ก่อนเกิดเราคือใคร เกิดแล้วเราคือใคร
ขอท่านผู้รู้ได้โปรดด้วย !!
อยากถามว่า ก่อนที่จะมาเป็นเราวันนี้ เราเป็นใคร มาก่อน และต่อไปจากนี้ เรา คือใคร ครับ มีคนบอกว่าร่างกายเราเกิดจากพ่อแม่ ธาตุทั้ง ๔ และวิญญาณเราล่ะ เขาเกิดมาจากไหน
ทำไมผมถึงถามแบบนี้
เพราะได้ศึกษาธรรม มาระยะหนึ่งได้ทราบว่า เดิมทีแล้ว พวกเรามีการเกิด - ดับมาแล้วถึงกว่า ๖๐,๐๐๐ ปี สร้างกรรมดี กรรมชั่วมามากมาย เกิดเจ้ากรรมนายเวรก็มากมาย มีการติดตามกันมาทวงหนี้สินก็มากมาย วนเวียนเป็นวัฏฏะ ไม่จบสิ้น. มันทรมานเหลือเกินการเกิดเป็นคนบนโลกนี้.
พวกเราเคยสงสัยแบบผมไหม ว่า วิญญาณ หรือ จิตของเรา เกิดมาจากไหน คงจะไม่ได้มาเองโดยธรรมชาติ เป็นแน่แท้ ค้นหาในพระสูตรของพระพุทธองค์ก็ไม่มี บางคนก็ว่า มันเกินที่เราจะรู้ ไม่ต้องรู้หรอก แต่ผมว่าหากรู้ไว้เราจะเข้าใจอะไรอีกมากมาย ไม่ต้องเป็นไปตามวัฏฏะสงสาร ทำไมต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทำไมพระพุทธองค์จึงหลุดพ้นได้ แล้วหากท่านหลุดพ้นได้ เราก็น่าจะหลุดพ้นได้ด้วยเช่นเดียวกัน.
และก็ได้ศึกษาว่า วิญญาณ หรือ จิต หรือที่เรียกว่าพุทธจิต ของเรากับของพระพุทธองค์ ไม่ได้แตกต่างกันเลย แม้แต่นิดเดียว ผิดเพียงแต่ว่า พระพุทธองค์หรือองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านได้บำเพ็ญเพียรจนหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง เหลือแต่จิตเดิมแท้หรือพุทธจิตที่บริสุทธิ์ จึงสามารถกลับสู่นิพพานได้.
ผมอยากจะถามแบบฟันธงกับผู้รู้จริงเลยว่า เดิมทีเรามาจากนิพพานใช่หรือไม่? ครับ
แต่ในขณะนี้จิตเราไม่บริสุทธิ์เหมือนเดิมจึงไม่สามารถ กลับไปได้เหมือนพระพุทธองค์ ..
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เบื้องต้นสังสารวัฏฏ์ ไม่ปรากฏ เพราะ ยาวนาน สัตว์โลก ไม่ได้เริ่มต้นมาจากพระนิพพาน เพราะ ถ้าเริ่มจากการไม่มีอะไร ก็จะไม่มีการเกิดขึ้นของอะไร เพราะฉะนั้น อาศัย อวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมทั้งหลายได้ เพราะมีความไม่รู้ จึงมีการทำกรรมมีการเกิดขึ้นของนาม รูป อันสมมติว่าเป็นสัตว์โลก เป็นสัตว์ บุคคลต่างๆ ครับ
ส่วนสภาพธรรมที่เป็นจิตเป็นใหญ่ในการรู้ และไม่ว่าเป็นจิตของผู้ใด ก็เป็นสภาพธรรมที่บริสุทธิ์ผ่องใสด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่า เมื่อจิตเกิดขึ้น จะต้องอาศัยเจตสิกเกิดขึ้นร่วมด้วย ซึ่ง สัตว์โลกที่มีความไม่รู้ ก็มีเจตสิกที่เป็นเจตสิกที่ไม่ดี มีโลภะ โทสะ และโมหะ (ความไม่รู้) เป็นต้นเกิดร่วมด้วย จึงทำให้จิตเศร้าหมอง เพราะอาศัยกิเลสที่เกิดร่วมด้วยในขณะนั้น ต่างจากพระพุทธเจ้าที่จิตของพระองค์ไม่มีกิเลส คือเจตสิกที่ไม่ดีเกิดร่วมด้วยแล้วครับ นี่คือ ความแตกต่างเพราะอาศัยเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยที่แตกต่างกัน ครับ
สิ่งที่สำคัญ การจะหาเบื้องต้นของสังสารวัฏฏ์ ไม่สามารถทำให้ละคลายกิเลสได้ แต่กลับเพิ่มความสงสัยว่าจริง หรือ ไม่จริง ขณะที่สงสัย ไม่แน่ใจ ขณะนั้นไม่รู้ตัวเลย ว่า กำลังเพิ่มกิเลส เพิ่มขยะเข้าไปในจิตใจแล้ว เพราะฉะนั้น บางปัญหาพระพุทธเจ้า ไม่ทรงพยากรณ์ เพราะว่าเมื่อพยากรณ์ ตอบไป ก็กลับเพิ่มความสงสัย เพิ่มกิเลสให้ผู้ถาม หรือ อาจทำให้มีโทษกับผู้ถาม เพราะ เกิดจิตที่คิดไม่ดี กับ พระพุทธเจ้า ว่าพระองค์กล่าวคำไม่จริง เพราะ ไม่ตรงกับความคิดของตน พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงพระธรรมที่เหมาะสม ที่เป็นประโยชน์ เพื่อประโยชน์ คือ การละคลายกิเลสเท่านั้น และ เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา เพราะ สาระของชีวิต คือ การมีความเห็นถูก ปัญญาอันเกิดจากการฟัง, ศึกษาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง อันเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงแสดงและเห็นแล้วว่า ไม่เหลือวิสัยของสัตว์โลกที่จะเข้าใจได้ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
อนุโมทนาครับ
ตอนแรกการศึกษาของผมก็เริ่มจากสงสัยครับ ว่าเกิดมาทำไม ทำไมต้องมีโลก ส่วนใหญ่เป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับ อจินไตยหมดเลย จนมาศึกษาธรรมแล้วมีความเข้าใจใหม่เกือบหมด และหายสงสัยด้วยเหมือนกับว่ารู้ เข้าใจ ไม่ต้องใช้เหตุผลตัวเอง แต่คิดพิจารณาทุกสิ่งเหมือนเป็นปกติ พระธรรมทำให้เข้าใจมากขึ้นจริงๆ ครับ :)
ขอขอบพระคุณท่าน paderm ที่ได้ให้ความรู้ กระผมไม่ได้จะแย้งท่าน แต่พระธรรม ที่ผมได้ศึกษา และได้สัมผัสมา ทราบว่า ก่อนพุทธกาล ๖๐,๐๐๐ กว่าปี มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย ล้วนมาจากที่เดียวกันทั้งสิ้น เดิมที มีจิตเดิมแท้ที่บริสุทธิ์ อยู่ ณ ที่ๆ หนึ่ง โดยมีผู้ให้กำเนิดจิตนี้อยู่ด้วย และได้โปรดให้ดวงจิตเหล่านี้กำเนิดบนโลก เป็น หยิน หยาง เกิด ฟ้า ดิน กำเนิดชีวิต ผ่านมาแล้วหลายกัป หลายกัลป์
แรกเดิมจิตใจผ่อง ไปกลับที่เดิมได้ อยู่ไปมากวัน ไม่สามารถกลับคืนได้ เพราะเกิดอวิชชาครอบงำจิตไม่บริสุทธิ์ผ่องใสเหมือนเดิม หม่นหมองทุกภพทุกชาติ เริ่มมีหนี้สิน เวรกรรม ชดใช้กันเป็นวัฏฏะ จนลืมจิตเดิมที่ผ่องใส หรือ ลืมจิตที่เป็นพุทธะ กลายเป็นเวไนย และวิญญาณผี ผมไม่รู้หรอกภาษาบาลีต่างๆ ที่ใช้เป็นศัพท์ แต่ผมเข้าใจเป็นภาษาพูดธรรมดา บางทีอาจจะเหมือนกันกับภาษาบาลีของท่าน
พระพุทธองค์ ก็ทรงเคยอยู่ที่ แดนนิพาน มาก่อน เหมือนกันกับดวงจิตทุกดวง แต่ด้วยบุญวาสนา และการบำเพ็ญเพียร จึงทำให้ท่านได้ค้นพบกับ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หรือสภาวะพุทธะ อันนำไปได้รู้แจ้งถึง กิเลสต่างๆ รู้เท่าทัน หรือที่เรียกว่า อริยสัจ ๔ และ สามารถกลับคืนสู่นิพพานได้
ท่านลองพิจารณาพระไตรฯ เมื่อครั้ง พระพุทธองค์ตรัสรู้ ได้ตรัสออกมาว่า "แปลกจริงหนอ แปลกจริงหนอ เวไนยสัตว์ ต่างล้วนมีสภาวะนี้ด้วยกันทั้งหมด" พระพุทธองค์ จึงได้ทรงออกโปรดเวไนย โดยไม่หยุด เพราะรู้ว่า เวไนยทั้งหลายสามารถที่จะกลับสู่นิพพานได้เช่นเดียวกัน ต่างกันที่บุญวาระ และหนี้สินเวรกรรม ต้องหมดก่อน
ผมไม่อาจที่จะอธิบายให้ชัดเจนได้ ด้วยทางวิทยาศาตร์ แต่เมื่อใดที่ท่านทั้งหลาย กิเลสเบาบาง และได้รู้ถึงจุดหนึ่ง ซึ่งสถิต จิตญาณพุทธะ ท่านจะสัมผัสได้ถึงธรรม ที่แท้จริง ที่สงบนิ่งอยู่ในตัวกายสังขารของท่านทั้งหลาย
ธรรมะเกิดก่อนที่จะมีศาสนาพุทธ หรือ ๕ ศาสนาใหญ่ ทุกศาสนาล้วนนำไปสู่ธรรมะ ท่านทั้งหลายต้องแยกให้ออก ระหว่างธรรมะ กับ ศาสนา อย่ารวมกัน ... ศาสนา เป็นเพียงการกำหนดมาของเวไนย แต่ธรรมะ มีอยู่แล้ว ...
ท่านทั้งหลาย เดิมมีจิตของพุทธะ อยู่แล้วในตัวท่าน เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีอยู่ พระพุทธองค์ทรงต้องการนำพากลับสู่นิพพานจึงได้มีข้อบัญญัติ หรือพระไตรฯ ให้ทำตามเพื่อฟื้นฟูจิตเดิมแท้ กลับ คือสู่ ความเป็นพุทธะ จะเห็นได้ว่า พระสงฆ์ เกจิหลายรูปได้บำเพ็ญเพียรจนบางรูปได้กลับคืนจิตเดิมแท้ หรือ จิตของพุทธะ ไร้รูปลักษณ์ มีแต่เมตตาเท่านั้น สว่างไม่เคยดับนับกว่า ๖๐,๐๐๐ กว่าปี แล้วของการเกิดมาเป็นเวไนย
ทำไมคนมีอายุ หรือ คนเก่าๆ เคยมีพูดว่า กลับบ้านเก่า ท่านรู้ไหม หมายถึงอะไร
ยุคนี้เป็นธรรมยุคขาว ยุคพระศรีอริยะฯ เกิดมหันตภัยมากมายบนโลกนี้ ใกล้ดับ เพราะต้องการชำระล้าง จิตญาณ บนโลกใบนี้ ขณะนี้ มีทั้งเวไนยที่บำเพ็ญ และเวไนยที่ลุ่มหลง มหันตภัยจะแยกกลุ่มออก หากท่านทั้งหลายยังจะไม่นอกกรอบอยู่ จะเป็นการยากที่จะศึกษาพระธรรมให้รู้แจ้งได้
พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงให้ยึดถือตำรา คัมภีร์ แต่ทรงให้ยึดถือธรรมะที่แท้จริงในตัวท่านจริงหรือไม่จริง แล้วแต่บุญวาสนาของท่านทั้งหลาย ผมไม่อาจจะบอกได้ว่าสิ่งที่ผมได้สัมผัสเป็นอย่างไร ความทุกข์อย่างสุดประมาณ ให้พบทางสว่างได้ไม่นาน ในโลกนี้จะเกิดมหันตภัย แยกคนบุญ คนบาป ขอให้พวกท่านรีบบำเพ็ญเพียร ตามแต่วาสนาเถิด โลกใบนี้ดับสูญมาแล้ว ๓ รอบ ...
เรียนความเห็นที่ 4 ครับ
ถูกต้องครับที่ว่า ไม่ใช่ให้เชื่อตำราทันที แต่ที่สำคัญ คือ จะต้องพิจารณาเหตุผลของธรรมในเรื่องนั้นๆ อย่างถูกต้อง และ ละเอียดรอบคอบ ก็จะไม่ขัดกัน ไม่เช่นนั้นก็จะสำคัญ คำว่า นิพพานเป็นอีกแบบ เป็นจิตเดิมแท้ เพราะ ในความเป็นจริง ทั้งนิพพาน และ จิต ต่างเป็นสภาพธรรม คนละอย่าง ไม่มีใคร ไป และ เคยอยู่ใน นิพพาน เพราะพระนิพพานเป็นสภาพธรรม ที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ ไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมอะไรเลย เพราะฉะนั้น จึงไม่มี จิตเดิมแท้ อยู่ในนิพพาน
ส่วน จิต เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่พระนิพพาน ดังนั้น การศึกษาธรรมโดยละเอียดรอบคอบ ย่อมไม่ขัดกัน เพราะ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ที่กุสินารา ก็ไม่ไปอยู่ในนิพพาน ไม่ไปอยู่ในจิตเดิมแท้ เพราะ ไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมอะไรเลย เป็นการนิพพานโดยสิ้นเชิง ครับ แต่หากกลับไปอยู่ ในจิตเดิมแท้ ก็ชื่อว่ามีการเกิดขึ้นของสภาพธรรม ก็เรียกว่า ยังไม่ใช่พระนิพพาน ครับ ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดในประเด็นนี้ได้ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"บัณฑิตควรรู้ในสิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นสาระ"
"เจ้ากรรมนายเวรก็ไม่มี ไม่มีใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันเลย มีแต่กรรมของบุคคลใดก็เป็นของบุคคลนั้น"
"สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ุ มีกรรมเป็นกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม ก็ต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น"
ไม่มีใครรับกรรมแทนกันได้เลยครับ
"กรรมยุติธรรมเสมอ"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิมและทุกๆ ท่านครับ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนา อ.ผเดิม ครับ
ขอให้คุณ iHutch ค่อยๆ ศึกษาตามที่ อ.ผเดิมแนะนำนะครับ
คำสอนที่ถูกต้องของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องตรงกับในพระไตรปิฎกครับ ซึ่งก็ไม่พ้นจากสภาพความเป็นจริงที่เป็นสัจจธรรมครับ แม้เราจะมีความเคารพนับถือในคำสอนของครูบาอาจารย์ท่านไหนๆ แต่คำสอนที่ไม่ถูกต้องไม่ตรงตามพุทธพจน์ก็ย่อมไม่ถูกต้องไม่ว่าใครเป็นคนกล่าว
เราได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องจากกัลยาณมิตรที่มีปัญญา เราก็ไม่ควรละทิ้งโอกาสนะครับ เพราะไม่มีอะไรจะมีค่าเท่ากับปัญญาความเห็นถูก เมื่อศึกษาแล้ว ถ้าพบว่าความเชื่อเก่าๆ ที่เราเคยเชื่อนั้นไม่ถูกต้อง ก็ต้องกล้าที่จะละทิ้งความเชื่อนั้นครับ เพราะความเห็นผิดแม้เล็กน้อยก็เป็นโทษ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บุคคลผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ตัณหา (โลภะ) และ อวิชชา (ความไม่รู้) จึงต้องมีการเกิดการตายอยู่ร่ำไป สังสารวัฏฏ์ดำเนินไปอย่างไม่จบสิ้น และกว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบันนี้ นั้น ในชาติที่ผ่านๆ มาก็เคยเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เคยเป็นมาแล้วทุกอย่าง ทั้งคนมั่งมี ยากจน คนตกทุกข์ได้ยาก เป็นพระราชา พระมหากษัตริย์ เป็นต้น เพราะสังสารวัฏฏ์ยาวนาน หาที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ และเมื่อยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหมดอย่างเด็ดขาด ขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ที่จุติจิตเกิดขึ้นเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้แล้วดับไป ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันที เกิดทันทีในภพใหม่ชาติใหม่ เป็นบุคคลใหม่ ในชาติใหม่ มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) เกิดขึ้นเป็นไป สืบเนื่องต่อไป เป็นสังสารวัฏฏ์ ที่ยืดยาวต่อไปอีก
ขณะนี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ประโยชน์ที่ควรได้ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ คืออะไร?
ไม่ใช่อยู่ที่ การได้รู้ว่า ชาติก่อนเกิดเป็นอะไร และ ชาติหน้าจะเกิดเป็นอะไร แต่อยู่ที่ การได้สะสมความดี และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ
จึงควรที่จะได้ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าการอบรมเจริญปัญญาเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ดับกิเลส ดับทุกข์ ไม่มีการเกิดการตายอีกเลย
ดังนั้น ถ้าเป็นผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรม คำสอน ในทางพระพุทธศาสนาด้วยความละเอียด รอบคอบ ก็จะทำให้มีความเข้าใจเจริญขึ้นไปตามลำดับ และประการที่สำคัญ พระธรรม ไม่ใช่เป็นเรื่องที่คิดเอาเอง แต่เป็นเรื่องที่ควรศึกษาให้เข้าใจ ตามความเป็นจริง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ไม่มีใครรู้นอกจากพระพุทธเจ้า และที่สำคัญคือไม่เป็นประโยชน์เลยกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เราเป็นคนดีศึกษาธรรมะ อบรมปัญญาสำคัญกว่า ค่ะ
ครับผม งั้นก็ต้องแล้วแต่ บุญวาสนาของการเข้าถึงพระธรรม แล้วละครับ ต่อไปนี้ จริง ปลอมจะแยกไม่ออก กิเลสมาร แยบยล ไม่มีใครรู้ว่าพระธรรมไหนถูก หรือผิดโดยชัดเจน
แต่ที่ผมต้องการจะบอกท่านทั้งหลาย ว่าหากเราเปิดใจศึกษาพระธรรมนอกจากพระ ไตรฯแล้ว มาวิเคราะห์รวมๆ กัน จะมีความเข้าใจมากขึ้น ไม่ใช่โดนตีกรอบอยู่เพียงอย่างเดียว หากพระไตรฯ นี้มีการแก้ไข หรือ แปลความหมายที่ผิดเพี้ยนมา จากประสบการณ์ ทั้งเจ้ากรรมนายเวร วิบากกรรมที่ผมได้เจอมากับตัวเอง แทบเอาชีวิตไม่รอด ได้สอนให้ผมรู้ และเข้าใจบางอย่าง ผู้ใดไม่เจอทุกข์ ผู้นั้น ไม่เห็นธรรม หากท่านทั้งหลายไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ก็ขอให้บำเพ็ญเร่งรีบ ปฎิบัติให้เร็ว ก่อนที่จะสายไป
ยุคนี้เป็นธรรมยุคสุดท้ายแล้ว ตอนนี้เราพิสูจน์กันไม่ได้หรอกครับว่าอะไรจริง อะไรปลอม จนถึงร่างกายสิ้นสุด เมื่อใดที่จิตญาณออกจากร่างเมื่อนั้นท่านทั้งหลายจะเข้าใจบางอย่าง ไม่ใช่การถอดจิตนะครับ แต่เป็นการออก โดยเชิงบังคับของกายสังขาร ที่จะไม่ไหวแล้ว จิตไม่มีวันตาย จิตคือตัวจริงของท่านทั้งหลาย จริงๆ แล้วธรรมมะก็คือ จิตดวงนี้ที่พระพุทธองค์ท่านสื่อถึง เรียกว่าพุทธจิตธรรมญาณ จริงๆ แล้วมันยังมีเรื่องลึกไปกว่านี้อีก แต่ผมนำมาแค่นี้ ก็ไม่มีใครได้เข้าใจ ผมไม่ได้จะค้นหาสิ่งที่ผ่านมา เพียงแต่มันเป็นทางที่ถูกต้อง ตามพระพุทธองค์ได้แต่ดูเหมือนมันเป็น เรื่องเพ้อเจ้อไปเสียแล้ว พระพุทธองค์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมีจริง เจ้ากรรมนายเวรมีจริง บาปบุญ นรกมีจริง หมู่มารมีจริง งั้นก็ขอให้เป็นไปตามบุญวาสนา แล้วขอให้ท่านทั้งหลายศึกษาพระธรรม เข้าถึงอย่างแท้จริง
ขออนุโมทนา
เรียนความเห็นที่ 15 ครับ
ขออนุญาตร่วมสนทนาธรรมต่อ นะครับ เพราะประโยชน์ คือ เป็นไป เพื่อความเห็นถูก ปัญญาถูก และ ละคลายกิเลส ซึ่งก็พิจารณากันด้วยเหตุผลในพระธรรม ที่ไม่ใช่ความรู้สึกนะครับ ดังเช่น พระเถระรูปหนึ่ง จะสนทนากับพระราชาก็กล่าวว่า ให้พิจารณากันที่เหตุผล สิ่งใดเป็นเหตุเป็นผล ก็ยอมรับในสิ่งนั้น ก็ควรสนทนากัน ซึ่งมีพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง และ พิจารณาเหตุผลว่าต่างกันหรือไม่ ขัดแย้งกันหรือไม่ เพราะ ประโยชน์คือ ความเข้าใจถูกของตนเองครับ
จากประเด็นที่ผู้ร่วมสนทนากล่าวไว้ในความเห็นที่ 15 ที่กล่าวว่า
จิตไม่มีวันตาย จิต คือตัวจริงของท่านทั้งหลาย จริงๆ แล้วธรรมมะก็คือ จิตดวงนี้ที่พระพุทธองค์ท่านสื่อถึง เรียกว่าพุทธจิตธรรมญาณ จริงๆ แล้วมันยังมีเรื่องลึกไปกว่านี้อีก แต่ผมนำมาแค่นี้ก็ไม่มีใครได้เข้าใจ ผมไม่ได้จะค้นหาสิ่งที่ผ่านมา เพียงแต่มันเป็นทางที่ถูกต้องตามพระพุทธองค์ได้
จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่จิตเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่เที่ยงเลย เพราะฉะนั้น จิตจึงเกิดและดับ คือเกิดและตายทุกขณะ หากสำคัญว่า จิตไม่ตายก็เป็นความเห็นผิดที่เป็นสัสสตทิฏฐิ สำคัญว่าจิตเที่ยง แต่สภาพธรรมที่เที่ยงไม่เกิดดับ คือพระนิพพาน เท่านั้น ครับ ไม่ใช่จิต ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงครับว่า ที่สภาพธรรม บางอย่างเกิดดับที่เรียกว่า สังขารธรรม เพราะ มีสภาพธรรมอื่นๆ มาปรุงแต่งประกอบกัน จึงเกิดขึ้นและเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ก็ต้องเสื่อมและดับไป
ส่วน สภาพธรรมที่ไม่เกิดดับ ก็เพราะ ไม่มีสภาพธรรมอื่นๆ มาทำให้เกิด จึงไม่เกิดขึ้น เมื่อไม่เกิดขึ้น ก็ไม่ดับไป ที่เรียกว่า วิสังขารธรรม สภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ซึ่ง สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง เกิดขึ้นและดับไป ก็คือจิต เจตสิก รูป ส่วนสภาพธรรมที่ไม่เกิดขึ้นและไม่ดับไป ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ พระนิพพาน
ซึ่งถ้าสำคัญว่าจิตไม่ตาย ยั่งยืน ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็แสดงว่า จิตนั้นเที่ยง ยั่งยืน ก็เป็นความเห็นผิด ประเภทหนึ่ง คือ สัสสตทิฏฐิ ที่เห็นว่า จิตนั้น มั่นคงยั่งยืน และที่สำคัญ หากมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ในเรื่องจิต ก็จะรู้ว่า จิตก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ขณะนี้ใครเห็น ถ้ากล่าวว่าเรา ก็สำคัญผิดด้วยความเห็นผิด แต่ในความเป็นจริง คือ จิตเห็น ถ้ากล่าวว่าจิตไม่เกิด ไม่ดับ ลองพิจารณาโดยเหตุผล โดยไม่เกี่ยวกับตำรานะครับ ในชีวิตประจำวัน ขณะนี้ เห็น ได้ยิน ความจริงเป็นจิตที่เห็น จิตที่ได้ยิน ขณะนี้เห็นมีได้อย่างไร เพราะ เห็นเป็นจิตประเภทหนึ่ง ไม่ใช่เราที่เห็น แสดงว่า เมื่อมีการเห็น ก็ต้องมีการเกิดขึ้นของ การเห็น ถ้าไม่เกิด การเห็นจะมีไม่ได้ อันนี้เข้าใจโดยเหตุผลได้
เพราะฉะนั้น เห็น จึงมีการเกิดขึ้น ซึ่งเป็นจิตเห็น จึงเกิดขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จิตเห็นจะต้องดับไป หรือ เรียกว่า ตายไป เพราะ ถ้าจิตเห็นไม่ได้ดับไป ก็ไม่สามารถที่จะได้ยินเสียงได้ เพราะยังเห็นอยู่ ไม่ได้ดับไป จิตอื่นๆ ก็เกิตต่อ นี่แสดงให้เห็นว่า จิตเกิดขึ้น และจิตนั้นก็ดับไปด้วย ครับ คือ เกิดและตายไป จึงจะเกิดจิตดวงต่อไปได้
นี่ก็สามารถพิจารณาเหตุผล โดยไม่ใช้ตำราก็ได้ ครับ ถ้ามีแต่จิตเห็น ไม่ได้ดับเลย ไม่ได้ตายไปเลย ก็จะต้องไม่มีการได้ยินด้วย ไม่มีการคิดนึกด้วย เพราะ จิตเห็นไม่ได้ดับ แต่ความจริง จิตจะต้องเกิดขึ้นและดับไป ครับ
สมดังที่ พระพุทธเจ้า ได้แสดง ความเห็นผิดประการหนึ่งของสมณพราหมณ์ ที่เห็นผิดว่า จิตเที่ยง ยั่งยืน ดังข้อความต่อไปนี้ ครับ
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 28
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะ หรือ พราหมณ์บางพวก ในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักตรอง กล่าวแสดงปฏิภาณของตน ตามที่ตรึกได้ ตามที่ตรองได้อย่างนี้ว่า สิ่งที่เรียกว่า ตา ก็ดี หู ก็ดี จมูก ก็ดี ลิ้น ก็ดี กาย ก็ดี นี้ ชื่อว่าอัตตา เป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา. ส่วนสิ่งที่เรียกว่า จิต หรือ ใจ หรือ วิญญาณ นี้ชื่อว่าอัตตา เป็นของเที่ยง ยั่งยืน คงทน มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปอย่างนั้นทีเดียว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๔ ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว จึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลก ว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง.
ประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม คือ การพิจารณาเหตุผล ว่าเป็นเหตุเป็นผลหรือไม่ครับ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก เพราะ ปัญญาไม่ใช่เรื่องความรู้สึก แต่เป็นเรื่องที่ตรงตามความเป็นจริง เป็นเหตุ เป็นผลกัน ไม่ขัดกัน การพิจารณาด้วยเหตุผล ประโยชน์ที่ได้สูงสุด คือ ความเข้าใจถูกเป็นสำคัญ
ขออนุโมนทาที่ร่วมสนทนากัน ครับ
ไม่ใช่ว่าไม่ถูกใจ ถึงแย้ง ท่านต้องแยกให้ถูก ระหว่าง ตัวหนังสือ กับ ธรรมะ พระพุทธองค์ทรงหวังให้ ท่านทั้งหลายเข้าใจ ธรรมะ ที่ถ่องแท้
ถูกที่พระไตรฯ คือบทบรรญัติที่พระพุทธองค์ ท่านให้ไว้เป็นสรณะ แต่สิ่งที่สำคัญควบคู่กันไป ในการปฎิบัติธรรม ไม่ใช่แค่พระไตรฯ แต่เป็นธรรมะ ที่อยู่ในจิตของท่านเอง
ผมจบแค่ ปวช. แต่สิ่งที่ได้มาชีวิตตายไปแล้ว ๑ รอบ
ไม่ได้จะแย้งท่านทั้งหลาย แต่อยากให้ท่านทั้งหลาย เปิดปัญญาให้กว้างออกไป ไม่ได้จะให้ละทิ้งพระไตรฯ ยังคงยึดเป็นสรณะ ที่พึ่งปฏิบัติ แต่ต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาด้วย เป็นปัญญาแห่งธรรมที่อยู่ในท่าน ประกอบกัน ... แต่หากว่าถูกต้องแล้ว ให้ดำเนินต่อไปอย่าหยุด ก็หวังว่าท่านทั้งหลายจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง และมหันตภัยอันใกล้นี้
กราบอนุโมทนาครับ
เรียนในประเด็นความเห็นที่ 18 ครับ
ขอร่วมสนทนานะครับ เพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจถูก
ขออธิบายประเด็นในแต่ละเรื่องนะครับ
ประเด็นที่กล่าวว่า
พระไตรฯ คือ คัมภีร์ ที่พระพุทธองค์ท่านได้ตรัสไว้ให้ เป็นแนวทางปฏิบัติ (แนวทางปฏิบัติ) พระพุทธองค์ ในยุคนี้ธรรมเปลี่ยนไป จะเห็นว่าไม่บริสุทธิ์เหมือนก่อน ทั้งการสร้างวัดวาอาราม ให้ยิ่งใหญ่ ผลิตวัตถุโบราณมากมาย กฐิน ผ้าป่า ไม่ใช่เนื้อแท้ จัดงานรื่นเริง เปลือกเยอะกว่าเนื้อ จนแค่คำว่า กฐิน คนสมัยนี้ยังไม่เข้าใจเลย ว่าหมายถึงอะไร?? อย่างที่ท่านพุทธทาสท่านได้ พูดไว้
สำหรับที่ปัจจุบัน มีความเสื่อมของตัวบุคคล นั่นก็เป็นเพราะ แต่ละบุคคล ไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธศาสนาเอง ซึ่งเป็นเรื่องแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้น ก็ไม่สามารถจะเอาความเสื่อมแต่ละบุคคล ไปรวมว่า พระไตรปิฎกไม่จริง เสื่อมได้ ครับ
เพราะฉะนั้น ศาสนาเสื่อม เสื่อมที่ไหน เสื่อมที่ใจของแต่ละบุคคล ที่ไม่เข้าใจธรรม แม้จะได้อ่าน ศึกษาพระธรรม แต่ก็เข้าใจผิดได้ ครับ
ส่วนประเด็นต่อไป ว่า
งั้นต่อไป หากในพระไตรฯ ได้มีการถูกเปลี่ยนให้ฆ่ามนุษย์ ที่บาปหนาได้นี่ เราต้องฆ่าได้ไม่ผิดใช่ไหม
จากความเห็นที่กล่าวมาในข้างต้น หลายๆ ความเห็น กล่าวไว้แล้วครับว่า พระไตรปิฎก อ่านแล้วก็พิจารณา ตามเหตุและผลว่าจริงหรือไม่ ดังนั้น ผู้ที่เคารพพระธรรม จะต้องเป็นผู้ที่พิจารณาข้อความ หรือ แม้สิ่งที่ได้ฟังมา โดยไม่เชื่อทันที และ ไม่ปฏิเสธทันที แต่พิจารณาว่าเป็นเหตุ เป็นผลหรือไม่ เป็นสำคัญ ครับ
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ เป็นประโยชน์มาก ครับ
ยิ่งได้ฟังข้อความในพระไตรปิฎกมากขึ้นๆ ยิ่งอัศจรรย์ในใจมาก
มีชาวพุทธบางส่วนมักกล่าวว่าพระไตรปิฎกไม่ใช่พุทธพจน์ 100%
ส่วนประเด็นเรื่องกฐิน หากศึกษาพระธรรมตามพระพุทธเจ้าทรงแสดงก็จะเข้าใจถูก ครับ
ส่วนคนอื่นที่เข้าใจผิด ก็เป็นเรื่องความเข้าใจผิดของคนอื่น ไม่สามารถที่จะเอาไปรวมว่า พระไตรปิฎกไม่ถูกต้องไม่ได้ ครับ เพราะเป็นความเข้าใจผิดส่วนตัว ครับ
เชิญคลิกอ่านเรื่องเกี่ยวกับกฐินนะครับมีประโยชน์มากๆ
กฐิน ในพระพุทธศาสนา [ตอนที่ ๑]
กฐิน ในพระพุทธศาสนา [ตอนที่ ๒]
กฐิน ในพระพุทธศาสนา [ตอนที่ ๓]
กฐิน ในพระพุทธศาสนา [ตอนที่ ๔]
ที่สำคัญ ความสงสัยจะหมดไป ไม่ได้เลย ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่า พระไตรปิฎก มีจริงหรือไม่ ครบถ้วนหรือไม่ หากผู้นั้นไม่ได้ศึกษาพระธรรม ด้วยตนเองเสียก่อน เมื่อไม่ศึกษา ก็ย่อมสงสัยเป็นธรรมดา แต่หากได้ศึกษาพระธรรมแล้ว เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ย่อมเห็นตามความเป็นจริงว่า พระธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นจริงอย่างไร และ ละคลายความสงสัยในพระธรรม เพราะได้ศึกษาพระธรรมและปัญญาเกิดแล้วนั่นเอง ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
งั้นผมคงไม่มีอะไรจะกล่าวอีกแล้วละครับ ทุกอย่างให้เป็นไปตามบุญวาสนา
คือมีหลายคนที่คิดแบบสัสสตทิฏฐิ เอาง่ายๆ ว่า เกือบทุกคน ล้วนเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดครับ เพื่อนผมยังถามเลย พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา แต่ทำไมท่านดีกว่าเรา ทำให้เราได้เข้าใจเลยว่า บางทีคนเรามีทิฏฐิฝังแน่นมายาวนานจริงๆ ธรรมะอ่านแป๊ปเดียวก็รู้เรื่อง แต่จะเข้าใจธรรมะจริงๆ ได้ ต้องใช้ปัญญาครับ ความเชื่อ ความเห็น ไม่ได้ช่วยอะไรครับ
อนุโมทนาครับ คุณ paderm บอกได้ดีมากครับ
เป็นโอกาสที่ดีมากครับที่เข้ามาที่ เว็บ นี้ เพราะเมื่อหลายปีก่อน ก็พยายามอ่านพระไตรปิฎกเอง แต่เข้าใจยากมากครับ บังเอิญได้ฟังพระธรรม ที่อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้บรรยาย และออกอากาศที่วิทยุ เอ เอ็ม ๙๔๕ ช่วง เที่ยงครึ่ง หลังจากนั้นก็ฟังมาโดยตลอดหลายปีแล้วครับ และก็ไปอ่านพระไตรปิฎกเพื่อเทียบเคียง จะทำให้เข้าใจดีขื้นครับ แนะนำให้ฟังพระธรรมให้เข้าใจก่อนครับ ค่อยๆ เข้าใจไป พระธรรมละเอียดและยากมาก
ขออนุโมทนาครับ
การระวัง เป็นสิ่งที่ดี ...
ตราบเท่าที่ รับฟังแล้ว ตรวจสอบ.
แต่การระวัง จะกลายเป็นการระแวง ...
เมื่อรับฟัง เพื่อแย้งอย่างเดียว ครับ.
ขอความสุข จงมีกับทุกท่าน.