กัปปปัญหา และ ชตุกัณณีปัญหา ... วันเสาร์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๖
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
••• ... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ... ..•••
... สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ วันเสาร์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๖ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ
กัปปปัญหาที่ ๑๐ และ ชตุกัณณีปัญหา ที่ ๑๑
จาก ...
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ หน้า ๙๓๖, ๙๓๖
(ภาพแสดงบรรยากาศการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ วันอาสาฬหบูชา ๒๒ ก.ค. ๒๕๕๖)
... นำสนทนาโดย ...
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ หน้าที่ ๙๓๖
กัปปปัญหาที่ ๑๐ (ว่าด้วยธรรมเป็นที่พึ่ง)
[๔๓๔] กัปปมาณพทูลถามปัญหาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ขอพระ องค์จงตรัสบอกซึ่งธรรมอันเป็นที่พึ่งของชน ทั้งหลาย ผู้อันชราและมรณะครอบงำแล้ว ดุจที่พึ่งของชนทั้งหลาย ผู้อยู่ในท่ามกลาง สาคร เมื่อคลื่นเกิดแล้ว มีภัยใหญ่ฉะนั้น อนึ่ง ขอพระองค์จงตรัสบอกที่พึ่งแก่ข้า พระองค์โดยอุบายที่ทุกข์นี้ไม่พึงมีอีกเถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า ดูกร กัปปะ
เราจะบอกธรรม อันเป็นที่พึ่งของ ชนทั้งหลาย ผู้อันชราและมรณะครอบงำ แล้ว ดุจที่พึ่งของชนทั้งหลายผู้อยู่ในท่าม กลางสาคร เมื่อคลื่นเกิดแล้ว มีภัยใหญ่ แก่ท่าน ธรรมชาติไม่มีเครื่องกังวล ไม่มี ความถือมั่น นี้เป็นที่พึ่ง หาใช่อย่างอื่นไม่ เรากล่าวที่พึ่งอันเป็นที่สิ้นไปแห่งชรา และ มรณะว่านิพพาน ชนเหล่าใดรู้นิพพานนั้น แล้ว มีสติ มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับกิเลสได้ แล้ว ชนเหล่านั้นไม่อยู่ใต้อำนาจของมาร ไม่เดินไปในทางของมาร.
จบกัปปมาณวกปัญหาที่ ๑๐
อรรถกถากัปปสูตรที่ ๑๐
กัปปสูตร มีคำเริ่มต้นว่า มชฺเฌ สรสฺมึ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มชฺเฌ สรสฺมึ ท่านอธิบายว่า ในสาครอัน เป็นท่ามกลางเพราะไม่มีเบื้องต้นที่สุดปรากฏ. บทว่า ติฏฺฐนฺตํ คือผู้ตั้งอยู่. บทว่า ยถายิทํ นาปรํ สิยา กัปปมาณพทูลว่า ขอพระองค์จงตรัสบอก ที่พึ่งแก่ข้าพระองค์โดยอุบายที่ทุกข์นี้ไม่พึงมีอีกเถิด. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงพยากรณ์ความนั้นแก่กัปป- มาณพนั้น จึงได้ตรัสคาถาสามคาถา.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อกิญฺจนํ ไม่มีเครื่องกังวล คือตรงกันข้าม กับที่มีเครื่องกังวล. บทว่า อนาทานํ ไม่ยึดมั่น คือตรงกันข้ามกับ ความยึดมั่น ท่านอธิบายว่า เข้าไปสงบความกังวลและความยึดมั่น. บทว่า อนาปรํ หาใช่ อย่างอื่นไม่ คือเว้นจากที่พึ่งอันไม่เป็นข้าศึกกับที่พึ่งอื่น. ท่านอธิบายว่าเป็นที่พึ่ง ประเสริฐที่สุด. บทว่า น เต มารสฺส ปฏฺฐคู ได้แก่ชนเหล่านั้นไม่เดินไปในทาง ของมาร คือไม่เป็นศิษย์คอยบำรุงบำเรอมาร. บทที่เหลือในบททั้งปวงชัดเจนดีแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระสูตรแม้นี้ ด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัต ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถากัปปสูตรที่ ๑๐
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๙๓๘
ชตุกัณณีปัญหาที่ ๑๑ (ว่าด้วยธรรมเครื่องละชาติชรา)
[๔๓๕] ชตุกัณณีมาณพทูลถามปัญหาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร ข้า พระองค์ได้ฟังว่าพระองค์เป็นผู้ไม่ใคร่กาม จึงมาเฝ้าเพื่อทูลถามพระองค์ผู้ล่วงห้วงน้ำคือ กิเลสเสียได้ ไม่มีกาม ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระ- เนตรคือพระสัพพัญญุตญาณเกิดพร้อมแล้ว ขอพระองค์ตรัสบอกทางสันติ ข้าแต่พระผู้ มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์จงตรัสบอกทาง สันตินั้นแก่ข้าพระองค์ตามจริงเถิด.
เพราะว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมี เดช ครอบงำกามทั้งหลายเสียแล้วด้วยเดช เหมือนพระอาทิตย์มีเดช คือ รัศมี ครอบ- งำปฐพีด้วยเดชไปอยู่ในอากาศ ฉะนั้น ข้า แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมเครื่องละชาติ และชรา ณ ที่นี้ ที่ข้าพระองค์ควรจะรู้แจ้ง แก่ข้าพระองค์ผู้มีปัญญาน้อยเถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า
ดูกร ชตุกัณณี ท่านได้เห็นซึ่งเนก ขัมมะโดยความเป็นธรรมอันเกษมแล้ว จง นำความกำหนัดในกามทั้งหลายออกไปเสีย ให้สิ้นเถิด อนึ่ง กิเลสชาติเครื่องกังวลที่ ท่านยึดไว้แล้ว (ด้วยอำนาจตัณหาและทิฏฐิ) ซึ่งควรจะปลดเปลื้องเสีย อย่ามีแล้วแก่ท่าน. กิเลสเครื่องกังวลใดได้มีแล้วในกาล ก่อน ท่านจงทำกิเลสเครื่องกังวลนั้นให้ เหือดแห้งเสียเถิด กิเลสเครื่องกังวลในภาย หลัง อย่าได้มีแก่ท่าน ถ้าท่านจักไม่ถือเอา กิเลสเครื่องกังวลในท่ามกลางไซร้ ท่านจัก เป็นผู้สงบเที่ยวไป.
ดูกร พราหมณ์ เมื่อท่านปราศจาก ความกำหนัดในนามและรูปแล้วโดยประการ ทั้งปวง อาสวะทั้งหลาย อันเป็นเหตุให้ไป สู่อำนาจแห่งมัจจุราช ก็ย่อมไม่มีแก่ท่าน.
จบชตุกัณณีมาณวกปัญหาที่ ๑๑
อรรถกถาชตุกัณณิสูตรที่ ๑๑
ชตุกัณณิสูตร มีคำเริ่มต้นว่า สุตฺวานหํ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สุตฺวานหํ วีรํ อกามกามึ ข้าพระองค์ได้ ฟังว่าพระองค์ไม่ใคร่กาม คือ ข้าพระองค์ได้ฟังว่าพระพุทธเจ้าชื่อว่าผู้เป็นวีระ ผู้ไม่ใคร่กาม เพราะไม่ใคร่กามทั้งหลายโดยนัยมีอาทิว่า อิติปิ โส ภควา ดังนี้. บทว่า อกามมาคมํ ผู้ไม่มีกาม คือ ข้าพระองค์มาเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ไม่มีกาม. บทว่า สหาชเนตฺต ได้แก่ ผู้มีพระเนตรคือ พระสัพพัญญุตญาณเกิดขึ้นพร้อมแล้ว. บทว่า ยถาตจฺฉํ คือตามความเป็นจริง. บทว่า พฺรูหิ เม ขอพระองค์จงบอกแก่ข้าพระองค์เถิด ชตุกัณณิมาณพกล่าวทูล วิงวอนอีก. เพราะว่าเมื่อทูลวิงวอน ก็พึงกล่าวได้ตั้งพันครั้ง. ก็เรื่องอะไรจะกล่าว เพียงสองครั้งเล่า. บทว่า เตชี เตชสา คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระเดช ทรงครอบงำด้วยพระเดช. บทว่า ยมหํ วิชญฺญาย ชาติชรายอิธ วิปฺปหานํ คือ ข้าพระองค์พึงรู้ธรรมอันเป็นเหตุละชาติชรา ณ ที่นี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสบอกธรรมนั้นแก่ชตุกัณณิมาณพนั้น จึงได้ตรัสคาถาสามคาถา.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เนกฺขมฺมํ ทฏฺฐุ เขมโต เห็นเนกขัมมะโดย ความเป็นธรรมอันเกษม คือเห็นนิพพานและการปฏิบัติเพื่อถึงนิพพานว่าเป็นธรรม อันเกษม. บทว่า อุคฺคหึตํ ได้แก่ ยึดถือด้วยตัณหาและทิฏฐิ. บทว่านิรตฺตํ วา ได้แก่ ควรปลดเปลื้องเสีย. บทว่า มา เต วิชฺชิตฺถ คืออย่าได้มีแก่ท่าน. บทว่า กิญฺจนํ เครื่องกังวล ได้แก่ แม้เครื่องกังวลมีราคะเป็นต้นอย่าได้มีแก่ท่าน. บทว่า ปุพฺเพ ในกาลก่อน คือกิเลสที่เกิดขึ้นปรารภสังขารในอดีต. บทว่า พฺราหฺมณ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกชตุกัณณิมาณพ.บทที่เหลือในทุกบทชัดเจนดีแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระสูตรนี้ด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัตนั่นแหละ ด้วยประการฉะนี้.
เมื่อจบเทศนา ได้มีผู้บรรลุธรรมเช่นในสูตรก่อนนั่นแล.
จบอรรถกถาชตุกัณณิสูตรที่ ๑๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรัหนตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
กัปปปัญหา
(ว่าด้วยธรรมเป็นที่พึ่ง)
กัปปมาณพ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลให้พระองค์ตรัสบอกถึง ธรรมเป็นที่พึ่งของชนผู้ถูกชราและมรณะครอบงำ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ธรรม ไม่มีเครื่องกังวล ไม่มีความยึดมั่น นั่นแหละ เป็นที่พึ่ง ผู้ที่รู้นิพพาน มีสติ เห็นธรรมแล้วดับกิเลสได้ ย่อมไม่อยู่ในอำนาจของมาร ไม่ต้องเดินไปในทางของมาร
ข้อความโดยสรุป
ชตุกัณณีปัญหา
(ว่าด้วยธรรมเครื่องละชาติชรา)
ชตุกัณณีมาณพ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลให้พระองค์ตรัสบอกถึง ทางแห่งสันติ และธรรมเป็นเครื่องละชาติและชราได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ท่าน ได้เห็นเนกขัมมะโดยเป็นธรรมเกษมแล้ว กำจัด ความกำหนัดยินดีในกาม ปลดเปลื้องกิเลสเป็นเครื่องกังวล ก็จักเป็นผู้ไม่มีกิเลส จักเป็นผู้ที่สงบ สิ้นอาสวะ ไม่ต้องมีการเกิดการตายอีกต่อไป
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
ความหมายของขีณาสพ [อรรถกถา มูลปริยายสูตร]
กิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร มัจจุมารและเทวบุตรมาร ... คืออะไร
รัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันสูงสุดได้อย่างไร
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...