ที่สอนกันว่า ไม่จำเป็นต้องรู้ธรรมมาก ให้ทำไปเลย จะรู้เอง
กราบเรียนถามท่านวิทยากรนะครับ
วันนี้นั่งอ่าน Facebook คนแชร์ธรรมะมาให้อ่าน เป็นเพจธรรมะหนึ่ง เขากล่าวว่าคนที่รู้ธรรมะมากจะไม่ค่อยพ้นทุกข์ ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ก้าวหน้าเพราะรู้ธรรมเยอะ สู้ไม่รู้อะไรเลยดีกว่า ให้ทำแบบไม่รู้อะไรไม่คิดอะไร กลับก้าวหน้ามากกว่า ผมอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ ก้าวหน้าแบบที่เขาว่าเป็นอย่างไร ถ้าไม่ให้รู้อะไรเลยแล้วจะมีพระธรรมตั้งมากมายไปทำไม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปัญญา กว่าจะถึงการรู้ความจริง ปัญญาก็จะต้องเป็นไปตามลำดับ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฏิเวธ
ปริยัติ ปริ (รอบ) + ยตฺติ (ศึกษา , เล่าเรียน) ระเบียบคำอันควรศึกษาโดยรอบ หมายถึง พระพุทธพจน์ หรือ พระไตรปิฏก (รวมทั้งอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา และคำอธิบายต่างๆ เพื่อให้เข้าใจในหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
ปฏิบัติ ปฏิ (เฉพาะ) + ปตฺติ (การถึง)
การถึงเฉพาะ หมายถึง สัมมาปฏิบัติ คือการปฏิบัติชอบ การปฏิบัติถูกต้อง ได้แก่ขณะที่สภาพธรรมฝ่ายดีงามเกิดขึ้นทำกิจของตน เป็นไปในกุศลขั้นต่างๆ โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมขั้นวิปัสสนาภาวนา หมายถึง ขณะที่สติพร้อมสัมปชัญญะที่เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรม และรู้ความจริงว่าเป็นเพียงนามธรรมรูปธรรมเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย และไม่มีใครเป็นผู้ปฏิบัตินอกจากสติสัมปชัญญะและโสภณธรรมที่ทำหน้าที่ปฏิบัติกิจของตนๆ ความเข้าใจถูกต้องในเรื่องความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม จะเป็นปัจจัยให้มีการปฏิบัติที่ถูกต้องและละความยึดถือความเป็นตัวตนได้ในที่สุด
ปฏิเวธ ปฏิ (ตลอด) + วิธ (การแทง)
การแทงตลอด หมายถึง การตรัสรู้ธรรม บรรลุมรรคผล นิพพาน ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาปริยัติและปฏิบัติที่ถูกต้อง เพราะอาศัยปริยัติ คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า ที่แสดงความจริงของสภาพธรรมต่างๆ โดยนัยต่างๆ มีพระวินัย พระสูตรและพระอภิธรรม ย่อมทำให้ถึงการปฏิบัติ คือ การระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา และเมื่อปฏิบัติบ่อยๆ คือสติและปัญญาเกิดบ่อยๆ ย่อมถึงการบรรลุธรรม คือ ปฏิเวธได้นั่นเองครับ ดังนั้น เพราะอาศัยปริยัติ การศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง ย่อมถึงการปฏิบัติ คือ ปัญญาที่รู้ความจริงในขณะนี้ และถึงปฏิเวธ คือ การดับกิเลส บรรลุ มรรค ผล ครับ
ปริยัติที่ถูกต้อง ย่อมนำไปสู่ปฏิบัติที่ถูกต้อง
ปฏิบัติที่ถูกต้อง ย่อมนำไปสู่ปฏิเวธที่ถูกต้อง (รู้แจ้งอริยสัจจธรรม) การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมที่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งสำคัญและเกื้อกูลต่อการปฏิบัติและปฏิเวธ ครับ
การศึกษาธรรม อบรมปัญญา เป็นไปตามลำดับ
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 402
ข้อความบางตอนจาก ปหาราทสูตร
ดูก่อนปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับมีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตตผลโดยตรง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ในธรรมวินัยที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
--------------------------------
การศึกษาไปตามลำดับ จึงหมายถึง เริ่มจากการฟังให้เข้าใจ ซึ่งสิ่งที่ควรศึกษา ให้เข้าใจในขั้นการฟัง เป็นเบื้องต้น ที่สำคัญ คือ คำว่า ธรรม คืออะไร เพื่อให้เข้าใจถูกในเบื้องต้นว่ามีแต่ธรรม ศึกษาเพื่อเข้าใจธรรม ก็ย่อมน้อมไปสู่การปฏิบัติ ที่เป็นการศึกษา สิกขา ในขั้นปฏิบัติธรรม ส่วนเมื่อมีความเข้าใจถูกเบื้องต้นในขั้นการฟังในเรื่องสภาพธรรมแล้ว ก็สามารถศึกษาธรรมส่วนอื่นๆ ได้ ไม่จำกัด เพียงแต่ว่าจะต้องตั้งจิตไว้ชอบ ให้เข้าใจว่า ศึกษาไม่ว่าเรื่องใด ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมในขณะนี้ และเป็นไปเพื่อละคลายกิเลสเป็นสำคัญ ครับ
ปัญญา เป็นพืชที่โตช้ามาก ถ้าหากไม่เริ่มสะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ก็จะไม่สามารถถึงความเจริญสมบูรณ์พร้อมได้ เพราะฉะนั้นแล้วจึงควรอย่างยิ่งที่แต่ละบุคคล จะเห็นประโยชน์ของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในภพนี้ชาตินี้ที่ได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนาว่า การที่จะมีโอกาสได้ฟังพระธรรมในภพนี้ชาตินี้จะเหลืออยู่อีกเท่าใด ปัญญาต้องอบรมเจริญขึ้น โดยไม่ต้องรอ และพระธรรมก็เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก การมีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย ย่อมเป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะความเข้าใจที่ได้สะสมไว้ไม่สูญหายไปไหน มีแต่จะเจริญมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า การฟังในครั้งหลังๆ เทียบกับการฟังครั้งแรกๆ ไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าความรู้ความเข้าใจจะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ นั่นเอง ครับ.
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
พระธรรมกับการดำเนินชีวิต [คำว่า ปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธ]
เชิญคลิกฟังที่นี่ครับ
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ต้องตรงกัน
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าหากว่าไม่มีการศึกษาพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่มีทางที่จะมีปัญญาเจริญขึ้นในขั้นต่อไปที่เป็นขั้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง จนถึงขั้นประจักษ์แจ้งความจริง ดับกิเลสตามลำดับขั้นได้เลย ถ้าหากว่าไม่ต้องเรียนปริยัติ ให้ไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมาเพื่อที่จะได้รู้ความจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คงไม่ต้องมีก็ได้ แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมแล้ว ทรงแสดงให้ผู้อื่นได้รู้ตามความเป็นจริง ทรงแสดงพระธรรมตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ก็เพื่อประโยชน์คือความเข้าใจถูกเห็นถูกของผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง เพราะธรรมไม่ง่ายและไม่สามารถคิดธรรมเอาเองได้
พระอริยสงฆ์สาวกในอดีตเริ่มตั้งแต่พระอัญญาโกญฑัญญะ เป็นต้น ล้วนเป็นผู้ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วทั้งนั้น ถ้ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว ก็จะไม่ว่างเว้นจากการศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาเลย ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ดำเนินตามหนทางที่พระอริยสงฆ์สาวกดำเนินแล้ว ซึ่งเป็นหนทางเดียวและเป็นหนทางเดิมคือหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา เพราะมีปริยัติที่ถถูกต้อง ปฏิปตติคือการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏด้วยสติและปัญญา จึงมีได้ และเพราะมีปฏิปัตติที่ถูกต้อง ปฏิเวธ จึงมีได้ ซึ่งจะต้องมีรากฐานสำคัญตั้งแต่ในขั้นปริยัติ คือ การรอบรู้ในพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาครับ
สาธุ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
พอดีได้ไปสนทนาเพิ่มเติมกับเพื่อนใน facebook เขาบอกว่า ปริยัติจะทำให้เกิดปลิโพธ ทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ขัดขวางการเจริญธรรม ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้นะครับ อยากเรียนขอท่านวิทยากรอธิบายทีว่าที่เขากล่าวนั้นเขาเอาจากไหนมากล่าว และเป็นสัจจธรรมหรือไม่