สงบ - ไม่สงบ
สงบ กับ ไม่สงบ ไม่ได้เกี่ยวกับสถานที่ สำคัญอยู่ที่สภาพจิต ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ที่วัด ในถ้ำ ที่บ้าน หรือที่ตลาด ถ้าอกุศลธรรมเกิดขึ้น ขณะนั้นก็ไม่สงบ เพราะถูกกลุ้มรุมด้วยอกุศลต่างๆ มีความติดข้องต้องการ มีความขุ่นเคืองใจ มีความไม่รู้ เช่น ขณะใดที่เห็น แล้วไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง ขณะนั้นก็เป็นภัย เป็นอกุศลธรรมแล้ว ความไม่รู้มีมากมายนัก บางท่านคิดว่าไปเที่ยว ไปทะเล ก็มีความสงบดี แท้จริงก็เป็นไปกับอกุศลธรรมโดยส่วนมาก ทุกๆ ขณะที่อกุศลธรรมเกิดขึ้น เป็นภัย ขณะนั้นๆ กุศลจิตก็เกิดไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ถ้ากุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไป ขณะนั้นสงบแล้วจากอกุศล ชั่วขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้น และเมื่อได้อบรมเจริญปัญญาจนสามารถดับกิเลสได้แล้ว ก็จะเป็นผู้สงบอย่างแท้จริง เพราะ กิเลสที่ดับได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น ที่จะเป็นไปเพื่อสงบจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ในที่สุด
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บุคคลผู้ที่ยังมีกิเลส ยังเต็มไปด้วยกิเลสนานาประการ มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ในชีวิตประจำวันจึงมีขณะที่ไม่สงบอย่างมากมาย เพราะเหตุว่า มีอกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศล นี้เป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ขณะใดที่จิตเป็นอกุศล ขณะนั้นย่อมไม่สงบ แต่ในทางตรงกันข้าม ขณะใดที่จิตเป็นกุศล ขณะนั้นย่อมสงบจากอกุศล เพราะกุศลกับอกุศล จะไม่เกิดร่วมกันอย่างเด็ดขาด
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ย่อมเกื้อกูลต่อการเจริญขึ้นของกุศลธรรม เมื่อปัญญาเจริญขึ้น เพิ่มมากขึ้น ก็จะเป็นเหตุทำให้สงบจากกิเลส สงบจากอกุศล ตามระดับขั้นของความเข้าใจ จนกว่าจะถึงความเป็นผู้สงบจากกิเลส สงบจากอกุศล โดยประการทั้งปวง เมื่อบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย ครับ
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตา และ ทุกๆ ท่านด้วยครับ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่เมตตา อาจารย์คำปั่น และทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้ากุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไป ขณะนั้นสงบแล้วจากอกุศล ชั่วขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้น และเมื่อได้อบรมเจริญปัญญาจนสามารถดับกิเลสได้แล้ว ก็จะเป็นผู้สงบอย่างแท้จริง เพราะกิเลสที่ดับได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เมื่อปัญญาเจริญขึ้น เพิ่มมากขึ้น ก็จะเป็นเหตุทำให้สงบจากกิ เลส สงบจากอกุศล ตามระดับขั้นของความเข้าใจ จนกว่าจะถึงความเป็นผู้สงบจากกิเลส สงบจากอกุศลโดยประการทั้งปวง เมื่อบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย
ขออนุโมทนาพี่เมตตา ครับ ที่นำข้อคิดธรรมดีๆ มาให้พิจารณาอ่านกัน และขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น และ คุณผู้ร่วมเดินทางและทุกท่าน มา ณ ที่นี้ ครับ
มีบ้านที่อยู่ริมทะเล เห็นน้ำทะเลอ้นกว้างขวางสุดสายตา ก็จะมีความต่างของการมีบ้านที่อยู่อาศัยในเมือง เพราะอยู่ในเมืองเมื่อมองออกไป ก็จะเห็นบุคคลมากมาย การเห็นน้ำทะเลหรือการเห็นผู้คนเดินบนถนน จะไม่มีความต่างกันเลย ถ้าการเห็น ทุกขณะจิต ไม่ประกอบด้วยการพิจารณา เพราะขาดการพิจารณาของจิตเมื่อใด อกุศลจิตก็เกิด เช่นเดียวกับการที่อยู่ชนบทก็จะมีความต่างกับบุคคลที่อาศัยอยู่ในเมืองเพราะในเมืองมีผู้คนและเสียงมากมาย แต่การเห็นภูเขาหรือเห็นต้นไม้มากมาย หรือการเห็นผู้คนมากมาย ถ้าเห็นแล้วขาดการพิจารณาสภาพธัมมะตามความเป็นจริง กุศลจิตก็ไม่เกิด การอยู่กับสิ่งแวดล้อมเช่นมีภูเขาและต้นไม้จะต่างกับบุคคลที่อาศัยอยู่ในเมือง ก็คือ สภาพที่สงบ เมื่อมีความสงบเป็นปัจจัย การฟังพระธรรมของท่านอาจารย์ หรือการอ่านหนังสือพื้นฐานอภิธรรม ก็จะมีความเข้าใจได้ง่าย สถานที่คืออุปธิสมบัติ
ขอกราบบูชาท่านอาจารย์สุจิตต์บริหารวนเขตต์อย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลศรัทธาขอพี่Parinyaอย่างยิ่งค่ะ ที่มีความมั่นคงในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ โดยความเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนที่จะไปพิจารณา แต่เป็นความเข้าใจ ซึ่งก็คือปัญญา ที่พิจารณาสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ให้ความเข้าใจอยู่เสมอว่าสภาพธรรมมีอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน การศึกษาธรรม ไม่ใช่ศึกษาชื่อ หรือเรื่องราวของธรรม แต่ศึกษา พิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่พ้นเห็น ได้ยิน..และคิดนึก เป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเราสักขณะเดียวตามความเป็นจริง จิตเห็นก็เป็นธาตุรู้ อาการรู้ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้ ไม่ใช่เราเห็นเลย
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ พี่Parinya อีกครั้งค่ะ...
เรียนนร่วมสนทนาด้วย ครับ
ความสงบไม่ได้อยู่ที่สถานที่ที่เงียบสงบ แต่อยู่ที่ความสงบ คือ จิตใจขณะที่ไม่มีกิเลส คือ เกิดกุศลจิตขณะใด ขณะนั้นสงบ เพราะฉะนั้น ปัจจัยให้เกิดความสงบ คือ ปัญญา ความเข้าใจพระธรรม หากแม้อยู่ในสถานที่ที่เงียบเสียง แต่ใจก็สามารถคิดในเรื่องอื่นได้ เกิดกุศลจิตได้ แต่แม้อยู่ในสถานที่ที่ไม่เงียบเสียง แต่มีปัญญา ความเข้าใจพระธรรม สติ สามารถเกิดระลึกในสภาพธรรม ที่แม้เป็นเสียง แม้เป็นอกุศลจิต ขณะนั้นสงบด้วย สงบด้วยปัญญาที่เข้าใจความจริงในขณะนั้น ดังนั้น ในพระไตรปิฎกแสดงไว้ว่า เสียง ย่อมเป็นข้าศึกศัตรูต่อการเจริญสมถภาวนา แต่ไม่ได้เป็นข้าศึกต่อการเจริญวิปัสสนา แต่ข้าศึกของการเจริญวิปัสสนา คือ ความไม่รู้ และ ไม่มีปัญญาที่เข้าใจหนทางการดับกิเลส ครับ
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
ข้างห้องทำเสียงดังรบกวน จะวิปัสสนาอย่างไรดีครับ
การอยู่ในที่เงียบสงัด หรือใกล้ป่าใกล้เขาเหมาะปฏิบัติธรรมจริงหรือไม่
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
เรียนขอสนทนากับMr.Paderm คงเป็นอาจารย์ประเชิญใช่ใหมครับ?
เมื่อสองปีที่แล้วผมยังไม่เคยฟังธัมมะของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ (ขอกราบ และ บูชา ท่านอาจารย์ครับ) . ผมเติบโตมาจากเด็กกรุงเทพ ซึ่งมองเห็นแต่ความวุ่นวายของคนในกรุงเทพ ต่อมาผมได้ซื้อคอนโดริมทะเล และ ก็ได้สร้างบ้านบนเนื้อที่10ไร่ในเมืองเล็กๆ เพราะมีความคิดที่อยากอยู่อย่างสงบ แล้วจะได้ศึกษาพระธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า (ขอนอบน้อมแด่พระพุทธองค์)
34 ปีที่ใช้ชีวิตทำงานอยู่ต่างประเทศ ตอนนี้มีความยินดีอย่างมากที่ทุกวันอาทิตย์ผมได้ขับรถไปฟังธัมมะของท่านอาจารย์ที่มูลนิธิ เพราะขณะที่ฟังอยู่ที่มูลนิธิการฟังธัมมะของท่านอาจารย์ ไม่ถูกรบกวนโดยหลานอายุ7ขวบ เพราะวันอาทิตย์ไม่มีโรงเรียน (ขออภัยในการเอาความจริงมาพูด) . จริงๆ ครับ การเจริญวิปัสสนามิใช่อยู่ที่สถานที่ แต่สถานที่ที่มีความสงบจากเสียงรบกวน ไม่ว่าบ้านจะอยู่ห่างผู้คน หรือคอนโดที่อยู่ริมชายหาด ก็มีส่วนช่วย ในการศึกษาพระธรรมและการฟังธรรมของท่านอาจารย์เป็นอย่างมาก นี่เขียนจากสภาพธรรมที่สงบจากเสียงตามความเป็นจริง ซึ่งเมื่อก่อนได้รับการฟังพระธรรมของท่านอาจารย์. เวลาอยู่คนเดียวก็คิดว่าสงบแล้ว แต่เดี๋ยวนี้พอเริ่มเข้าใจคำสอนของท่านอาจารย์มากขึ้น ก็รู้ได้ว่าแม้อยู่คนเดียวอกุศลก็ขึ้นได้ทุกขณะ ถ้าไม่รู้ธัมมะตามความเป็นจริงในขณะที่เห็น ขณะที่ได้ยิน ขณะที่คิดนึก เช่น คิดเรื่องของอดีตบ้าง เรื่องของอนาคตบ้าง
ขอเรียนอาจารย์ประเชิญครับว่า ผมก็มีคอนโดอยู่ในกรุงเทพ เวลาปกติผมฟังธัมมะของท่านอาจารย์ก็มีความเข้าใจแม้แต่เสียงเล็กน้อย ก็มิได้เป็นปัญหาของการศึกษาธรรม เพราะมีธัมมะให้พิจราณาตลอดเวลา ขณะใดหลงลืมสติก็รู้ อกุศลจิตเก็ดขึ้นก็รู้ รู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงแล้วก็พิจารณาบ่อยๆ ตามคำสอนของท่านอาจาย์ แต่เมื่อ 8 เดือนที่แล้ว ผมมีความจำเป็นต้องอยู่กรุงเทพฯ ทางผจก.คอนโดอนุญาตให้ผู้รับเหมาให้ทำการก่อสร้างและตบแต่งสถานที่ได้เป็นเวลา 2 เดือน ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น เสียงฆ้อนเสียงตอกตระปู เสียงของเลื่อยไฟฟ้าของการตบแต่งข้างห้อง ทำให้การฟังธรรมเป็นไปไม่ง่าย มีแต่โทษะเกิดอยู่บ่อยๆ จนต้องไปสอบถามกับทางนิติบุคคล แต่ก็มีการรักษาคำพูดให้พูดเสียงที่พูดออกมามีแต่ความนิ่มนวล (นั่นคือพิจารณาคำพูดก่อนพูดออกไป) . นิติบุคคลบอกว่าผู้รับเหมามีสิทธิ์และก่อสร้างใช้เสียงได้ในเวลากลางวัน ผมก็เลยเลือกมาอยู่บ้านสวนเหมือนเดิม เพื่อละอกุศลที่ยังไม่เกิดครับ (ขออภัยมิได้มีเจตนาที่จะ โต้แย้งความเห็นของท่าน)