ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๑ โคลอมโบ-โปโลนนารูวา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
(ภาพโรงแรม ซินนาม่อนเลค ที่โคลอมโบ วันแรก ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๓)
.........ไปแสวงหาอะไรที่ศรีลังกา (๒๓-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓) ........
กระทู้นี้เป็นครั้งแรกของข้าพเจ้าที่ถูกเขียนและส่งเข้าเวปสดๆ จากประเทศศรีลังกา ทั้งนี้ ก็ด้วยคำปรารภของท่านอาจารย์ ที่มีเมตตาระลึกถึงหลายๆ ท่าน ที่ไม่มีโอกาสได้มาเยือนประเทศศรีลังกาพร้อมท่านในคราวนี้
ขณะนี้ เป็นเวลาประมาณห้าทุ่ม ตามเวลาในประเทศศรีลังกา หลังจากที่ เมื่อคืนที่ผ่านมาคณะของเราเดินทางจากสุวรรณภูมิ ถึง ศรีลังกาและเข้าพักที่โรงแรมซินนาม่อนเลค ริมทะเลสาบเล็กๆ กลางกรุงโคลอมโบ หลังอาหารเช้าจึงได้เดินทางสู่เมืองฮาบารานา ซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศและเข้าพักที่โรงแรม ชายาวิลเลจ ซึ่งเราจะพักที่นี่เป็นเวลาสองคืน
เราเดินทางจากกรุงโคลอมโบถึงเมืองฮาบารานา โดยรถบัสจำนวนสี่คัน ผู้โดยสารรวม ๑๓๐ คน ใช้เวลาเดินทางราวๆ สี่ชั่วโมงครึ่ง เนื่องจากเส้นทางแคบและมีรถรามากตลอดเส้นทาง แต่ก็เป็นถนนที่มีสภาพดีและดูสะอาดเรียบร้อยกว่าที่อินเดียครับ
อนึ่ง สำหรับสาเหตุที่ข้าพเจ้าได้ตั้งชื่อกระทู้นี้ว่า " ไปแสวงหาอะไรที่ศรีลังกา" นั้น ก็ด้วยเหตุที่ว่า คุณลุงนิภัทร ได้ให้การบ้านกับทุกๆ คน เลียนคำที่ท่านเคยได้ยินท่านอาจารย์กล่าวไว้ในทำนองที่ชวนคิดว่า มาศรีลังกาเพื่อหาอะไร?
(ปล.ข้าพเจ้าได้แก้ไขชื่อกระทู้นี้จาก ไปแสงหาอะไรที่ศรีลังกา เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ในภายหลัง เพื่อให้เป็นหัวข้อเดียวกัน ง่ายต่อการค้นหา นะครับ)
(พระพุทธรูปแกะสลักที่หน้าผาหินแกรนิต ภายในบริเวณเมืองหลวงเก่าโปโลนนารูวา)
ข้าพเจ้าจึงหวังว่า ทุกท่านที่จะได้ติดตามอ่านและชมภาพต่อๆ ไปนี้ จะได้มีเหตุแลปัจจัยให้ได้คิดพิจารณาในธรรมทั้งหลาย ตามควรแก่กาลสมัยของตนๆ นะครับ
"...เมื่อรู้ว่า สิ่งที่เพลิดเพลินยินดีทั้งหลายในชีวิตนั้น ไม่เที่ยง เมื่อเห็นว่า ชีวิตมนุษย์ สั้นเพียงไรแล้ว ก็จะพากเพียร ที่จะไม่ติดข้อง..ในสิ่งที่น่าพึงพอใจในชีวิต จนเกินไปนัก ความรู้เช่นนี้ จะทำให้มีจิตเมตตากรุณา พร้อมที่จะบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น มากขึ้น จะลดความเห็นแก่ตัวลง..."
(ภาพบริเวณพระราชวังในเมืองโปโลนนารูวา)
วันนี้ คณะของเราได้ไปเยี่ยมชมเมืองที่เคยเป็นราชธานีแห่งที่สองของศรีลังกา เมื่อราวพันกว่าปีมาแล้ว คือเมือง โปโลนนารูวา ปัจจุบันเป็นเมืองมรดกโลก
ข้าพเจ้าใคร่ขอนำข้อความที่ท่านอาจารย์ได้กรุณาเล่าเรื่องของท่านให้สหายธรรมกลุ่มเล็กๆ ฟังว่า ท่านเคยพยามยามเอาดินและทรายเล็กๆ ที่ติดอยู่ในซอกพื้นรองเท้าที่ท่านสวมอยู่ออกด้วยตัวของท่านเองแต่ก็หาวิธีไม่ได้ ท่านคิดว่า หากท่านให้แม่บ้านทำแล้วท่านคงต้องตำหนิเขาไปแล้วเป็นแน่ หากเขาทำให้ไม่ได้ พอดีว่าพี่สาวที่แสนดีของท่านเห็นเข้า จึงแนะนำให้ท่านใช้ไม้จิ้มฟันแคะเอาเศษดิน และกรวดเล็กๆ เหล่านั้นออก เมื่อท่านทำตามก็ได้พบว่าปลายแหลมๆ ของไม้จิ้มฟัน อันเล็กๆ นั้น สามารถแคะออกได้โดยง่าย ท่านเปรียบเทียบให้ฟังว่า ไม้จิ้มฟันอันนั้น เปรียบเสมือน ปัญญา นั่นเอง ทุกท่านฟังเรื่องเล่าของท่านอาจารย์แล้ว คิดนึกอย่างไรกันบ้างครับ?
ตามที่ทุกท่านทราบกันดีว่า ศรีลังกาเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองในทางพระศาสนามาอย่างยาวนาน ท่านที่สนใจ สามารถหาอ่านได้จากกระทู้ ที่มีคุณ paderm และ พี่แดง (kanchana.c) ได้กรุณาเขียนและเล่าไว้อย่างละเอียดแล้วนะครับ
(ภาพบริเวณพุทธศาสนสถาน ที่เคยเป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วในอดีต) การได้มาเยี่ยมชม ได้เห็นความกว้างใหญ่ของสถานที่ ได้เห็นสิ่งก่อสร้าง ทั้งในส่วนของพระราชวัง และในส่วนที่เป็นศาสนสถานทางพระพุทธศาสนา ทำให้ได้ระลึกถึง ความศรัทธาของคนในอดีต ความรุ่งเรือง ความแตกทำลายการเห็นในสิ่งเดียวกัน แต่คิดต่างๆ กันไป ตามการสะสมของแต่ละบุคคล
"...ชีวิต คือ อนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไม่เที่ยง เกิดมาแล้วก็ตายจากโลกนี้ไป ชีวิตแล้วชีวิตเล่า ไม่ว่าจะเป็น สัตว์ดิรัจฉาน คน หรือภพภูมิอื่นๆ ก็ตาม วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์อันยาวนานนี้ ไม่รู้อีกเท่าไร?
ดังนั้น หากเราไม่เริ่มศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เราก็จะไม่มีวันรู้ความจริงของชีวิต ก็ตายไปด้วยความไม่รู้ สะสมความไม่รู้ อีกชาติแล้วชาติเล่า ไม่รู้ว่า จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้ฟังธรรมอีกหรือไม่?..."
"...จงเริ่มพยายามขวนขวายในพระพุทธศาสนา จงกำจัดเสนาของมัจจุมาร เหมือนกุญชรช้างประเสริฐ ย่ำยีเรือนไม้อ้อ ฉะนั้น ผู้ใดไม่ประมาท เห็นแจ้งในพระธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจักละชาติสงสาร จักทำที่สุดทุกข์ได้..."
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
.....
ขอเชิญคลิกชมตอนต่อไป ได้ที่นี่ครับ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่พระมหาเจดีย์รุวันเวลิเสยะ ประเทศศรีลังกา
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๒ มหินตาเล-อนุราธปุระ
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๓ สิกิริยา-ถ้ำดัมบูลลา-พระเขี้ยวแก้ว
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๔ สวนพฤกษ์ศาสตร์ เพลาดินียา-เมืองนูวาราเอลิย่า
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๕ (จบ) วัดสำคัญๆ ในกรุงโคลอมโบ
กำหนดการเดินทางไปประเทศศรีลังกา
รวดเร็วมากคะ... ถึงไม่ได้ไปเสมือนไปด้วย...จะติดตามอ่าน "ไปแสวงหาอะไรที่ศรีลังกา"คะ...
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
มีแง่คิดมากๆ เลยจากกระทู้นี้
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ได้ไปส่งภรรยาที่ร่วมเดินทางไปด้วยก็มีความสุขแล้วและได้เห็นท่านอาจารย์มีสีหน้าที่มีความสุขกระผมก็มีความสุขยิ่งขึ้น เมื่อกลับมาคิดว่าถ้าได้ดูภาพที่ชาวคณะไปที่ศรีลังกาเลย ก็จะดี และก็สมดังความตั้งใจ
กราบอนุโมทนากุศลจิตท่านอาจารย์และท่านที่นำภาพและบรรยายให้ได้รับรู้ครับ
ขอกราบอนุโมทนาค่ะท่าอาจารย์ และผู้ร่วมเดินทางทุกท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลเจตนา และความเมตตาของ คุณวันชัย๒๕๐๔ ค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบคุณที่ได้เห็นสิ่งที่ปรากฎทางตาทำให้เกิดกุศลจิต และเข้าใจว่าทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วตามการสะสมที่มีโอกาสได้เจริญกุศลเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลยขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ไพเราะ...ลึกซึ้ง...ภาพสวยมากค่ะ
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิต และกุศลเจตนาของคุณวันชัย๒๕๐๔ ค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
กราบอนุโมทนาในเมตตาจิตของท่านอาจารย์ เพื่อให้ลูกศิษย์ที่เมืองไทยได้มีโอกาสร่วมปิติยินดีอนุโมทนาด้วย
อนุโมทนาในวิริยะของคุณวันชัยค่ะ
ขออนุโมทนา และขอบคุณค่ะ ถึงแม้ไม่ได้ไปด้วยกัน ก็ยังเห็นภาพที่ต่างกันได้ อาจจะ ขอยืมภาพมาใส่ในกระทู้ของตัวเองบ้างนะคะ และที่สำคัญได้ฟังธรรมผ่านทางคุณวันชัยด้วยค่ะ
พี่แดง
ขอบพระคุณมากค่ะ คุณวันชัย ๒๕๐๔ และขออนุโมทนาในกุศลของทุกๆ คนค่ะ
ขอขอบคุณและอนุโมทนา ในความเอื้อเฟื้อให้ได้รับทราบทั่วกัน
"...เมื่อรู้ว่า สิ่งที่เพลิดเพลินยินดีทั้งหลายในชีวิตนั้นไม่เที่ยง เมื่อเห็นว่า ชีวิตมนุษย์สั้นเพียงไรแล้ว ก็จะพากเพียร ที่จะไม่ติดข้อง.. ในสิ่งที่น่าพึงพอใจในชีวิตจนเกินไปนัก ความรู้เช่นนี้ จะทำให้มีจิตเมตตากรุณา พร้อมที่จะบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นมากขึ้น จะลดความเห็น แก่ตัวลง..."
....ดังนั้น หากเราไม่เริ่มศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เราก็จะไม่มี วันรู้ความจริงของชีวิต ก็ตายไปด้วยความไม่รู้ สะสมความไม่รู้ อีก ชาติแล้วชาติเล่า ไม่รู้ว่า จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้ฟังธรรมอีกหรือไม่?..."
ขอบพระคุณคุณวันชัย และขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านค่ะ