สัมภเวสี คือ อะไร

 
ลูกศิษย์ธรรม
วันที่  21 ส.ค. 2557
หมายเลข  25362
อ่าน  44,197

สัมภเวสี คืออะไร อยากให้ช่วยอธิบายให้ละเอียด ยกพระสูตร ยกพุทธวจน พร้อมยกตัวอย่างให้พอทราบโดยละเอียดด้วยครับ

ขอร่วมสนทนาธรรมกันครับ.


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ลูกศิษย์ธรรม
วันที่ 21 ส.ค. 2557

เทวดาที่เกิดแบบ อุปาติกะ จะเป็นสัมภเวสีแค่ ปฏิสนธิจิตแรกเท่านั้นครับ เพราะจิตดวงที่สองต่อมา ก็ได้อายตนะครบแล้ว หรือได้ชาติแล้ว..........เป็นเช่นนั้นหรือ?

ขอเชิญทุกท่านร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ลูกศิษย์ธรรม
วันที่ 21 ส.ค. 2557

สัมภเวสี หมายถึง สัตว์โลกที่ยังแสวงหาที่เกิด คือยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยใหญ่อยู่ เมื่อยังไม่สำเร็จพระอรหันต์ตราบใด ก็ยังเป็นสัมภเวสีอยู่ตราบนั้น แต่สัมภเวสีนี้ ยังมีชาวพุทธอยู่ไม่น้อยที่เข้าใจว่า ได้แก่สัตว์ที่ยังท่องเที่ยวแสวงหาที่เกิดอยู่ คือยังไม่ทันเกิดในภพใดภพหนึ่ง หลังจากที่ตายไปแล้ว โดยเฉพาะชาวพุทธฝ่ายมหายานบางนิกาย เชื่อว่าผู้ที่ตายแล้วจะต้องอยู่ในอันตรภพ (ระหว่างภพ) เป็นเวลา ๗ วัน ๑๕ วัน ๑ เดือนบ้าง เพื่อรอคอยปฏิสนธิ จึงจะไปเกิดในกำเนิดทั้ง ๔ กำเนิดใดกำเนิดหนึ่งได้ สัตว์ที่อยู่ในอันตรภพนี้คือสัมภเวสี เพราะยังแสวงหาภพที่เกิดอยู่ ความเชื่อเรื่องอันตรภพนี้ก็ยังมีอยู่แม้ในหมู่ชาวพุทธไทยบางท่าน ทั้งนี้เพราะได้อิทธิพลจากพระพุทธศาสนามหายาน นิกายมนตรยาน ซึ่งเคยรุ่งเรืองอยู่ในประเทศไทย ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๗

แต่ตามหลักความจริงในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแล้ว สัตว์ที่อยู่ในอันตรภพนี้ไม่มีเลย เพราะเมื่อความตายบังเกิดขึ้น จิตเคลื่อนไป ปฏิสนธิจิตก็ปรากฏในทันที จิตหรือวิญญาณจะเที่ยวเร่ร่อนอยู่โดยไม่มีรูปร่าง หรือมีภพที่เกิดนั้น ไม่มีเลย เพราะจิตนั้นจะต้องอาศัยร่างเป็นที่อยู่ ดังคำบาลีว่า คูหาสยัง...จิตนี้มีถ้ำคือกายเป็นที่อาศัย ถ้าหากว่าผู้ตายแล้วจะต้องไปรออยู่ในอันตรภพ ก็เท่ากับว่าภพหรือภูมิที่เกิดของสัตว์ มีเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่ง ซึ่งเดิมมีอยู่ ๓๑ ภูมิ ก็จะต้องเป็น ๓๒ ภูมิ แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ภูมิที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มี ๓๑ ภูมิ คือ อบาย ๔ สวรรค์ ๖ รูปพรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔ และมนุษย์โลก ๑ เท่านั้น ผู้ที่ตายแล้ว ถ้ายังมีกิเลสก็ต้องเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่งทันที ไม่มีการรอหาที่เกิด แต่การที่จะไปเกิดในภพใดภพหนึ่งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับแรงเหวี่ยงของกรรมที่ส่งไป ฉะนั้น การที่คนบางคนพบเห็นว่า ญาติคนนั้น คนนี้ตายไปแล้ว มาปรากฏตัวให้เห็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็หมายถึงว่า เขาได้ไปเกิดแล้วในภพใหม่ แต่เป็นกำเนิดของโอปปาติกะ คือ อาจจะเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือเป็นเทวดาจำพวกใดจำพวกหนึ่งก็ได้ ซึ่งกำเนิดพวกนี้เป็น อทิสสมานกาย มองดูด้วยตาเนื้อไม่เห็น จะปรากฏแก่เราได้ ก็เมื่อเขาทำกายให้หยาบ ด้วยประสงค์จะแสดง หรือบอกให้ผู้ที่เขาต้องการจะให้รู้ได้ทราบเท่านั้น.........

พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายถึง ความแตกต่างระหว่างสัตว์ที่มีชื่อว่า สัมภเวสี และสัตว์ที่ชื่อว่า ภูตะ ไว้ในอรรถกถาคัมภีร์ขุททกนิกาย ชื่อ ปรมัตถโชติกา หน้า ๒๗๗ ตอนอธิบายบาลี เมตตสูตร ข้อที่ว่า... “ภูตา วา สมฺภเวสี วา สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตฺตตา ขอสัตว์ทุกจำพวกทั้งที่เป็นภูตะ ทั้งที่เป็นสัมภเวสี จงถึงความสุขเถิด...” โดยแยกอธิบายออกเป็น ๓ นัย ดังนี้

๑ คำว่าภูตะ หมายถึงสัตว์ที่เกิดแล้ว คือเกิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว คำว่าภูตะนี้ เป็นชื่อของพระขีณาสพทั้งหลาย ผู้ที่เกิดเสร็จแล้วนั่นเอง จึงไม่มีการนับว่าจักเกิดต่อไปอีก ส่วนเหล่าสัตว์ที่ยังแสวงหาภพอยู่ชื่อว่า สัมภเวสี คำว่า สัมภเวสี นี้ เป็นชื่อของพระเสขะและปุถุชนทั้งหลาย ผู้ยังแสวงหาภพที่เกิดอยู่อีกต่อไป (คือผู้ที่ต้องเกิดอีกต่อไป)

๒ อีกประการหนึ่ง ในบรรดากำเนิดทั้ง ๔ พวกสัตว์ที่เกิดในไข่และสัตว์ที่เกิดในครรภ์ ชื่อว่า สัมภเวสี ตราบเท่าที่ยังไม่ทำลายกระเปาะไข่ และยังไม่ทำลายรกออกมา ต่อเมื่อสัตว์เหล่านั้นทำลายกระเปาะไข่ หรือทำลายรกออกมาข้างนอกได้แล้ว จึงชื่อว่า ภูตะ ส่วนพวกสัตว์ที่เกิดในเถ้าไคล และพวกสัตว์ที่เกิดผุดขึ้น (โอปปาติกะ) ชื่อว่า สัมภเวสี ในขณะแห่งปฐมจิต (คือจิตดวงแรกที่มาปรากฏในภพนั้น) ชื่อว่า ภูตะ นับตั้งแต่จิตดวงที่ ๒ เป็นต้นไป

๓ อีกประการหนึ่ง จำพวกสังเสทชสัตว์ (สัตว์ที่เกิดในเถ้าไคล) และจำพวกโอปปาติกสัตว์ ก็ชื่อว่า สัมภเวสี ตราบเท่าที่ตนยังไม่เคลื่อนไปจากอิริยาบถที่ตนเกิด สู่อิริยาบถอื่นต่อจากนั้นไป (คือเมื่อเปลี่ยนไปสู่อิริยาบถอื่นแล้ว) จึงชื่อ ภูตะ

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ จัดเป็นสัมภเวสีทั้งสิ้น.

เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 21 ส.ค. 2557

-ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องมีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไป ยังเดินทางต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ ดังนั้นเมื่อกล่าวอย่างกว้างๆ แล้ว ใครก็ตาม ที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ได้ชื่อว่า เป็นสัมภเวสี ทั้งหมด เพราะคำว่า สัมภเวสี แปลตามศัพท์ได้ว่า ผู้แสวงหาการเกิด หมายความว่า เป็นผู้ยังต้องเกิดอีก ตามข้อความที่ว่า [เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่มที่ ๑๗ -หน้าที่ ๕๖๖, ๕๖๗ เหล่าสัตว์ที่เสาะหา คือ แสวงหาการสมภพ คือ การเกิด ได้แก่ การบังเกิดขึ้น ชื่อว่า สัมภเวสี.

สัตว์เหล่าใด กำลังแสวงหาการเกิด สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่า สัมภเวสี, คำว่า สัมภเวสี นี้ เป็นชื่อของพระเสขะและปุถุชนผู้กำลังแสวงหาการเกิดต่อไป เพราะยังละสังโยชน์ในภพไม่ได้ (คือ ละความติดข้องในภพ ยังไม่ได้) .


สัตว์โลก มีความแตกต่างกัน สัตว์บางพวกเกิดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ครบ ได้แก่ อบายภูมิ ๔, มนุษย์ภูมิ, สวรรค์ ๖ ชั้น และรูปพรหมภูมิ ๑๖ เว้น อสัญญสัตตาพรหม บางพวกเกิดในภูมิที่มีขันธ์เดียว (อสัญญสัตตาพรหมภูมิ) บางพวกเกิดในภูมิที่มีขันธ์ ๔ (เฉพาะนามขันธ์) คือ เกิดเป็นอรูปพรหมบุคคล ในอรูปพรหมภูมิ

เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ เป็นผลของอกุศลกรรม, เกิดเป็นสัตว์ในสุคติภูมิ ด้วยผลของกุศลกรรม, เกิดในรูปพรหมภูมิ เป็นผลของรูปฌานกุศล, เกิดในอรูปพรหมภูมิ เป็นผลของอรูปฌานกุศล

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ถ้าเกิดเป็นสัตว์ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็เป็นสัมภเวสีมีขันธ์ ๕ ทั้งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ถ้าเกิดในภูมิที่มีเพียงรูปธรรม ก็เป็นสัมภเวสีมีเพียงรูปขันธ์ เกิดขึ้นเป็นไป ถ้าเกิดเป็นสัตว์ที่มีขันธ์ ๔ ก็เป็นสัมภเวสีมีเพียงนามขันธ์ ๔ (สัญญา เวทนา สังขาร และวิญญาณ) เกิดขึ้นเป็นไป ซึ่งเมื่อกล่าวโดยสภาพธรรมแล้ว ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ลูกศิษย์ธรรม
วันที่ 21 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 21 ส.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชีวิตในแต่ละภพแต่ละชาตินั้น เป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมเท่านั้น สภาพธรรมเหล่านั้น ได้แก่ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่สภาพรู้)

เป็นความจริงที่ว่า สัตว์โลกที่ยังมีกิเลส มี ตัณหา และ อวิชชา เป็นต้น ก็ยังต้องมีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไป เป็นผู้เดินทางในสังสารวัฏฏ์ จากชาตินี้ไปสู่ชาติหน้า จากชาติหน้าก็ไปสู่ชาติต่อๆ ไปอีก ยังไม่พ้นไปจากความเป็นสัมภเวสี ซึ่งเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เนื่องจากว่าเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เป็นมาแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง และในชาตินี้ เมื่อละจากโลกนี้ไป ก็ต้องเกิดในภพใหม่อีก ขึ้นอยู่กับว่ากรรมใดจะให้ผลนำเกิด กล่าวคือ ถ้ากรรมดีให้ผลก็ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เกิดเป็นเทวดา แต่ถ้าถึงคราวที่อกุศลกรรมให้ผลก็ทำให้เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ถึงแม้จะเกิดเป็นอะไรก็ตาม ก็ยังต้องเดินทางต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ เพราะบุคคลผู้ที่สิ้นสุดการเดินทางในสังสารวัฏฏ์แล้ว ไม่ต้องเกิดอีก มีเพียงประเภทเดียวเท่านั้น คือ พระอรหันต์ ซึ่งเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง

การเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่งนั้น ไม่ยั่งยืนเลย สั้นมาก เกิดมาในแต่ภพแต่ละชาติ ต้องสิ้นสุดที่ความตายทั้งนั้น แต่เมื่อยังไม่ได้ดับเหตุที่ทำให้เกิด คือ กิเลส ก็ต้องเกิดอีกในชาติต่อไปอย่างแน่นอน สำหรับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น เป็นผลของกุศลกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ยากแสนยาก เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ยากแสนยากแล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เป็นผู้ประพฤติธรรม ตั้งอยู่ในธรรมอันงาม เพราะภูมิมนุษย์เป็นภูมิที่เอื้ออำนวยให้สามารถเจริญกุศลได้ทุกๆ ประการ ทั้งในเรื่องของการให้ทาน การรักษาศีล การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น การอ่อนน้อมถ่อมตน การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เป็นต้น และประการที่สำคัญที่สุด การที่ไม่จะประมาทจริงๆ คือ เห็นประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรม, ความเข้าใจพระธรรม จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต พึ่งได้ตั้งแต่ในเบื้องต้นจนกระทั่งสูงสุด คือ สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับ ซึ่งจะต้องไม่ขาดเหตุที่ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุก ๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ลูกศิษย์ธรรม
วันที่ 21 ส.ค. 2557

บางที่อธิบายว่า สัมภเวสี คือการแสวงหาที่เกิดของภพนั้นๆ (กามภพ รูปภพ อรูปภพ) เช่น เมื่อจุติจากมนุษย์ (กามภพ) ไปผุดเกิดโตขึ้น เป็นเทวดา (กามภพ) เทวดาที่เกิดแบบ โอปปาติกะ จะเป็นสัมภเวสีแค่ ปฏิสนธิจิตแรกเท่านั้นเพราะจิตดวงที่สองต่อมา ก็ได้อายตนะครบแล้ว หรือได้ชาติแล้ว คือชาติของเทวดา (ซึ่ง ภพกับชาติต่างกัน ใช่มั้ยครับ)

ปฏิสนธิ จิต แรกนั้น เป็นสัมภเวสีแน่นอนครับ แต่พวกเกิดแบบอุปาติกะ ก็จะจบการเป็นสัมภเวสีแค่ ปฏิสนธิจิตแรก ส่วนสัตว์พวกอื่น ก็จะเรียกว่า เป็นภาวะสัมภวะ ไปจนกว่าจะได้อายตนะครบครับ หรือเมื่ออายตนะทำงานได้ คือตอน หยั่งลงเกิด หรือการคลอดหรือตอนออกจากไข่ ออกจากดักแด้ เพราะ ได้ภพ จึงได้ ชาติ ภพ กับ ชาติ เป็นคนละอย่างกันครับ ปฏิสนธิจิต คือ ได้ภพ ส่วนการพ้นจากการเป็นสัมภเวสี คือ การหยั่งลงเกิด หรือการคลอด ครับ

เข้าใจแบบนี้ถูกต้องหรือเปล่าครับ ขอละเอียดชัดๆ อีกครั้ง เพราะยังมีการอธิบายแยกถึงสัมภเวสี กับภูต อีกนะครับ.

เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด

ขอเชิญทุกท่านร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ประวิทย์พลีไพร
วันที่ 22 ส.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
tanrat
วันที่ 22 ส.ค. 2557

สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ก็เคยเป็นความรู้ สิ่งที่ฟังแล้วพิจารณา ก็คือการเป็นอนัตตา นี่แหละธรรมดา

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
peem
วันที่ 22 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
wannee.s
วันที่ 22 ส.ค. 2557

สัมภเวสี คือ ผู้ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด จนกว่าจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงจะพ้นจากสัมภเวสี คือไม่เกิดอีก ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ไอเฟล
วันที่ 22 ส.ค. 2557

เราก็เป็นสัมภเวสี ดังนั้นหากมีใครอุทิศส่วนกุศลให้สัมภเวสีทั้งหลาย แล้วทำไมเราไม่รู้สึกได้รับกุศลนั้นเลยครับ แล้วการอุทิศส่วนกุศลจะถึงแก่สัมภเวสี ได้อย่างไรครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
nopwong
วันที่ 22 ส.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
แต้ม
วันที่ 5 ก.พ. 2558

ผมก็เคยได้ยินได้ฟังเรื่องสัมภเวสี มาบ้างเหมือนกัน จากทั้งพระและฆราวาส (ที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นด้วยนะครับ) กล่าวในทำนองว่า สัมภเวสี คือ วิญญาณที่ล่องลอยอยู่ ยังไปหาที่เกิดไม่ได้ อะไรทำนองนี้ แต่เมื่อได้ศึกษาพระธรรมแล้ว ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ตามนั้น (เป็นไปตามที่ท่านวิทยากรอธิบายนั่นแหละครับ) แต่ก็ไม่ได้สนใจมากหรอกครับ สนใจแต่เพียงว่ามันไม่ใช่สิ่งดับทุกข์ก็ปล่อยให้เป็นไปตามปัญญาของเราก็แล้วกันนะครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
chatchai.k
วันที่ 5 ต.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
thitaphatdangkumdee
วันที่ 15 ธ.ค. 2564

เรียนถาม

สามีเกิดอุบัติเหตุรกควํ่าถึงแก่ชีวิตวันที่ 20 กย. 2564 เมื่อเร็วๆ นี้จิตวิญญานของเขาจะเป็นสัมภเวสีนานไหม ขอช่วยอนุเคราะห์ช่วยบอกคะ

ขอบพระคุณคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
สิริพรรณ
วันที่ 16 ธ.ค. 2564

เรียนความคิดเห็น 19

การได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และแสดงความจริงจะเป็นหนทางเดียวที่จะได้รับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง แม้กระทั่งการเป็นไปของชีวิตที่ทุกชีวิตไม่พ้นไปจากจิตที่เกิดดับแล้วสืบต่ออย่างรวดเร็ว จิตดวงหนึ่งดับไปเป็นปัจจัยให้จิตประเภทใหม่เกิดขึ้นสืบต่อทันทีรวดเร็วสุดที่จะประมาณแม้แต่ขณะนี้ เดี่ยวนี้ จึงเป็นการตายทุกขณะ ที่เรียกว่า ขณิกมรณะ การเกิดดับสืบต่อของจิตเป็นไปเช่นนี้ จนถึงขณะที่จิตสุดท้ายในชาตินั้นๆ ที่ทำหน้าที่เคลื่อนภพก็เช่นกันเป็นปัจจัยให้เกิดจิตที่ทำหน้าที่เกิดในอีกภพชาติหนึ่ง ด้วยผลของกรรมหนึ่งที่ประมวลมาในสังสารวัฏฏ์

ดังนั้น ไม่มีการรอคอย ไม่มีคำว่านานหลังจากตายจะต้องเป็นบุคคลใหม่ทันที รวดเร็วยิ่งกว่ากระพริบตา ไม่หลงเหลือการเป็นบุคคลเดิมแม้ความจำในพี่น้อง ญาติ มิตร ทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ ตำแหน่งใดๆ ในชาติเดิมก็ไม่มีที่จะติดตามไปกับบุคคลใหม่ทั้งสิ้น เหมือนที่เกิดในชาตินี้ ก็ไม่ได้มีสิ่งใดติดตัว แม้แต่ความทรงจำเดิมการเป็นบุคคลเดิมในชาติก่อนก็ไม่มี มีแต่กุศล และอกุศลที่สะสมสืบต่อในจิตขณะต่อๆ ไปเท่านั้น ทั้งหมดจะเห็นได้ว่า ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย มีแต่การทำหน้าที่ของสภาพธรรม คือจิต ดังนั้น หากศึกษาพระธรรมแล้วแล้วก็จะเข้าใจว่า ภาวะที่ต้องเป็นสัมภเวสี ก็ด้วยเหตุที่ยังต้องเวียนเกิดและตายไม่สิ้นสุด ก็คือสภาพธรรมที่เป็นไปในการแสวงหาภพภูมิที่เกิด ตราบใดที่ยังไม่สิ้นกิเลส

ทุกชีวิตจึงล้วนเป็นสัมภเวสีทั้งสิ้น จนกว่าจะดับกิเลสหมดสิ้นจึงพ้นจากการเป็นสัมภเวสี ซึ่งต้องด้วยการดับความไม่รู้คืออวิชชาที่เป็นหัวหน้าของกิเลสทั้งปวง โดยต้องอาศัยการได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงเท่านั้น

ศึกษาพระธรรมเพิ่มเติมได้ที่

เวลาเราจุติ และมีการปฏิสนธิใหม่นั้น เป็นจิตดวงเดิม หรือดวงใหม่คะ

ตายแล้วไปเกิดทันที

สัมภเวสีคือใคร

มีทั้งหมดกี่ภพ ภูมิ

การตาย 3 อย่าง

กลัวตาย

ขอความหมาย กาลมรณะ และ อกาลมรณะ ค่ะ

ขณิกมรณะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ