ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๒ มหินตาเล-อนุราธปุระ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในวันนี้ คณะของเราเดินทางไปยังเมืองมหินตาเล อันเป็นสถานที่ ที่พระมหินทเถระ พระโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช เสด็จมาเผยแผ่พระพุทธศาสนา แก่พระเจ้าเทวานัมปิยะติสสะ ที่เพิ่งเสวยราชสมบัติ เป็นครั้งแรกที่เขา มหินตาเลในปี พ.ศ. 236
ดังความตอนหนึ่งใน พระวินัย ปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ กล่าวไว้ดังนี้
"...เวลานั้น ท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งทวยเทพ เสด็จเข้าไปหาพระมหินทเถระ แล้วได้ตรัสคำนี้ว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ! พระเจ้ามุฏสีวะ สวรรคตแล้ว, บัดนี้ พระเจ้าเทวานัมปิยดิสมหาราชเสวยราชย์แล้ว, และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงพยากรณ์องค์ท่านไว้แล้วว่า ในอนาคต ภิกษุชื่อมหินท์ จักยังชาวเกาะตัมพปัณณิทวีปให้เสื่อมใส ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ! เพราะเหตุดังนั้นแล เป็นกาลสมควรที่ท่านจะไปยังเกาะอันประเสริฐแล้ว แม้กระผม ก็จักร่วมเป็นเพื่อนท่านด้วย..."
บรรณาการที่ประเสริฐสุด คือ พระรัตนตรัย"...การที่ทุกท่านเกิดมาพบกัน แต่ละชาติ ในสังสารวัฏฏ์บางชาติ ก็อาจจะเป็นมิตรสหาย บางชาติ ก็อาจเป็นศัตรู หรือ บางชาติ ก็อาจจะเป็นมารดา บิดา เป็นญาติพี่น้องแต่ชาติที่ได้เกื้อกูลกัน เป็นมิตรกันในพระธรรมหรือ มีส่วนร่วมกันเผยแพร่พระธรรมชาตินั้นก็ต้องเป็นชาติที่ประเสริฐสุด ในสังสารวัฏฏ์ ยิ่งกว่าชาติอื่นๆ ที่เกิดมาโดยสถานอื่น..."
ความอีกตอนหนึ่งใน พระวินัย ปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ กล่าวว่า
"...พระเถระรับคำของท้าวสักกะนั้นแล้ว เป็น ๗ คนทั้งตน เหาะขึ้นไปสู่เวหาจากเวทิสบรรพต แล้วดำรงอยู่บนมิสสกบรรพต ซึ่งชนทั้งหลายในบัดนี้จำกันได้ว่า เจติยบรรพตบ้าง ทางทิศบูรพาแห่งอนุราชบุรี..."
"...พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงได้กล่าวไว้ว่า พระเถระทั้งหลายพักอยู่ที่เวทิสคิรีบรรพตใกล้กรุงราชคฤห์ สิ้น ๓๐ ราตรีได้ดำริว่า เป็นกาลสมควร ที่จะไปยังเกาะอันประเสริฐ, พวกเราจะพากันไปสู่เกาะอันอุดม ดังนี้ แล้วได้เหาะขึ้นจากชมพูทวีปลอยไปในอากาศดุจพญาหงส์บินไปเหนือท้องฟ้าฉะนั้น, พระเถระทั้งหลายเหาะขึ้นไป แล้วอย่างนั้นก็ลงที่ยอดเขาแล้ว ยืนอยู่บนยอดบรรพต ซึ่งงามไปด้วยเมฆ อันตั้งอยู่ข้างหน้าแห่งบุรีอันประเสริฐราวกะว่า หมู่หงส์จับอยู่บนยอดเขาฉะนั้น..."
ภาพ อัมพัตกลเจดีย์ (เจดีย์บนเนินมะม่วง) เป็นเจดีย์ที่บรรจุอัฐิธาตุของพระมหินทเถระ ผู้นำพาพระศาสนามาเผยแผ่ที่เกาะลังกา จนมีความเจริญรุ่งเรืองจนปัจจุบัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถา ประพันธ์ ดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าทรงทราบบุคคล บางคนในโลกนิ้มีจิตผ่องใส ได้ทรงพยากรณ์เนื้อความนี้แก่ ภิกษุทั้งหลาย ในสำนักของพระองค์ว่า ถ้าในสมัยนี้ บุคคลนี้พึงกระทำกาละไซร้ บุคคลนี้พึงเข้าถึงสุคติเพราะ จิตของเขาผ่องใส เขาเป็นอย่างนั้นเหมือนเชิญมาฉะนั้น เพราะเหตุแห่งจิตผ่องใสแล สัตว์ทั้งหลาย ย่อมไปสู่สุคติ
ภาพนี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำที่พี่แดง (kanchana.c) กล่าวอยู่บ่อยครั้งว่า "...ท่านอาจารย์เปรียบเสมือนคลังแห่งพระธรรม..." ข้าพเจ้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง เหตุเพราะ ได้อยู่ใกล้ๆ ท่านแล้ว นับเป็นบุญยิ่งที่ได้ความเข้าใจในพระธรรมเพิ่มขึ้น ในทุกๆ ขณะ ได้เห็นท่านในสถานที่เช่นนี้ ก่อให้เกิดกุศลจิต ปีติมากมายครับ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถา ประพันธ์ ดังนี้ว่า ภิกษุใดผู้มีมิตรดี มีความยำเกรง ความเคารพ กระทำตามคำของมิตรดีทั้งหลาย มีสติสัมปชัญญะ ภิกษุนั้น พึงบรรลุธรรมอัน เป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวง โดยลำดับ
ภาพยอดเขา ที่ท่านพระมหินทเถระและคณะพระธรรมทูต เหาะจากอินเดียมาลงบนยอดเขานี้เป็น ครั้งแรก
"...กุศลขั้นทานก็ควรเจริญ กุศลขั้นศีลก็ควรเจริญกุศล ขั้นความสงบก็ควรเจริญ คือมีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาต่อบุคคลอื่นระลึกถึงคุณของพระผู้มีพระภาค คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ ระลึกถึงคำสอนที่ทำให้จิตใจพ้นจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ในขณะนั้นก็เป็นกุศลขั้นความสงบเป็นการ อบรมเจริญสมถะในชีวิตประจำวัน..."
พระมหาเสยะเจดีย์สีขาวขนาดใหญ่แห่งนี้ เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุพระนลาฏ (หน้าผาก) ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนาพี่ประสาร คุณผเดิม และสหายธรรมทุกท่าน ที่ได้บริจาคและรวบรวมจัดหา ผ้าห่มรอบพระเจดีย์ ในทุกๆ ที่ ที่เราไป ได้เห็นภาพความศรัทธาและการช่วยกันอย่างแข็งขันของทุกท่าน โดยเฉพาะได้เห็นคุณผเดิมที่ทั้งหอบทั้งอุ้มผ้าสี่ห้าม้วน (หนักมาก) เดินเท้าเปล่าในระยะทางแสนไกลกว่าจะถึงพระเจดีย์
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลศรัทธามาอีกครั้งหนึ่งครับ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 300
[๒๐๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ศรัทธา เป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างประเสริฐ ของคนในโลกนี้ ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว นำความสุขมาให้ ความจริงเท่านั้น เป็นรสที่ดียิ่งกว่ารสทั้งหลาย คนที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า มีชีวิตประเสริฐ.
ตอนบ่าย เราเดินทางไปชม วิหารอิสุรุมุณิยะ วิหารที่เจาะอยู่ในภูเขาหินแกรนิต เป็นสถานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท
ภายในวิหาร มีพระพุทธรูปปางต่างๆ สวยงามมาก เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความศรัทธา ของผู้คนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี
ที่นี่ ท่านอาจารย์และคณะของเรามิได้ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เลย ได้อาศัยร่มเงาไม้ นั่งสนทนาธรรมด้วยความร่าเริง อิ่มเอิบใจ เป็นอย่างยิ่งครับ
ข้าพเจ้าขอนำความตอนหนึ่งที่ท่านสนทนามาให้ทุกท่านได้พิจารณาดังนี้
"...คือความเข้าใจของคนในสมัยนั้น ที่เราว่า ท่านรู้อริยสัจจธรรมได้เร็ว ท่านพระอานนท์นี่ คิดดู ท่านจำพระสูตร.......สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระนครสาวัตถี แล้วท่านก็จำ คำแต่ละคำที่โต้ตอบกัน ท่านจำได้หมด จนกระทั่งเป็นพระสูตร แล้วก็พระอภิธรรม มีเฉพาะพระวินัยเท่านั้น ที่เป็นท่านพระอุบาลี..."
"...ก็แสดงถึงความที่ปัญญาของบุคคลในสมัยโน้น ห่างไกลกันมาก ในระยะสองพันกว่าปี ทีละร้อยปีๆ ประเดี๋ยวก็พันๆ แล้วสองพันกว่าปี แต่ว่าแสดงความต่าง เพราะถ้าเป็นความเข้าใจธรรมะจริงๆ เราสามารถที่จะพูดถึงธรรมะนั้น โดยนัยหลากหลาย บทในภาษาบาลี ท่านไม่ใช้คำว่า "คำ" เพราะ "คำ" นี่เป็นภาษาไทย แต่ข้อความในพระไตรปิฏกกับอรรถกถา เราจะได้ยินคำว่า "บทว่า" หมายความว่า คำนี้ บท คือ คำแต่ละคำๆ บทหนึ่ง ท่านพระอานนท์สามารถที่จะแสดงความวิจิตรได้ถึง หกหมื่นนัย.."
"...แล้วก็เราในสมัยนี้ก็ห่างมาก แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดรอบคอบ มีความเคารพอย่างยิ่ง ที่จะพิจารณาไตร่ตรอง สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ว่าแม้แต่คำว่า "พุทธ" คำเดียว ข้ามไม่ได้เลย เพราะหมายความถึงเฉพาะ "ปัญญา" ไม่ได้หมายอย่างอื่นเลย..."
"...เพราะว่าขณะนี้ ก็กำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ไม่รู้ เพราะไม่ใช่ปัญญา...แล้วข้อสำคัญก็คือว่า ทุกคน เกิดมาไม่นาน ไม่นานจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าแค่ไหนด้วย อาจจะเป็น พรุ่งนี้ เย็นนี้ เมื่อไหร่ก็ได้ แล้วจากไปโดยไม่รู้เหมือนเดิม เหมือนเดิมเลย เหมือนแต่ละชาติ แต่ละชาติ ที่ไม่มีโอกาสได้ฟัง..."
"...กับโอกาสที่ได้ยินได้ฟังแล้ว...เริ่มเข้าใจ...ที่เราใช้คำว่า ปัญญาอบรมเจริญ ก็คือความ "เข้าใจ" นี่แหละ ถ้าไม่มีความเข้าใจ ก็ไม่ใช่ปัญญา แล้วจะเจริญขึ้นได้อย่างไร แล้วพอเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ก็คือ "ปัญญา" ที่อบรมเจริญขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องสติปัฎฐาน สติสัมปชัญญะ หรืออะไรเลย ถ้าไม่มีความเข้าใจ สิ่งนั้นก็เกิดไม่ได้.."
"...แต่ความเข้าใจมากขึ้น มากขึ้นนี้ ใครจะไปยับยั้ง การที่จะไปให้สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมะในขณะนี้ ตรงตามที่ได้ฟัง ต้องตรง ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่เข้าใจก็ "ฟัง" เพื่อรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้...."
จากนั้น เราเดินทางต่อไปยังเจดีย์ถูปาราม ซึ่งเป็นเจดีย์องค์แรกของประทศศรีลังกาครับ
เจดีย์ถูปารามแห่งนี้ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระรากขวัญเบื้องขวา (กระดูกไหปลาร้า) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้
แล้วก็เช่นเคย คุณผเดิมและคณะฯ ก็ได้ร่วมกันห่มผ้ารอบพระเจดีย์ ดูงดงามเด่นตามาก
ขออนุโมทนาครับ
จากถูปาราม เราเดินทางไปนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์ครับ
การมากราบนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์ของคณะเรา ได้รับความเมตตาอย่างยิ่ง จากทางคณะสงฆ์ที่ดูแลต้นพระศรีมหาโพธิ์ ให้ได้เข้ากราบนมัสการถึง โคนต้นชั้นในสุดซึ่งโดยปรกติ ไม่เปิดให้ใครๆ ได้เข้าถึงด้านในนี้บ่อยๆ เนื่องจากว่า ทางประเทศศรีลังกาต้องถนอม รักษาต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่มีอายุยาวนานถึงสองพันกว่าปี กับทั้งยังเป็นกิ่งจากต้นเดิมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ณ พุทธคยา ประเทศอินเดีย นับเป็นต้นเดิมต้นเดียวที่ยังคงยืนต้นอยู่ครับ
จากนี้ คณะของเราได้เดินทางไปยัง พระมหาเจดีย์ รุวันเวลิเสยะ ซึ่งข้าพเจ้าได้เขียนและลงภาพไว้ในอีกกระทู้หนึ่งแล้ว ขอเชิญคลิกอ่านและชมภาพที่นี่ครับ...ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่พระมหาเจดีย์รุวันเวลิเสยะ ประเทศศรีลังกา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
..........
ขอเชิญคลิกชมตอนอื่นๆ ได้ที่นี่ครับ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๑ โคลอมโบ-โปโลนนารูวา
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๓ สิกิริยา-ถ้ำดัมบูลลา-พระเขี้ยวแก้ว
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๔ สวนพฤกษ์ศาสตร์ เพลาดินียา-เมืองนูวาราเอลิย่า
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๕ (จบ) วัดสำคัญๆ ในกรุงโคลอมโบ
กำหนดการเดินทางไปประเทศศรีลังกา
นอกจากจะใจดีแล้ว ยังถ่ายภาพเก่ง สวยงามมาก ขออนุโมทนาค่ะ
ภาพถ่ายสวยงามมากค่ะ คุณวันชัยได้นำข้อความบางตอนในพระวินัยเล่ม1มาให้ได้อ่านซ้ำตอนพระมหินทเถระมาเผยแพร่พุทธศาสนาที่เกาะลังกา ทำให้คิดเรื่องราวต่อยาวเลยค่ะในพระวินัยเล่ม1บอกถึงความเป็นไปของพุทธศาสนาที่หยั่งลงบนเกาะลังกาอ่านแล้วปิติโสมนัสคุณวันชัยยังใจดีนำการสนทนามาให้ได้อ่านอีก วันนี้จึงเข้าใจคำว่า บท คือ คำ แต่ละคำนั่นเอง..โอ้..นึกถึงพระคุณของพระอานนท์ ที่ได้ถ่ายทอดพระธรรมคำสอนมาให้ชนรุ่นหลังได้เข้าใจตามกราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ ที่เมตตาสั่งสอนพวกเราให้ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยตามกำลังปัญญาของแต่ละคนและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยนะคะ
" ... การทีทุกท่านเกิดมาพบกัน แต่ละชาติ ในสังสารวัฏฏ์บางชาติ ก็อาจจะเป็นมิตรสหาย
บางชาติ ก็อาจเป็นศัตรู
หรือ บางชาติ ก็อาจจะเป็นมารดา บิดา เป็นญาติพี่น้อง
แต่ชาติที่ได้เกื้อกูลกัน เป็นมิตรกันในพระธรรมหรือ มีส่วนร่วมกันเผยแพร่พระธรรมชาตินั้นก็ต้องเป็นชาติที่ประเสริฐสุด ในสังสารวัฏฏ์
ยิ่งกว่าชาติอื่นๆ ที่เกิดมาโดยสถาน อื่น ... "
... กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ค่ะ ...
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตคุณวันชัยค่ะ ...
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ ขอให้ท่านมีอายุบวร
และอนุโมทนาคุณวันชัยกับทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แต่ชาติที่ได้เกื้อกูลกัน เป็นมิตรกันในพระธรรมหรือ มีส่วนร่วมกันเผยแพร่พระธรรมชาตินั้นก็ต้องเป็นชาติที่ประเสริฐสุด ในสังสารวัฏฏ์
ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ