สุภาสิตสูตร ... วันเสาร์ที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๔
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สนทนาธรรมที่
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ วันเสาร์ที่ ๒๗ สิงหาาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ
สุภาสิตสูตร
(ว่าด้วยวาจาสุภาษิต ๔ ประการ)
[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ หน้าที่ ๓๑๕
(ภาพแสดงบรรยากาศการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ในวันอาทิตย์ที่ ๖ มี.ค. ๒๕๕๔)
...นำสนทนาโดย...
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร
[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ หน้าที่ ๓๑๕
สุภาสิตสูตร
(ว่าด้วยวาจาสุภาษิต ๔ ประการ)
[๗๓๘] สาวัตถีนิทาน. ในสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระพุทธดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นวาจาทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และเป็นวาจาอันวิญญูชนทั้งหลายไม่ติเตียน องค์ ๔ เป็นไฉน? คือ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมกล่าวแต่วาจาที่บุคคลกล่าวดีแล้วเท่านั้น ไม่กล่าววาจาที่บุคคลกล่าวชั่วแล้ว ๑ ย่อมกล่าวแต่วาจาที่เป็นธรรม เท่านั้น ไม่กล่าววาจาที่ไม่เป็นธรรม ๑ ย่อมกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รักเท่านั้น ไม่กล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก ๑ ย่อมกล่าวแต่วาจาจริงเท่านั้น ไม่กล่าววาจาเท็จ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้แล เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นวาจาทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และเป็นวาจาอันวิญญูชนทั้งหลายไม่ติเตียน.
[๗๓๙] พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า สัตบุรุษทั้งหลาย ได้กล่าววาจา สุภาษิตว่าเป็นที่หนึ่ง, บุคคลพึงกล่าววาจา ที่เป็นธรรม ไม่พึงกล่าววาจาที่ไม่เป็นธรรม เป็นที่สอง, บุคคลพึงกล่าววาจาอันเป็นที่รัก ไม่พึงกล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก เป็นที่สาม, บุคคลพึงกล่าววาจาจริง ไม่พึงกล่าววาจา เท็จ เป็นที่สี่ ดังนี้. ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะลุกขึ้นจากอาสนะ ทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์ ข้าแต่พระสุคต เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เนื้อความนี้จงแจ่มแจ้งกะเธอเถิดวังคีสะ.
[๗๔๐] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะ ได้ทูลสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาทั้งหลายอันสมควร ณ ที่เฉพาะพระพักตร์ว่า บุคคล พึงกล่าวแต่วาจาที่ไม่เป็นเหตุ ยังตนให้เดือดร้อน และไม่เป็นเหตุเบียดเบียนผู้อื่น วาจานั้นแลเป็นสุภาษิต บุคคล พึงกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก ที่ชนทั้งหลาย ชื่นชมแล้ว ไม่ถือเอาคำที่ชั่วช้าทั้งหลาย กล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก แก่ชนเหล่าอื่น คำสัตย์แล เป็นวาจาไม่ตาย ธรรมนี้เป็น ของมีมาแต่เก่าก่อน สัตบุรุษทั้งหลาย เป็นผู้ตั้งมั่นแล้วในคำสัตย์ ที่เป็นอรรถ และเป็นธรรม พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจา ใด ซึ่งเป็นวาจาเกษม เพื่อให้ถึงพระ- นิพพาน เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ พระวาจา นั้นแล เป็นสูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย ดังนี้.
จบ สุภาสิตสูตร ที่ ๕.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
สุภาสิตสูตร
(ว่าด้วยวาจาสุภาษิต ๔ ประการ)
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงวาจาประกอบด้วยองค์ ๔ ว่า เป็นวาจาสุภาษิต ไม่ใช่วาจาทุพภาษิต เป็นวาจาที่ไม่มีโทษ และ วิญญูชนไม่ติเตียน ดังนี้ คือ
๑. กล่าวแต่วาจาที่บุคคลกล่าวดีแล้วเท่านั้น ไม่กล่าววาจาที่บุคคลกล่าวชั่วแล้ว (กล่าวเฉพาะคำที่ทำให้เกิดความสมัครสมาน อันเว้นจากคำพูดส่อเสียด)
๒. กล่าวแต่วาจาที่เป็นธรรม เท่านั้น ไม่กล่าววาจาที่ไม่เป็นธรรม (กล่าวคำประกอบด้วยเมตตา เว้นจากคำพูดเพ้อเจ้อ)
๓. กล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รักเท่านั้นไม่กล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก (เว้นจากคำพูดหยาบคาย)
๔. กล่าวแต่วาจาจริงเท่านั้น ไม่กล่าววาจาเท็จ (กล่าวคำสัตย์ ไม่กล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไม่กล่าวคำเหลาะแหละ)
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการพูด ได้ที่นี่ครับ
อยากทราบเกี่ยวกับ เดรัจฉานกถา คือพูดไร้สาระเพ้อเจ้อค่ะ
ถ้าจะพูดเรื่องไร้สาระ ก็นิ่งไม่พูดเสียดีกว่า
พระผู้มีพระภาคฯ ทรงเตือน...เรื่องการพูด!
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...