ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๔ สวนพฤกษ์ศาสตร์ เพลาดินียา-เมืองนูวาราเอลิย่า
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วันเสาร์ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๓
วันนี้เราจะเดินทางออกจากโรงแรม มหาวารี ริช เมืองแคนดี้ ไปสู่เมือง นูวารา เอลิย่า
หลังรับประทานอาหารเช้า เราเดินทางออกจากโรงแรม ไปยังที่พำนักของสมเด็จพระสังฆราชแห่งศรีลังกา เพื่อรับของที่ระลึกตามคำเชิญของทางศรีลังกา
อิติปิ โส ภควา พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
อรหํ เป็นพระอรหันต์ผู้ไกลจากกิเลส
สมฺมาสมฺพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
สุคโต เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว
โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก
อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ อย่างไม่มีผู้ใดยิ่งกว่า
สตฺถา เทวมนุสสสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พุทฺโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ภควา เป็นผู้จำแนกธรรมอันประเสริฐ
ที่พำนักของสมเด็จพระสังฆราชแห่งศรีลังกา ตั้งอยู่คนละฝั่งตรงข้ามวัดพระเขี้ยวแก้ว โดยมีทะเลสาบคั่นกลาง ในเมืองแคนดี้
จากนี้คณะของเราเดินทางไปชมสวนพฤกษศาสตร์ เพลาดินิยา (Peradeniya Botanical Garden) ซึ่งพระเจ้าวิกรมพาหุที่ ๓ สร้างเป็นอุทยานหลวง เมื่อ พ.ศ.๑๙๑๔ มีพรรณไม้มากกว่า ๔,๐๐๐ ชนิด บนเนื่อที่ ๓๗๕ ไร่
ข้าพเจ้ามาทราบในภายหลัง ว่าที่สวนแห่งนี้ ท่านอาจารย์ได้มีเมตตานั่งสนทนาธรรมกับท่านที่ไม่ได้เดินชมสวน ภายใต้ร่มไม้อีกกลุ่มใหญ่ กราบอนุโมทนาครับ
(ต้นนี้เป็นไม้มีพิษ ใช้ยางอาบลูกดอก และ ปลายลูกธนู)
ภายในสวน มีต้นไม้เก่าแก่ หายากหลากชนิด หลายๆ ต้น มีขนาดสูงและใหญ่โตมาก การได้มาที่ศรีลังกา จะพบได้สิ่งหนึ่งที่มีอยู่ทั่วไปคือ ต้นไม้ใหญ่อายุมาก ดูเก่าแก่ ไม่เฉพาะในสวนแห่งนี้เท่านั้น แต่มีให้เห็นได้ในทุกๆ ที่เลยครับ
นี่เป็นต้นสาละ (ลูกปืนใหญ่) เก่าแก่ต้นหนึ่ง ที่กำลังออกดอกเต็มโคนต้น บานสะพรั่งสวยงามมากครับ
(อนึ่ง ควรทราบว่า ต้นสาละตามพุทธประวัติจริงๆ เป็นต้นไม้ตามกระทู้นี้ครับ ต้นสาละออกดอก)
เมื่อได้เห็นความงดงามของดอกสาละในอุทยานนี้ ทำให้คิดถึงพระพุทธดำรัสของพระพุทธองค์ ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา ความว่า...
".........ดูก่อน อานนท์ ไม้สาละทั้งคู่ เผล็ดดอกบานสะพรั่งนอกฤดูกาล ร่วงหล่นโปรยปรายยังพระสรีระของพระ ตถาคตเพื่อบูชาพระตถาคต.แม้ดอกมณฑารพอันเป็นของทิพย์ แม้จุณแห่งจันทน์ อันเป็นของทิพย์...แม้ดนตรีอ้นเป็นทิพย์เล่า...แม้สังคีตอันเป็นทิพย์ ย่อมเป็นไปในอากาศ เพื่อบูชาพระตถาคต
ดูก่อนอานนท์ พระตถาคตจะชื่อว่า อันบริษัทสักการะ เคารพ นับถือ บูชานอบน้อมด้วยเครื่องสักการะประมาณเท่า นี้หามิได้ ผู้ใดแลจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกาก็ตาม เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรมอยู่ผู้นั้นย่อมชื่อว่า สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ด้วยการบูชาอย่างยิ่ง เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ พวกเธอพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรมอยู่..."
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ หน้าที่ 306-307
(ภาพพระพุทธรูปปางปรินิพพาน ที่เมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย)
ภายหลังอาหารกลางวัน เราเดินทางต่อไปยัง เมืองนูวารา เอลิย่า ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นเมืองแห่งสวิส ของประเทศศรีลังกา เป็นที่ตากอากาศของชาวอังกฤษสมัยล่าอาณานิคม ระดับความสูงของเมืองประมาณ ๑,๘๖๘ เมตร (๖,๑๒๘ ฟุต) จากระดับน้ำทะเล อุณหภูมิเฉลี่ยราว ๑๖-๒๕ องศาเซลเซียส ตลอดปี
นอกจากนั้น นูวารา เอลิย่า ยังเป็นเมืองเกษตร ที่ปลูกผักชนิดต่างๆ มากมาย และ เป็นเมืองที่ผลิตชาที่มีชื่อเสียงส่งออกทั่วโลก
(ภาพบน โรงงานผลิตชาแห่งหนึ่ง ท่ามกลางเทือกเขาที่เต็มไปด้วยต้นชา)
ที่ นูวารา เอลิย่า แห่งนี้ เราเข้าพักที่โรงแรม แกรนด์โฮเต็ล ซึ่งเป็นโรงแรมสไตล์โคโลเนียลที่เก่าแก่ของเมือง มีอายุร้อยกว่าปีมาแล้วครับ (ค.ศ.๑๘๙๑)
"...เรื่องกรรม และ ผลของกรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด ในชีวิตประจำวัน แต่ละบุคคล ย่อมมีทั้งกรรม (กุศลกรรม และอกุศลกรรม) และได้รับผลของกรรม เมื่อได้ศึกษาก็จะมีความเข้าใจว่า ขณะใดเป็นกรรม ขณะใดเป็นผลของกรรม ธรรม ควรค่าแก่การศึกษาอย่างยิ่ง เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จนกระทั่งมีความเข้าใจในเหตุและผลแล้วย่อมจะเป็นผู้ที่เบาสบาย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เพราะเหตุว่า การที่จะมีทุกข์ มีสุขในแต่ละวันหรือในวันหนึ่งวันใด ที่จะได้รับสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หรือไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจนั้น ก็เป็นไปตามเหตุ คือ กรรมที่ตนได้กระทำแล้ว ทั้งนั้น กรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อได้โอกาสที่จะให้ผลเกิดขึ้น ผลก็เกิดขึ้น เป็นไปตามความสมควรแก่เหตุ ไม่มีใครทำให้ ไม่มีใครเป็นผู้บงการ..."
(คัดจากกระดานธรรมทัศนะ)
"...การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรม อย่างน้อยๆ ก็เพิ่มพูนความมั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรมได้บ้าง เมื่อเหตุดี ผลก็ต้องดี ดังนั้น เมื่อได้อัตภาพความเป็นมนุษย์ แล้ว จึงไม่ควรประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ รวมถึงการอบรม เจริญ ปัญญา ด้วย สำหรับการเจริญกุศลในชีวิตประจำวันนั้นดีที่สุด คือไม่หวัง ความดีเป็นสิ่งที่ควรจะอบรมเจริญให้มีขึ้นในชีวิต ประจำวัน เพราะเหตุว่าวันหนึ่งๆ อกุศลจิตเกิดบ่อยมาก แม้แต่ขณะที่กำลังฟังพระธรรมอยู่แท้ๆ อกุศลจิตก็ยังสามารถที่จะเกิดแทรกได้เลย (คงไม่ต้องกล่าวถึงขณะที่ ไม่ได้ฟังพระธรรม) ถ้าไม่ได้เจริญกุศล ก็ย่อมเปิด โอกาสให้อกุศลเกิดหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ..."
(คัดจากกระดานธรรมทัศนะ)
เมื่อได้พักค้างคืนที่โรงแรมอันสวยงามนี้จนร่างกายมีความสดชื่นดีแล้ว หลังอาหารเช้า ท่านอาจารย์ได้มีเมตตา ให้จัดการสนทนาธรรมขึ้นในโรงแรม
ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย ไม่ต้องเปิดแอร์ เมื่อสนทนากันไปสักพักก็ต้องปิดหน้าต่าง เพราะความหนาวเย็นของอากาศภายนอกครับ
ข้าพเจ้าขอนำข้อความบางตอนที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้มาให้ท่านได้พิจารณาดังนี้ครับ "...เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ไม่ควรคิดเอง แล้วก็ไม่ควรผ่านไป โดยผิวเผิน เช่น พุทธะ ผู้รู้ ไม่ใช่รู้อย่างธรรมดา ตรัสรู้ความจริง แล้วก็สัมมาสัมพุทธะ คือ ด้วยพระองค์เอง โดยอาศัยการบำเพ็ญพระบารมีที่ได้อบรมแล้ว...
...ถึงกาลที่พร้อมจะตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฎ ก็ทรงตรัสรู้ความจริงนั้น และทรงแสดงความจริงนั้น ให้คนที่ใคร่จะเข้าใจความจริง ได้เริ่มเข้าใจด้วย จนกระทั่งบุคคลที่ได้บำเพ็ญบารมีมาในอดีต ก็สามารถที่จะรู้ความจริงนั้น เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ทั้งหมด....ด้วย.." ปัญญา "
"...เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนา สำคัญที่ "พุทธ" คือ "ปัญญา" มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจจเจกพุทธเจ้า แล้วก็พุทธสาวก ถ้าสามารถที่จะ "รู้" ความจริงได้ ก็เป็นระดับหนึ่ง ระดับใด แต่ว่าในกาละที่มีพระธรรมคำสอน ที่จะรู้ความจริงได้ก็โดยฐานะของเป็นสาวก คือ ผู้ฟัง แล้วจะไม่ "ฟัง" ได้ไหม?
...เพราะฉะนั้น เปรียบเทียบปัญญา ของผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับ พระสาวก ที่ฟังแล้วสามารถที่จะเข้าใจตาม กับผู้ที่เริ่มได้ยินได้ฟัง แล้วก็ยัง ผู้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย เพราะฉะนั้นก็หลากหลายกันมาก ซึ่งแต่ละคนนี่ ก็จะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ว่าเป็นธรรมะที่สะสมมา แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่อยากโกรธก็โกรธ ไม่อยากเกลียดก็เกลียด ไม่อยากกลัวก็กลัว เป็นธรรมะทั้งหมดเลย..."
...พระธรรม...ลึกซึ้ง..จริงๆ ละเอียด ถ้าไม่ฟังด้วยความเคารพ แล้วก็ด้วยความรอบคอบ...ไม่ได้สาระแน่....เพราะคนบางคน เพียงได้ยินคำเดียวก็ "อยาก" ถึงพระนิพพาน แล้วอะไร? นิพพานคืออะไร? นิพพานอยู่ที่ไหน? เดี๋ยวนี้ก็ "เห็น" ยังไม่รู้เลย ทั้งๆ ที่ (เห็น) กำลังปรากฎ กำลังเผชิญหน้า แล้วจะไปหานิพพาน ไปหวังนิพพาน ไป "ทำ" เพื่อถึงนิพพาน โดยไม่มีความรู้อะไรเลย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย...
...เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนา ไม่ลืมว่าเน้นหรือสำคัญที่สุดคือ "ปัญญา" ขณะที่กำลังฟัง "เข้าใจ" เดี๋ยวนี้ คือ "ปัญญา" ซึ่งปัญญานี้ จะเจริญขึ้น จนกระทั่ง สามารถที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่เคยติดข้องเป็นปรกติในชีวิตประจำวัน จนสามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุทเฉท ไม่เกิดอีกเลย...
...มีไหม คนที่ดับกิเลสหมดไม่เกิดอีก?....มี....เราหรือยัง?....ยัง....ยังนะคะ...เพราะว่าการอบรมปัญญายังไม่พอ แต่ผู้ที่อบรมปัญญามาแล้วพอนี่ จะไม่ให้เป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวก ซึ่งได้ "รู้แจ้ง" สภาพธรรมะตามความเป็นจริง ...การฟังธรรมะ ไม่ใช่ให้เชื่อ ทุกคำที่ได้ยิน...พิจารณา...ไม่ประมาท...แล้วก็สามารถที่จะรู้ว่า....กำลังเข้าใจขึ้น....ทีละเล็กละน้อย....หรือเปล่า? หรือว่าเข้าใจหมดเลย...."
ในตอนค่ำของวันนี้ หลังอาหารค่ำแล้วทางคณะได้จัดให้มีการสันทนาการ เพื่อสังสรรค์ ผ่อนคลาย ซึ่งก็เป็นไปตามธรรม คือ ปรกติธรรมดาในชีวิตประจำวันครับ
มีการจัดเตรียมดอกไม้ เพื่อกราบบูชาคุณท่านอาจารย์ และ เป็นรางวัลในการสันทนาการ อย่างสวยงามด้วยครับ
ท่านพลตรี ดร. วีระ พลวัฒน์ กรรมการและเลขานุการของมูลนิธิฯ เริ่มงานด้วยการกล่าวเชิญท่านผู้อาวุโสสูงสุดในคณะ มอบดอกไม้แด่ท่านอาจารย์ คือ คุณลุง นิภัทร ตามด้วยท่านพลเอกสพรั่ง กัลญาณมิตร และหม่อมเบ็ทตี้ ยุคล ณ อยุธยา ครับ
จากนั้น หม่อมได้เป็นตัวแทนกล่าวรำลึกพระคุณท่านอาจารย์ครับ ต้องขออภัยผู้เขียนจำคำที่หม่อมกล่าวในวันนั้นไม่ได้ จึงใคร่ขอนำคำกล่าวที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ที่มูลนิธิฯ เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๒ มาแสดงแทน ดังนี้ ...
" ... ก็พูด..ถึงเรื่องตอน ต้นนะคะ ก็ขออนุโมทนาและขอขอบคุณทุกท่าน ที่เห็นการที่ดิฉันได้มีประโยชน์ ในการที่แสดงพระธรรม ตามที่ได้ศึกษา ที่จะเกิดความเข้าใจถูก แล้ว ประโยชน์ของผู้ที่เห็นคุณนี้คืออะไร เพียงสรรเสริญ ชื่นชม อนุโมทนา หรือว่าประพฤติปฎิบัติตาม ที่ได้ยินได้ฟัง นี่คือประโยชน์ยิ่งใหญ่ กว่าการที่จะเห็น เพียงแต่สิ่งที่ดี ที่คนอื่นทำ แล้วก็อนุโมทนา แต่สิ่งที่ทำก็คือว่า กล่าวถึงสัจจะ สิ่งที่มีจริงที่จะให้คนอื่น เข้าใจถูก สิ่งเดียวที่กระทำมาโดยตลอด ก็ เพื่อประโยชน์ต่อบุคคลอื่น ไม่ใช่ต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ...
... เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจ ถึงความคิดและกุศลที่ได้กระทำมาโดยตลอด ๕๐ ปีกว่า ก็คงจะเป็นผู้ไม่เก่ง ในการนับว่าจะเท่าไรแล้ว แต่ ถ้าเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟังจริงๆ เหมือนผู้ฟังในครั้งพุทธกาล เมื่อเห็นคุณของ พระธรรมแล้ว จะประพฤติอย่างไร หรือว่าเพียงเห็นคุณแล้วก็ยังคงเหมือนเดิม แต่ถ้า เป็นผู้ที่เห็นบุคคลอื่น ได้กล่าว เพื่อประโยชน์ ให้ตนเอง ได้เข้าใจถูกได้เห็นถูกแล้ว ก็มีความเห็นถูก ที่จะประพฤติ ปฎิบัติตาม นั่นคือสิ่งที่เป็นประโยชน์ และเป็นจุดประสงค์ของ การที่ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงพระมหากรุณา ที่ทรงแสดงธรรม เพื่อประโยชน์อันนี้ เพราะฉะนั้น ประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่ เห็นความดี หรือว่าเห็นคุณของผู้ที่กล่าวธรรม แต่ต้องเป็นผู้ประพฤติปฎิบัติ ตามด้วย นั่นคือสูงกว่าเพียงแต่จะฟัง เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี และ ได้มีผู้ที่ทำหน้าที่อย่างนี้ มาก็นานพอสมควร ...
... .แล้วเราจะทำอย่างไร? ... .เหมือนเดิม ... หรือว่าเห็นประโยชน์จริงๆ ว่าหลายปีที่ได้กระทำมา ก็สามารถที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดกุศล มีหิริมีโอตตัปปะ มีการเห็นประโยชน์ ของการฟัง แล้วก็ขัดเกลากิเลส ซึ่งเป็นสิ่งไม่ง่าย เพราะว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสัจจะ เป็นสิ่งซึ่งมีจริงแน่นอน ไม่มีอย่างอื่นที่จริงกว่านี้ แต่ว่าไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถที่จะเริ่มเข้าใจประโยชน์ ของการรู้ความจริง จะทำให้สิ่งที่ได้กล่าวทั้งหมด เป็นไปตามที่กล่าว แล้วก็ไม่ใช่เพียงแต่กล่าว แต่ยังมีกุศลจิตที่จะค่อยๆ ประพฤติปฎิบัติตามด้วยนี่ เป็นสิ่งที่ ตลอดเวลาที่ทำมา เพื่อจุดนี้ เพื่อที่จะให้คนอื่นไม่เพียงเข้าใจธรรม แต่ยัง สามารถที่จะเกิดกุศล ที่จะประพฤติปฎิบัติตามด้วย มิฉะนั้น ๕๐ ปีกว่านี้ ที่ผ่านมาก็คงจะไม่มีประโยชน์ เพราะว่าเพียงแต่ฟัง แล้วยังไม่ถึงใจ ที่จะเห็นความจริงของจิตของตนเองที่สะสมมา ถ้าจะ..เปรียบเทียบ ก็เป็นความดีเพียงเล็กน้อย ยังมีความดีกว่านี้อีกมาก ที่จะต้องอบรมเจริญขึ้น ... ."
กราบเท้าท่านอาจารย์ขอรับ
จากนั้น ก็เป็นการสันทนาการในหมู่คณะ โดยจัดให้มีการส่งตัวแทนจากรถบัสแต่ละคันซึ่งมีจำนวนสี่คัน ให้ออกมาแสดงการแสดงที่ตนเองถนัดและ ให้มีการโหวตให้คะแนนผู้ชนะในตอนจบครับ
" ... ขอฝันใฝ่ ในฝัน อันเหลือเชื่อ ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว ขอทนทุกข์รุกโลมโหมกายใจ ขอฝ่าฟันผองภัย ด้วยใจทนง ... ." ผู้ศึกษาธรรม แม้จะร้องเพลง ยังคงเลือกเพลงที่ทำให้เกิดกุศลสลับกับอกุศลได้ครับ ขออนุโมทนาในกุศลจิตนะครับ
" ... จากยอดดอย แดนไกล ใครจะเห็น ... ยากลำเค็ญ เพียงใด ใจยังมั่น จะปกป้อง ผองไทย ชั่วนิรันดร์ สิ้น..ชีวัน ก็ยังห่วง หวงแผ่นดิน ... "
กลุ่มนี้ แต่งเพลงระลึกพระคุณท่านอาจารย์ มานำเสนอได้อย่างไพเราะมากๆ ครับ
คุณหมอทวีปและคุณพรทิพย์ ถูกจิตร (ตัวแทนรถคันที่ผมนั่งครับ) แชมป์เก่าที่อินเดีย นำเสนอเพลง แต่ปางก่อนครับ ไพเราะสมคำร่ำลือครับ
" คนเราทุกคนว่ายวนผลกรรมนำเนื่อง ตกต่ำ รุ่งเรือง เกี่ยวเนื่องแต่กรรมของตน ความดีค้ำจุนจากบุญกุศล ความชั่วจากบาปทุกคน เพราะตนนั้นก่อเวรไว้ บางคนถือดีมั่งมีเพราะทำกรรมชั่ว นั่นบาปสาปตัวเกลือกกลั้วมัวเมาเขลาไป บางคนระอาว่าเหตุไฉน ทำดีแต่จนเหลือใจ ไม่เห็นได้ดีเหมือนว่า อย่าเพลินถือว่าเงินเป็นใหญ่ จิตใจเหนือสิ่งใดล้ำค่า เพราะความทุกข์ ความสุขใด เป็นที่ใจ ใช่ที่ตา อย่าพะวงหลงลืมตน ทำดีทุกทีต้องมีผลดีโดยทั่ว ก่อกรรมทำชั่ว ได้ชั่วตอบแทนทุกคน คนดี รักดี โชคดีมีผล คนชั่ว ชั่วโฉดเฉาชน ไม่พ้นผลกรรมซ้ำเติม "
... ... ...
เพลงนี้เป็นเพลงเก่า ที่มีความหมายและไพเราะหาฟังได้ยากจริงๆ ครับ
มีการเล่นเกมส์ทายปัญหาธรรมะ ที่ท่านวิทยากรท่านต่างๆ ตั้งคำถามให้จับสลากตอบ ได้ทั้งความสนุกและสาระอย่างดีเยี่ยมไปพร้อมๆ กันครับ
แม้ในปัจจุบันกาล สัตว์ทั้งหลายก็ย่อมคบค้า กัน ย่อมสมาคมกันโดยธาตุเทียว คือ สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับ สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว สัตว์จำพวกที่มี อัธยาศัยดี ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ ๔๔๐ หีนาธิมุตติสูตร
ในตอนท้าย ท่านอาจารย์ได้มีเมตตาตัดเค้ก ร่วมกับท่านผู้ร่วมคณะที่เกิดในวันนั้นครับ
(กระทู้นี้ยาวไปหน่อย ขออภัยด้วยนะครับ)
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๑ โคลอมโบ-โปโลนนารูวา ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่พระมหาเจดีย์รุวันเวลิเสยะ ประเทศศรีลังกา ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๒ มหินตาเล-อนุราธปุระ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๓ สิกิริยา-ถ้ำดัมบูลลา-พระเขี้ยวแก้ว
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกา ตอนที่ ๕ (จบ) วัดสำคัญๆ ในกรุงโคลอมโบ
ได้ชมภาพสวย พร้อมด้วยสาระเตือนใจ อนุโมทนาในกุศลวิริยะค่ะ
อนุโมทนาครับ เป็นค่ำคืนที่อบอุ่นและมีความสุขจริงๆ
ดอกไม้และความกตัญญู