไม่มีอยู่

    นี่เป็นเรื่องความละเอียดของกรรมจริงๆ ที่แสดงว่า กรรมได้มีแล้ว หมายความถึงกรรมในอดีตได้กระทำแล้ว แต่ว่าไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ

    กรรมในอดีตมากมายเหลือเกินในสังสารวัฏฏ์ มีแล้ว คือ อโหสิ กฺมมํ กรรมได้มีแล้ว นัตถิ กมฺมวิปาโก ผลของกรรมไม่มีอยู่ คือ ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ ชาติหน้าอาจจะให้ผลก็ได้ กรรมที่ได้กระทำแล้วๆ มาในสังสารวัฏฏ์ แต่ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ แต่อาจจะให้ผลในชาติต่อไปได้

    เพราะฉะนั้นกรรมนั้นๆ ที่ได้กระทำแล้วในอดีต แต่ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาตินี้ เป็น อโหสิ กมฺมํ นัตถิ กฺมมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว แต่ผลของกรรมไม่มีอยู่ คือ ไม่มีอยู่ในปัจจุบันชาติ แต่จะมีอยู่ในชาติต่อๆ ไปได้

    2348 กรรม ๑๒ (๕) กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี

    ประการที่ ๕. อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี

    ประมาทไม่ได้เลย คือ กรรมในอดีตจักให้ผลในอนาคต

    เพราะฉะนั้นทุกท่านที่เกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบันชาติ แล้วก็เข้าใจว่าทำบาปน้อย ทำบุญมาก ก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสจะเกิดในอบายภูมิ แต่อย่าลืม อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี คือ กรรมที่ได้กระทำแล้ว แม้ไม่ได้ให้ผลในปัจจุบันชาติ แต่ก็จักให้ผลในอนาคต เป็นไปได้ไหมคะ ถ้าจุติจิตเกิด ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้วันหนึ่งวันใด อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ หรือวันหนึ่งวันใดก็ได้ แล้วก็เกิดในอบายภูมิ จะทราบได้ไหมว่าเป็นผลของกรรมใด เพราะเหตุว่าอาจจะเป็น อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก คือ กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักมี คือ กรรมนั้นแหละไม่ให้ผลทำให้เกิดในอบายภูมิในชาตินี้ แต่จักมี คือจะให้ผลคืออบายภูมิในอนาคตคือในชาติต่อไปได้

    2349 กรรม ๑๒ (๖) กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักไม่มี

    ประการที่ ๖. อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว ผลของกรรมจักไม่มี

    หมายความว่า กรรมในอดีตจะไม่ให้ผลในอนาคต เช่น ท่านพระองคุลีมาล ที่ท่านได้กระทำกรรมไปแล้ว แต่ว่ากรรมนั้นจักไม่ให้ผลในอนาคต ก็เป็น อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก

    เพราะฉะนั้นกรรมมีมากมายเหลือเกินในสังสารวัฏฏ์ที่ได้กระทำแล้ว และให้ผลแล้วในอดีตก็มี กรรมที่ได้กระทำแล้ว ให้ผลในชาตินี้คือปัจจุบันชาตินี้ก็มี และกรรมที่ได้ทำแล้ว ปัจจุบันชาตินี้ยังไม่ให้ผล แต่จะให้ผลในชาติอนาคตก็มี หรือว่ากรรมที่ได้ทำแล้วนั่นเอง จักไม่ให้ผลในอนาคตก็มี แล้วแต่ปัจจัยที่ประกอบอีกหลายปัจจัยทีเดียวที่กรรมแต่ละกรรมจะเกิดขึ้นให้ผลได้ โดยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

    นี่คือโดยปริยายแห่งปฏิสัมภิทามรรค ท่านพระสารีบุตรจำแนกกรรมแม้อย่างอื่นไว้ ๑๒ ประการ คือ เป็นเรื่องของอโหสิกรรม คือกรรมที่ได้ทำแล้ว ๖ ประการ และเป็นกรรมที่มีอยู่ คือ กรรมในปัจจุบันชาติอีก ๖ ประการ

    2350 กรรม ๑๒ (๗) กรรมมีอยู่ ผลของกรรมมีอยู่

    โดยปริยายแห่งปฏิสัมภิทามรรค ท่านพระสารีบุตรจำแนกกรรมแม้อย่างอื่นไว้ ๑๒ ประการ คือ เป็นเรื่องของอโหสิกรรม คือกรรมที่ได้ทำแล้ว ๖ ประการ และเป็นกรรมที่มีอยู่ คือ กรรมในปัจจุบันชาติอีก ๖ ประการ ได้แก่

    ประการที่ ๗. อตฺถิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมมีอยู่ คือ กรรมปัจจุบันทำให้เกิดวิบากในปัจจุบัน

    อย่าคิดว่า กรรมจะไม่ให้ผล กรรมที่ได้กระทำแล้วให้ผลในปัจจุบันชาตินี้ก็ได้ เป็นกรรมในปัจจุบันชาติ ซึ่งให้ผลในปัจจุบันชาติได้

    2351 กรรม ๑๒ (๘) กรรมมีอยู่ ผลของกรรมไม่มี

    ประการที่ ๘. อตฺถิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมไม่มี

    หมายความถึงกรรมในปัจจุบันที่ทุกท่านทำในชาตินี้ ไม่ทำให้เกิดวิบากในปัจจุบัน ท่านที่รอคอยผลว่าทำกรรมแล้ว ทำไมไม่ได้รับผลของกรรม ทำกุศลแล้ว ทำไมไม่ได้รับกุศลวิบาก ก็เพราะเหตุว่ากรรมมีอยู่ แต่ผลของกรรมไม่มี คือ กรรมปัจจุบันมี แต่กรรมปัจจุบันนั้นไม่ได้ทำให้เกิดวิบากในปัจจุบัน

    เพราะฉะนั้นทำให้หลายคนอาจจะเข้าใจผิด ไม่เชื่อเรื่องกรรม คิดว่ากรรมไม่ได้ทำให้เกิดวิบาก หรือว่าวิบากที่กำลังได้รับในขณะนี้ไม่ใช่ผลของกรรม

    2352 กรรม ๑๒ (๙) กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักมี

    ประการที่ ๙. อตฺถิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักมี

    ได้แก่ กรรมที่ได้กระทำในปัจจุบัน ทำให้เกิดวิบากในอนาคต ผลของกรรมจักมี ได้แก่ ประเภทของครุกรรม กรรมหนักที่ได้กระทำแล้วในปัจจุบันชาตินี้ เพราะฉะนั้นผลของกรรมจักมี จะต้องได้รับผลของกรรมนั้นในอนาคตแน่นอน

    2353 กรรม ๑๒ (๑๐) กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักไม่มี

    ประการที่ ๑๐. อตฺถิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักไม่มี

    เป็นไปได้ไหมคะ กรรมที่ทำในปัจจุบันชาตินี้ คือ กรรมมีอยู่ แต่ผลของกรรมจักไม่มี เป็นไปได้ อย่างผู้ที่เจริญสมถภาวนาจนกระทั่งได้ฌานจิต แต่ว่าฌานเสื่อม ก่อนจุติ ฌานจิตไม่เกิด ฌานนั้นไม่ได้ให้ผลในอนาคต เพราะฉะนั้นกรรมปัจจุบัน มี แต่ไม่ทำให้เกิดวิบากในอนาคต คือ กรรมมีอยู่ ผลของกรรมจักไม่มี

    2354 กรรม ๑๒ (๑๑) กรรมจักมี ผลของกรรมจักมี

    ประการที่ ๑๑. ภวิสฺสติ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมจักมี ผลของกรรมจักมี

    ได้แก่ทุกท่านหรือเปล่า หรือว่าหมดกรรมแล้ว ไม่มีกรรมอีกต่อไปแล้ว อย่างนั้นหรือคะ ทุกท่านยังมีกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้นแน่นอนที่สุดคือกรรมจักมี และผลของกรรมจักมี ได้แก่ กรรมที่จะกระทำในอนาคตก็ทำให้เกิดวิบากในอนาคต ยังไม่หมดสิ้นเลย ไม่ว่าจะเป็นกรรมอดีต หรือกรรมปัจจุบัน หรือกรรมที่จะทำในอนาคต หรือกรรมที่จักมีในอนาคตก็ทำให้เกิดวิบากในอนาคตด้วย

    2355 กรรม ๑๒ (๑๒) กรรมจักมี ผลของกรรมจักไม่มี

    ประการที่ ๑๒. ภวิสฺสติ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมจักมี ผลของกรรมจักไม่มี คือ กรรมในอนาคตไม่ทำให้เกิดวิบากในอนาคต

    เห็นความต่างกันของกรรมแต่ละชนิด แต่ละประเภท แต่ละชีวิตในสังสารวัฏฏ์ไหม ที่ว่ากรรมอนาคตไม่ทำให้เกิดวิบากในอนาคต ผู้ที่เจริญกุศล รู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่ทำให้เกิดวิบากในอนาคตหลังปรินิพพานแล้ว

    เพราะฉะนั้นก็เป็นกรรมจักมี ผลของกรรมจักไม่มี ไม่มีการสิ้นสุดกรรม และผลของกรรม ถ้าปัญญาไม่เกิดขึ้นรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏตามความเป็นจริง

    2426 อปรปริยายเวทนียกรรม

    สำหรับการให้ผลโดยกาลของกรรมอีกประเภทหนึ่งคือ อปรปริยายเวทนียกรรม ถ้าไม่ให้ผลในชาติหน้า ก็ยังมีโอกาสที่จะให้ผลในชาติต่อๆ ไปอีก ไม่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังมีสังสารวัฏฏ์อยู่

    เพราะฉะนั้นทุกท่านจะเกิดมาแล้วนานแสนนานเท่าไร ไม่มีใครสามารถที่จะทบทวนย้อนไปได้ เช่นเดียวกับที่จะเกิดอีกต่อไป ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่า จะเกิดต่อไปอีกยาวนานสักเท่าไร นอกจากจะได้อบรมเจริญปัญญาสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบันบุคคลเมื่อไร จะเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ แต่ถ้ายังไม่ใช่พระโสดาบัน และก็อยากจะไม่เกิดอีกเลย เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ต้องเกิด เพราะเหตุว่ามีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิด คือ กรรม

    2427 กรรม ๓ กับ ชวนจิต ๗ ขณะ

    ถ้าจะแสดงถึงกรรมทั้ง ๓ นี้กับชวนจิต สงเคราะห์กรรม ๓ นี้กับชวนจิต ๗ ขณะ ทิฏฐธัมมเวทนียกรรมเป็นชวนจิตดวงที่ ๑ เพราะเหตุว่าสามารถจะให้ผลเพียงในชาติปัจจุบันนี้เท่านั้น ถ้าชวนจิตดวงที่ ๑ ไม่ให้ผล ไม่เป็นทิฏฐธัมมเวทนียกรรม ก็จะไม่ให้ผลในชาติต่อๆ ไปเลย

    สำหรับกรรมที่ ๒ คือ อุปปัชชเวทนียกรรม ได้แก่ กรรมที่จะทำให้ปฏิสนธิในชาติต่อไป และให้ผลได้ในชาติต่อไป ได้แก่ ชวนจิตดวงที่ ๗

    อปรปริยายเวทนียกรรม ที่จะให้ผลได้ตลอดไปในชาติอื่นๆ ตราบเท่าที่ยังมีสังสารวัฏฏ์อยู่ ก็ได้แก่ ชวนจิตขณะที่ ๒ ถึงขณะที่ ๖

    2428 เศษของกรรมหมายความว่าอะไร

    สมนึก ผมเคยได้ยินคำว่า “เศษของกรรม” หมายความว่าอย่างไร มีลักษณะ เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ กรรมที่ทำแล้วให้ผลยังไม่หมดค่ะ ยังเหลือโอกาสที่จะให้ผล

    สมนึก หมายความว่า ถ้าเผื่อรับผลในอบายแล้ว เศษของกรรมนั้นยังไม่หมด

    ท่านอาจารย์ ยังไม่หมดได้ค่ะ

    สมนึก แล้วเศษของกรรมทำปฏิสนธิได้อีก

    ท่านอาจารย์ ได้ค่ะ

    สมนึก กรรมนี่ใช้ไปจวนจะหมดแล้ว เศษของกรรม ทำไม จึงมีกำลังทำปฏิสนธิ ได้อีก

    ท่านอาจารย์ เมื่อเป็นกรรมที่ครบองค์ก็สามารถทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดได้

    สมนึก กรรมลักษณะไหนจึงเป็นเศษของกรรม

    ท่านอาจารย์ กรรมหนึ่งๆ จิตเกิดขึ้นกี่ดวง การกระทำกรรมหนึ่งที่สำเร็จลงไปแต่ละครั้งๆ จิตเกิดขึ้นกี่ดวง จิตที่กระทำกรรมนั้นสำเร็จลง เกิดขึ้นกี่ดวง

    สมนึก ไม่ทราบครับ

    ท่านอาจารย์ วิถีจิตเกิดขึ้นที่เป็นกุศลชวนจิตหรืออกุศลชวนจิตจะเกิดซ้ำกัน ๗ ขณะ

    ถ้าเป็นชวนะดวงที่ ๑ สามารถจะให้ผลได้ในปัจจุบันชาติ คือ ชาติที่ทำกรรมนั้น ถ้าไม่ให้ผลในชาตินั้น ชวนะดวงที่ ๑ จะไม่ทำให้เกิดวิบากในชาติต่อๆ ไปได้เลย เพราะเหตุว่าชวนะดวงที่ ๑ มีกำลังอ่อนกว่าชวนะอื่น เพราะฉะนั้นจึงสามารถที่จะให้ผลได้เฉพาะในปัจจุบันชาตินั้น

    เพราะฉะนั้นชวนะดวงที่ ๑ จึงเป็นทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ กรรมที่สามารถจะ ให้ผลในปัจจุบันชาติ แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถที่จะรู้ได้จริงๆ ว่าขณะที่วิบากจิตนี้กำลังเกิด ขึ้นเป็นผลของกรรมใด จะเป็นผลของทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ ชวนจิตดวงที่ ๑ ใน ชาตินั้น หรือว่า จะเป็นผลของอดีตกรรมในชาติก่อน หรือว่า จะเป็นผลของกรรมที่ได้ กระทำมาแล้วเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ เพราะเหตุว่าชวนจิตที่เป็นกุศล ๗ ขณะ หรืออกุศล ๗ ขณะ มีกาลที่จะให้ผลต่างกัน คือถ้าเป็นชวนจิตดวงที่ ๑ ให้ผลในปัจจุบันชาตินั้น ทำ ให้วิบากเกิดขึ้นในปัจจุบันชาตินั้น ถ้าเป็นชวนะดวงที่ ๗ ก็ทำให้วิบากเกิดขึ้นในชาติ ต่อไป ถ้าเป็นชวนะดวงที่ ๒ ถึงดวงที่ ๖ ก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้วิบากจิตเกิดในชาติ หลังๆ ต่อไปอีกได้ ตราบใดที่ยังมีสังสารวัฏฏ์

    เพราะฉะนั้นแต่ละกรรมที่ได้กระทำสำเร็จลง ชวนจิตเกิด ๗ ครั้ง ๗ ครั้งๆ กว่ากรรมหนึ่งๆ จะสำเร็จลงไป

    สมนึก ผมก็ยังไม่เข้าใจว่า การกระทำกรรมสำเร็จครั้งหนึ่ง จิตเกิดกี่ดวง

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ทางตาที่เห็น มีชวนจิตเกิดแล้ว๗ ขณะ ที่กำลังได้ยิน ซึ่งดูเสมือน ว่าทั้งเห็นด้วย ทั้งได้ยินด้วย ความจริงมีภวังคจิตคั่น และมีมโนทวารวิถีจิตคั่น แล้วก็มี ชวนะทางโสตทวารวิถีอีก ๗ ขณะในขณะที่ดูเหมือนทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน

    เพราะฉะนั้นเวลาที่เกิดความคิดหรือเจตนาที่จะทำกรรมหนึ่งกรรมใด เริ่มตั้งแต่ คิด ชวนจิต ๗ ขณะจะเกิดกี่ครั้ง ๗ ขณะ ๗ ขณะ ๗ ขณะ กี่ครั้งกว่ากรรมหนึ่งๆ จะสำเร็จลง

    ท่านผู้ฟังคิดจะถวายทานกี่ขณะจิตที่คิดอย่างนั้น มีการนับได้ไหมคะ ทางตา เห็น ๗ ขณะ ทางหู ๗ ขณะ ทางมโนทวาร ๗ ขณะ เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว เพียงชวนะ ๗ ขณะ โดยไม่นับจิตอื่นซึ่งเกิดก่อน และเกิดหลังชวนะนั้น และกว่าจะนึกว่า ถ้าจะถวายทานจะทำอาหารอะไร ชวนะอีกเท่าไร

    สมนึก นับไม่ถ้วน

    ท่านอาจารย์ ก็นับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นเมื่อกรรมให้ผล และยังให้ผลไม่หมด ก็ยังมีเศษ ของกรรมที่จะให้ผลต่อไปได้ คือ กรรมที่ให้ผลแล้วแต่ยังให้ไม่หมด จึงชื่อว่าเศษของ กรรม

    2429 เศษของกรรม ต้องคิดนึกก่อนหรือไม่

    สมนึก ผมเคยได้ยินว่า เศษของกรรมหมายความว่า การที่จะกระทำกรรมที่เป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมก็ดี เราจะต้องมีการรำพึงก่อน หรือคิดนึกก่อน ใคร่ครวญก่อน นั่นเป็นเศษของกรรมหรือเปล่าครับ ก่อนที่จะทำให้ครบองค์

    ท่านอาจารย์ นั่นเป็นบุพเจตนา

    สมนึก ไม่ใช่ลักษณะเศษของกรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ เป็นตัวกรรมที่จะครบองค์ต่อเมื่อการกระทำนั้นสำเร็จลง ถ้าท่านผู้ฟังคิดที่จะถวายทาน หรือให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อประโยชน์สุขแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด กุศลจิตเกิด การให้นั้นสำเร็จหรือยัง เพียงคิดว่าจะให้

    สมนึก ยังครับ

    ท่านอาจารย์ ยังไม่สำเร็จใช่ไหมคะ แต่กุศลจิตเกิดแล้ว แต่กรรมยังไม่สำเร็จ และกว่ากรรมจะสำเร็จ กุศลจิตที่เป็นชวนะจะเกิดอีก ๗ ขณะ ๗ ขณะ อีกกี่ครั้ง

    ผู้ถาม ก็นับไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็นับไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่ากรรมใดจะให้ผลหมด หรือว่ายังให้ผลไม่หมดก็เป็นเศษของกรรม ซึ่งยังสามารถให้ผลได้

    ถ้าอ่านในอรรถกถา ก็จะมีเรื่องเศษของกรรมอยู่เสมอ กรรมนั้นให้ผลแล้ว ยังให้ไม่หมด เพราะฉะนั้นต่อมาภายหลังก็เกิดเป็นอะไรๆ หรือว่ากรรมนั้นให้ผลแล้วแต่ยังให้ผลไม่หมด เพราะฉะนั้นในชาตินั้นจึงได้รับผลของกรรมนั้น ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อย่างไรๆ

    เคยปวดหัวตัวร้อนนิดๆ หน่อยๆ ไหมคะ ต้องเป็นผลของอกุศลกรรม เป็นเศษของกรรมได้ไหม เพียงนิดหน่อย หกล้มนิดหนึ่ง มีบาดแผลเล็กน้อย แต่กรรมที่ทำจริงๆ สำเร็จครบองค์ไปแล้วสามารถที่จะทำให้เกิดในอบายภูมิได้ เกิดได้นรกก็ได้ เกิดเป็นเปรตก็ได้ เป็นอสุรกายก็ได้ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ นั่นคืออกุศลกรรมที่สำเร็จเป็นกรรมบถครบองค์ให้ผล แต่ว่าการเจ็บปวดนิดหน่อย ปวดหัวตัวร้อนเล็กๆ น้อยๆ เจ็บไข้ได้ป่วยเล็กน้อย ก็ต้องเป็นผลของอกุศลเหมือนกัน จะเป็นเศษของกรรมได้ไหม

    เรื่องของกรรมเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนมาก และถ้าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะไม่มีใครพยากรณ์ว่า ในขณะที่วิบากจิตเกิดในขณะนี้ เป็นผลของกรรมใด

    สมนึก เมื่อกี้อาจารย์ถามว่าอะไรครับ ขอทวนคำถามอีกที

    ท่านอาจารย์ เจ็บปวดเล็กน้อย ปวดหัวตัวร้อนนิดหน่อย หกล้มมีแผลเล็กน้อย เป็นผลของอกุศลกรรม ใช่ไหมคะ แต่อกุศลกรรมจริงๆ ที่ทำครบองค์แล้วสามารถจะทำให้ปฏิสนธิเกิดในอบายภูมิได้ คือ เกิดในนรกได้ ฆ่าสัตว์ครบองค์ มีเจตนาก่อนฆ่า รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต มีความเพียรในการฆ่า และสัตว์นั้นก็ตายลงไปด้วยจากการฆ่านั้น ครบองค์ ทำให้เกิดในอบายภูมิ แต่ว่ายังไม่หมดผลของกรรม โดยการที่ว่าเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็ยังเป็นผู้ที่มีโรคภัยเบียดเบียนบ่อยๆ

    สมนึก เป็นลักษณะเศษของกรรมใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ถ้าผลของกรรมจริงๆ ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ แต่เศษของกรรมก็ติดตามมา ทำให้เป็นผู้ที่สุขภาพร่างกายไม่ดี ไม่แข็งแรง



    หมายเลข 3
    4 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ