วันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ตรงกับวันที่ท่านพระโมคคัลลานะปรินิพพาน

 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่  2 ธ.ค. 2556
หมายเลข  24115
อ่าน  1,951

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

น้อมระลึกถึงว่า วันนี้ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ตรงกับวันที่ท่านพระโมคคัลลานะปรินิพพาน จึงเรียนขอความรู้ เกี่ยวกับ “ท่านพระโมคคัลลานะ” ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกว่าอยู่ในส่วนใดบ้าง และมีสาระสำคัญประการใด

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนา สำหรับคำอธิบายและกุศลทุกประการของทุกๆ ท่านค่ะ

ด้วยความเคารพ จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 2 ธ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธาตุ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ

พระมหาโมคคัลานะ เป็นอัครสาวก ผู้เลิศด้วยฤทธิ์ บำเพ็ญบารมี ๑ อสงไขย แสนกัป พระมหาโมคคัลลานะ ก่อนบวช เป็นสหายกับ ท่านพระสารีบุตร ชื่อเดิมของท่าน คือ โกลิตตะ สองสหายสัญญากันว่า ใครพบสัจจธรรมให้มาบอกกัน ท่านพระสารีบุตร ได้ฟังธรรมจากท่านพระอัสสชิ ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ได้มาบอกธรรมกับท่านพระมหาโมคคัลลานะ ทำให้ท่านบรรลุเป็นพระโสดาบันเช่นกัน เมื่อท่านพระมหาโมคคัลลานะบวชแล้วก็ได้ บำเพ็ญเพียรเกิดความง่วง พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พร้อมความเป็นอัครสาวก ผู้เลิศด้านฤทธิ์ ท่านบำเพ็ญบารมีมา ๑ อสงไขยแสนกัป ครับ

ดังพระไตรปิฎกที่ว่า

ดูกร โมคคัลลานะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล จักละความโงกง่วงได้ และเธอพึงศึกษาอย่างนี้อีกว่าเราจักไม่ถือตัว เข้าไปสู่ตระกูล เราจะไม่พูดถ้อยคำ อันเป็นเหตุให้ทุ่มเถียงกัน เราจักไม่สรรเสริญ ความคลุกคลี ด้วยหมู่ชนทั้งคฤหัสถ์ และ บรรพชิตแล้วตรัส ธาตุกัมมัฏฐานว่าด้วย การพิจารณากาย ด้วยอำนาจ ธาตุ ๖ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาศธาตุ และ วิญญาณธาตุ พิจารณา ธาตุเหล่านั้นว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเราไม่ควรยึดมั่นด้วยตัณหา และทิฏฐิ ท่านพระโมคคัลลานะได้บรรลุอรหัตตผล เป็นอัครสาวก ผู้เลิศด้วยฤทธิ์ หลังจากอุปสมบทแล้ว ๗ วัน

ส่วน ท่านพระมหาโมคคัลานะ ปรินิพพานวันนี้ หลังจากที่ถูกโจรทุบตี ซึ่งผลของกรรมของท่านก็เป็น ดังนี้

สำหรับ กรรมที่ทำให้ท่านพระมหาโมคคัลลานะถูกทุบตีจากพวกโจร และปรินิพพานด้วยเศษของกรรมที่ฆ่าบิดา มารดา ครับ เพราะ กรรมนั้นให้ผล จึงทำให้ถูกฆ่ามานับชาติไม่ถ้วนด้วยการทุบตี และต้องตกนรกนับชาติไม่ถ้วนเช่นกัน เพราะเหตุคือ การฆ่าบิดา มารดา ซึ่งจากที่ผู้ถามได้กล่าวไว้ครับว่า พระมหาโมคคัลลานะ ไม่ได้ฆ่าบิดา มารดา เพียงทุบตี เหตุใดจึงตกนรก ในความเป็นจริงนั้น พระสูตรแสดงไว้หลายส่วน ในเรื่องนี้ บางนัยก็กล่าวเพียงย่อ เพียงแค่ทุบตี เช่นในชาดก อรรถกถาสรภังคชาดก ก็กล่าวเพียงแค่ทุบตีบิดา มารดา ก็เป็นเพียงการกล่าวเพียงย่อๆ แต่ถ้าในส่วนของอรรถกถา คาถาธรรมบท และ อปทาน จะอธิบายละเอียดครับว่า ท่านทุบตี บิดา มารดาจนสิ้นชีวิต ถึงแก่ความตาย เพราะผลของกรรมนั้นทำให้ตกนรกหลายแสนปีนับประมาณไม่ได้ และต้องถูกทุบตีจนตายนับชาติไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น กรรมถึงความสำเร็จ คือ บิดา มารดา ถูกทุบตี จนสิ้นชีวิต จึงเป็นเหตุให้ไปอบายภูมิ มี นรก เป็นต้นได้ครับ ซึ่งขอเล่าเรื่องโดยย่อดังนี้ ครับ

ในสมัยพุทธกาล ลาภ สักการะเกิดกับพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก พวกนอกศาสนาเสื่อมลาภสักการะ จึงเกิดความริษยา จึงคิดกันว่า เพราะอาศัยพระมหาโมคคัลลานะผู้มีฤทธิ์ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญลาภสักการะ พวกเราเสื่อม ควรที่จะฆ่าพระเถระเสีย จึงจ้างโจร พวกโจรจึงไปล้อมกุฏิพระเถระ พระเถระก็หนีไปทางรูกุญแจด้วยฤทธิ์ หนีไปทางช่อฟ้า จนท้ายที่สุด ไม่สามารถหนีไปได้ เพราะผลของกรรมที่ฆ่าบิดา มารดาให้ผล จึงถูกทุบตี จากพวกโจร กระดูกแหลกละเอียด พระมหาโมคคัลลานะ ประสานกระดูกด้วยฌาน ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลลาปรินิพพาน และปรินิพพาน พวกโจรถูกพระเจ้าอชาติศัตรูจับได้ และจับพวกนอกศาสนา พระราชาให้ฆ่าอย่างทรมานกับพวกชนเหล่านั้น พระภิกษุประชุมกันว่า กรรม คือ การถูกฆ่าของพระมหาโมคคัลลานะไม่สมควรเลย พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า พวกเธอประชุม สนทนากันด้วยเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าเมื่อทรงทราบ ทรงตรัสว่า กรรมที่โมคคัลลานะ สมควรแล้ว ทรงตรัสเล่าเรื่องในอดีตกาลว่า สมัยหนึ่ง มีกุลบุตร เลี้ยงมารดา บิดา อยู่ผู้เดียว มารดาบิดาผู้ตาบอด สงสารบุตร จึงนำภรรยามาให้ แต่เพราะภรรยาเป็นคนพาล เพียงอยู่ด้วยกัน 2-3 วันก็ไม่อยากให้บิดา มารดาของกุลบุตรผู้นั้นอยู่ จึงกล่าวว่า บอกกับสามีว่า บิดามารดาของท่านทำไม่ดี สามีไม่เชื่อ จึงใส่ร้ายโดยการทำพื้นสกปรก และกล่าวหาว่าบิดา มารดาทำ สามีที่เป็นอดีตชาติของพระมหาโมคคัลลานะเชื่อ จึงหาอุบาย โดยการกล่าวกับบิดา มารดาผู้ตาบอดว่า จะพาไปเยี่ยมญาติ ระหว่างทางแกล้งทำเป็นเสียงโจร เพราะความรักลูก ของ บิดา มารดา จึงไล่ให้ลูกชายหนีไป

ส่วน กุลบุตรนั้นก็ทุบ ตี บิดา มารดา จนถึงแก่ความตาย ด้วยกรรมนั้นทำให้ท่านตกนรก เป็นแสนปี และถูกทุบตีตาย 100 ชาติ ครับ

ดังข้อความในพระไตรปิฎก

ขอเชิญคลิกอ่านที่นี่

มารดาบิดาสิเนหาในบุตรยิ่งกว่าตน [ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท]

นี่แสดงให้เห็นถึงกำลังของกิเลส แม้จะอบรมปัญญามามากแล้ว แต่เมื่อใดยังเป็นปุถุชนก็สามารถทำกรรมหนักได้ ไม่ควรประมาทในกำลังของกิเลสเลย ซึ่งจะขออธิบายประเด็นอีกประเด็นในเรื่องนี้ เพราะ อาจจะมีหลายท่านสงสัยอยู่ คือ เหตุใดท่านพระมหาโมคคัลานะ มีฤทธิ์มาก จึงไม่หนีโจร ทำให้โจรทุบได้ ซึ่งในประเด็นนี้ หากได้อ่านจะเห็นว่า พระมหาโมคคัลลานะ ใช้ฤทธิ์หนีโจรหลายครั้งแล้ว จนครั้งสุดท้าย ท่านรู้ว่ากรรมจะให้ผล จึงไม่สามารถหนีได้ ซึ่งในอรรถกถาในส่วนพระไตรปิฎกเล่มอื่นก็อธิบายเพิ่มเติมครับว่า เพราะ เหตุที่กรรมจะให้ผล ไม่มีกำลังอะไรจะใหญ่เท่า กำลังคือ กรรม แม้แต่ผู้ที่มีฤทธิ์มาก สามารถทรมานนาคราชปราบนาคราชได้ ฤทธิ์นั้นก็ถึงความทุรพล คือ ไม่สามารถมีฤทธิ์ได้ ไม่สามารถเหาะหนีได้ เพราะ กรรมให้ผล ครับ ท่านจึงถูกทุบตี ปรินิพพาน ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านเรื่องราวของท่านพระมหาโมคคัลลานะ ที่นี่ ครับ

กรรมให้ผล ท่านพระมหาโมคคัลลานะ [ขุททกนิกาย ชาดก]

เรื่องพระมหาโมคคัลลานะ พระเถระถูกพวกโจรทุบ

พระมหาโมคคัลลานไปเทวโลกและนรก [ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท]

พระมหาโมคคัลลานะไปหาพระสารีบุตร [สารีปุตตสูตร]

พระโมคคัลลานะเข้าไปหาท้าวสักกะ [จูฬตัณหาสังขยสูตร]

พระพุทธเจ้าสอนพระโมคคัลลานะเรื่องแก้ง่วง ๘ วิธี ช่วยแปลให้หน่อยครับ

พระสารีบุตรไปหาพระมหาโมคคัลลานะ [โมคคัลลานสูตร]

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 2 ธ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อได้ศึกษาถึงอกุศลกรรมที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กระทำไว้ในอดีต ย่อมทำให้เข้าใจได้ว่ากรรมที่กระทำไว้ไม่ได้หายไปไหน เมื่อถึงคราวที่กรรมจะให้ผล ผลก็ย่อมเกิดขึ้นตามสมควรแก่เหตุ จะอยู่ที่ไหน ก็ไม่พ้น เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีเป็นอย่างยิ่ง

การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง แม้ในเรื่องกรรมและผลของกรรมก็เช่นเดียวกัน ไม่พ้นไปจากธรรมเลย ไม่พ้นจากชีวิตประจำวันด้วย ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ย่อมจะเป็นผู้มีความเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลแต่ละคน หรือแม้กระทั่งเกิดกับตัวเอง ไม่ว่าดีหรือร้าย น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนาก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะกรรมที่เคยได้กระทำมาแล้วทั้งสิ้น ไม่มีใครทำให้เลยซึ่งจะเห็นได้ว่า ถ้าไม่มีเหตุคือกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว ผลที่จะเกิดย่อมมีไม่ได้ แต่เพราะมีเหตุคือกรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อได้โอกาสที่กรรมจะให้ผล ผลจึงเกิดขึ้น กรรม จึงยุติธรรมเที่ยงตรงเสมอในการให้ผล

พระธรรมที่ได้ฟังได้ศึกษา เป็นเครื่องเตือนที่ดีสำหรับทุกแง่มุมของชีวิต จึงควรอย่างยิ่งที่ทุกคนจะได้พิจารณาว่า ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่ความตายเป็นสิ่งแน่นอนสำหรับทุกคน ควรที่จะเห็นโทษของกุศลที่เป็นเหตุให้กระทำกุศลกรรมแล้วจะเป็นเหตุให้ได้รับผลที่ไม่ดีข้างหน้า โดยไม่เพียงแค่กลัวผลของกุศลกรรมเท่านั้น ต้องกลัวที่เหตุคือกุศลกรรม ด้วย ดังนั้นเมื่อจะสะสมกรรมที่จะทำให้เกิดผลในภายหน้า ก็พึงกระทำเฉพาะกรรมอันงาม คือกุศลกรรม เท่านั้น ส่วน สิ่งที่ไม่ดีคือกุศลทั้งหลายซึ่งไม่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและแก่บุคคลอื่น ไม่ควรที่จะสะสมให้มีมากขึ้น เพราะเหตุว่า กุศลกรรม เป็นที่พึ่งไม่ได้ แต่สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้านั้น ก็คือ กุศล ความดีทั้งหลาย เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 2 ธ.ค. 2556

พระโมคคัลลานะ เลิศด้วยฤทธิ์ บำเพ็ญบารมี 1 อสงไขยแสนกัป ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 6 ธ.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 14 มิ.ย. 2564
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ