ไม่มีเรา มีแต่ธาตุ

 
เมตตา
วันที่  9 ก.ค. 2555
หมายเลข  21376
อ่าน  2,049

พระผู้มีพระภาคทรงแสดงสิ่งที่มีจริงโดยนัยต่างๆ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม จะเรียกธรรมก็ได้หรือไม่เรียกก็ได้ จะเรียกธาตุเช่น จักขุวิญญาณธาตุหรือไม่เรียกสิ่งนั้นก็มีจริง เกิดแล้วก็ต้องดับไป แต่ไม่รู้ พ้นจากสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เห็นว่าเที่ยง เป็นของสูญ ธาตุ ไม่ใช่ไปติดที่คำ ความเป็นธาตุเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง สิ่งที่มีจริงๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปในชีวิตประจำวันเช่น เห็น ได้ยิน ... และคิดนึก ทั้งหมดเป็นเพียง ธาตุ แต่ละอย่าง

สิ่งที่มีจริง เกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย นี่คือความจริงของธรรม จิตเห็นเกิดเป็นเพียงจักขุวิญาณเกิดขึ้นเห็น เป็นเรา หรือเป็นเพียง ธาตุ ที่เกิดขึ้นเห็น ไม่ใช่เราเห็นเลย กำลังเห็นเกิดแล้วก็ดับ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ มีแต่ ธาตุ มีแต่ธรรมทั้งหมด ไม่ว่าที่ไหนๆ ทั่วจักรวาล ความเป็นธาตุก็เหมือนกันหมด ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตน เกิดแล้วดับ ดอกไม้บนโต๊ะของใคร โต๊ะของใคร แขนของใคร แขนของเราหรือ ทุกอย่างเป็นธาตุทั้งหมดอย่างละเอียด แม้กุศลเกิดเป็นเราหรือ อกุศลเกิดเป็นเราหรือเป็นเพียงธาตุ รับประทานอาหารทุกครั้งไม่เคยรู้เลยว่าเป็นเพียงธาตุแต่ละอย่าง ชิวหาธาตุกระทบรส แล้วจิตลิ้มรสเกิดขึ้นรู้รส ถ้าเข้าใจจริงๆ ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ทรงประมวลธาตุทั้งหมดคือ นานาธาตุ ความต่างแห่งธาตุ

ทรงตรัสรู้ความจริง ตั้งแต่เกิดจนตาย สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นแต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นธาตุทั้งหมด ๑๘ ธาตุ ความน่าอัศจรรย์ของความเป็นธาตุที่เกิดขึ้นแล้วดับไปแต่ละอย่างๆ ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใครเลย ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วไม่เข้าใจ เมื่อมีโอกาสได้ฟัง ทำให้เริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เห็นมีจริงๆ กำลังปรากฏ แล้วรู้รื่องเห็นหรือเปล่า ทั้งๆ ที่กำลังเห็นก็ไม่รู้จักสิ่งที่มีจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ควรรู้ไหม ธาตุต่างๆ สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นแต่ละธาตุ ความน่าอัศจรรย์ของธาตุที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้

ใครจะรู้ได้ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่คือชีวิตประจำวัน เป็นเพียงธาตุแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นแล้วดับไป

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 9 ก.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่เมตตาครับ

เคยได้ยินคำกล่าวว่า คนเราคบกันด้วยธาตุ มีนัยโดยละเอียดอย่างไรครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 9 ก.ค. 2555

เรียน ความเห็นที่ 1 ครับ

ธาตุ โดย สัจจะ ความจริง คือ สภาพธรรมที่มีจริง ที่กล่าวรวมทั้ง จิต เจตสิก รูป แต่เมื่อกล่าวถึง คนเราคบกันโดยธาตุ จะไม่มุ่งหมายถึง รูปธรรม ที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ครับ แต่ ก็ต้องหมายถึง สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม จิต เจตสิกเท่านั้น ซึ่งข้อความในอรรถกถาได้อธิบายไว้ครับว่า

ธาตุในที่นี้ คือ อัธยาศัยของสัตว์โลก หรือ อุปนิสัย ผู้ที่มีอุปนิสัยดี ก็คบกับ ผู้ที่มีอุปนิสัยดี ผู้ที่มีอุปนิสัยไม่ดี ก็คบกับผู้ที่มีอุปนิสัยไม่ดี

ดังนั้น อัธยาศัย อุปนิสัย ในพระสูตรนี้ที่บัญญัติเรียกว่าธาตุ คบกันโดยธาตุ คือ ตามอุปนิสัย อัธยาศัย ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นจิต เจตสิก เพราะอุปนิสัย อัธยาศัยจะมีไม่ได้เลย หากปราศจากการสะสมมา สะสมของอะไร ของจิต เจตสิกที่เกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น สัตว์คบกันโดยธาตุ ก็คบตามการสะสมมาของจิต เจตสิกที่แตกกันไป เพราะฉะนั้น แม้ใช้คำว่า ธาตุ ในการคบหากัน ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นธาตุ แต่เป็นธาตุ ที่เป็นนามธาตุ ที่เป็นจิต เจตสิก ที่ไม่ใช่รูปธาตุ ที่เป็น รูปธรรม ครับ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 478

๙. ธาตุสูตร

[๒๕๖] จริงอยู่ พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมเทียบเคียงกัน เสมอกันกับสัตว์ทั้งหลายโดยธาตุแล คือ สัตว์ผู้มีอัธยาศัยเลว ย่อมเทียบเคียงกันเสมอกันกับสัตว์ผู้มีอัธยาศัยเลว สัตว์ผู้มีอัธยาศัยดี ย่อมเทียบเคียงกันกับสัตว์ผู้มีอัธยาศัยดี

อรรถกถาธาตุสูตร ในธาตุสูตรที่ ๙ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า ธาตุโส ความว่า โดยธาตุ ธาตุ คือ อัธยาศัย คือสภาพของอัธยาศัย ที่ตรัสเรียกว่า อธิมุตติบ้าง พระองค์ทรงประสงค์เอาว่า ธาตุ (ในพระสูตรนี้) .

ขออนุโมทนาพี่เมตตา คุณผู้ร่วมเดินทางและทุกท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เข้าใจ
วันที่ 9 ก.ค. 2555

กราบ ขอบพระคุณครับและขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 9 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่มีเรา มีแต่ธาตุ ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เมื่อกล่าวถึงธาตุแล้ว เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่มีเราที่แทรกอยู่ในธาตุหรือธรรมนั้นๆ ได้เลย เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างๆ เท่านั้น เมื่อไม่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงความเป็นธาตุได้ แม้จะมีอยู่ เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ก็ตาม มีแต่จะยึดถือว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล หรือ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริง

ารฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเท่านั้น ที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละคลายความเห็นผิด และความไม่รู้ได้ในที่สุด ครับ

...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาและทุกๆ ท่านด้วยครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 9 ก.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมและอาจารย์คำปั่นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pat_jesty
วันที่ 9 ก.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาพี่เมตตา และทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
aurasa
วันที่ 11 ก.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kinder
วันที่ 11 ก.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
akrapat
วันที่ 13 ก.ค. 2555

"ไม่มีเรา มีแต่ธาตุ และไม่ใช่ไปติดที่คำ" นี่คือจุดประสงค์ของการความเข้าใจธรรมะ แต่ปัญหาของผมดันไปติดที่คำ ทุกครั้งที่คิด ไม่ทราบว่ากัลยาณมิตร ท่านใดเป็นเหมือนผมบ้าง

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 13 ก.ค. 2555
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 21376 ความคิดเห็นที่ 9 โดย akrapat

"ไม่มีเรา มีแต่ธาตุ และไม่ใช่ไปติดที่คำ " นี่คือจุดประสงค์ของการความเข้าใจธรรมะ แต่ปัญหาของผมดันไปติดที่คำ ทุกครั้งที่คิด ไม่ทราบว่ากัลยาณมิตร ท่านใด้เป็นเหมือนผมบ้าง

กด like ให้ค่ะ :D

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เมตตา
วันที่ 13 ก.ค. 2555

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 46

ข้อความบางตอนจาก

อุปเนยยสูตร

ในขณะแห่งจิตอันเป็นอดีต บุคคล ชื่อว่า เป็นอยู่แล้ว มิใช่กำลังเป็นอยู่ มิใช่จักเป็นอยู่ ในขณะแห่งจิตอันเป็นอนาคต บุคคล ชื่อว่า จักเป็นอยู่ มิใช่เป็นอยู่แล้ว มิใช่กำลังเป็นอยู่ ในขณะแห่งจิตอัน เป็นปัจจุบัน บุคคลชื่อว่ากำลังเป็นอยู่ มิใช่เป็นอยู่แล้ว ไม่ใช่จักเป็นอยู่. ชีวิต อัตตภาพ สุขและทุกข์ทั้งหมด ประกอบด้วยจิตดวงเดียว ขณะของจิตนั้น ย่อมเป็นไปเร็วพลัน. จิตเหล่าใด ของสัตว์ที่กำลังดำรงอยู่ หรือกำลังตาย แตกดับไปแล้วในปวัตติกาลนี้ จิตเหล่านั้นทั้งหมด หาได้กลับมาเกิดอีกไม่ แม้ขันธ์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน. เพราะจิตไม่เกิด สัตว์โลกก็ชื่อว่า ไม่เกิด เพราะจิตเกิดขึ้นเฉพาะหน้า สัตว์โลกก็ชื่อว่า เป็นอยู่ เพราะความแตกดับแห่งจิต สัตว์โลก จึงชื่อว่า ตายแล้ว นี้ เป็นบัญญัติเนื่องด้วยปรมัตถ์.


เรียน คุณ akrapat

โดยมากคนส่วนมากก็จะไปติดที่คำ จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรมพิจารณาให้เข้าใจถึงตัวจริงของธรรม คำนั้นแค่ บัญญัติ ขึ้นเพื่ออธิบายถึงสภาวะของสิ่งที่มีจริงๆ เช่น จิตเห็นหรือจักขุวิญญาณธาตุ ส่องให้เข้าใจถึงลักษณะของเห็นที่มีจริงเท่านั้นค่ะ

แม้ทุกครั้งที่คิด คิดก็เป็น ธาตุ เป็นธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เราคิด ขอเป็นกำลังใจที่จะฟังพระธรรมต่อไปนะคะ แม้จะยังไม่สามารถรู้ถึงตัวจริงของธรรมได้ในขณะนี้ แต่ก็สามารถเข้าใจถึงสภาวะลักษณะของธรรมได้

สิ่งสำคัญต้องเข้าใจถึงลักษณะของธรรมก่อน หากไม่เข้าใจถึงลักษณะของธรรมของธาตุ ที่หลากหลายแต่ละอย่างไม่ว่าทางตา ทางหู ... และทางใจที่คิด ก็ไม่มีทางอื่นที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฏได้ ปัญญาขั้นสูงขึ้นไปก็มีไม่ได้

... ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
akrapat
วันที่ 14 ก.ค. 2555

ขอบคุณครับ คุณเมตตา

สรุปว่า ข้อความทั้งหมดจากพระสูตรข้างบน เป็นบัญญัติหรือเป็นคำ เพื่อความเข้าใจว่า ขณะที่กำลังคิด ก็คือ ธรรมะ หรืออาศัยการฟังเพื่อให้เข้าใจบัญญัติ สะสมเป็นเหตุปัจจัยเพื่อให้ประจักษ์ปรมัตถ์ อืม!! ผมหลงคิด อีกแล้ว

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 15 ก.ค. 2555

สวัสดีค่ะ คุณ akrapat

การศึกษาพระธรรมก็เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏแต่ละอย่าง ขณะที่กำลังคิด ก็มีจริงๆ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เป็นธาตุรู้ ถ้าไม่คิด เรื่องราว บัญญัติก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ไม่ใช่การฟังเพื่อให้เข้าใจบัญญัติเลย แต่การฟังคำต่างๆ ที่เป็นบัญญัติ เพื่อให้เข้าใจตัวจริงของธรรมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
akrapat
วันที่ 16 ก.ค. 2555

ชัดเจนครับ คุณเมตตา ผมเข้าใจจุดประสงค์ของการสอนแบบ อ.สุจินต์ไม่ผิด

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
เมตตา
วันที่ 16 ก.ค. 2555

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 26 ก.พ. 2557

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 1 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ