สนทนาธรรมข้ามปีที่ไซ่ง่อน 5 มุยเน่
มุยเน่
1 ม.ค. 2558
วันนี้เดินทางไปชมมุยเน่ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งของเวียดนามใต้ ความจริงต้อง ค้าง 1 คืน จึงจะเที่ยวได้ครบถ้วน แต่เพิ่งติดต่อทัวร์ก่อนล่วงหน้า 1 วัน โรงแรมดีๆ ราคา เหมาะสมจึงเต็มหมด และน้อง 2 คน คือ น้องซุงกับน้องติ๋มต้องกลับไปทำงาน ไม่มีวันอื่นให้ เลือกอีก จึงต้องเที่ยววันเดียวกลับ แต่ต้องออกตั้งแต่ตี 4 และกลับถึงโรงแรม 4 ทุ่ม รวมราคา ค่ารถแวนสำหรับ 12 คน อาหารกล่องมื้อเช้าจากโรงแรม อาหารกลางวัน ค่าเข้าชมสถานที่ คนละ 38 ดอลลาร์ ถ้าค้าง 1 คืน 70 ดอลลาร์
มุยเน่เป็นชื่อเมืองชายทะเลเล็กๆ มุยเน่เป็นภาษาเวียดนาม (ก็แน่นอน ประเทศเวียดนาม ก็ต้องใช้ภาษาเวียดนามอยู่แล้ว) มุย แปลว่า ยอดเขา เน่ คือ ที่หลบพายุ มุยเน่ คือ แหลมที่ ยื่นไปในทะเลเป็นยอดภูเขาเล็กๆ ที่บังพายุให้เรือประมงที่จอดอยู่มากมาย เพิ่งมีชื่อเสียงเมื่อ 20 กว่าปีมานี่เอง เพราะรัฐบาลสร้างถนนและเมื่อเกิดคราส (ไม่แน่ใจว่าเป็นสุริยคราส หรือ จันทรคราส ไกด์พูดภาษาอังกฤษ)
เมื่อ 10 กว่าปีก่อนมุยเน่เป็นจุดที่สามารถชมคราสนั้นได้ดีที่สุด คนจึงหลั่งไหลไปเที่ยวชม และพบว่ามุยเน่ มีสถานที่ให้ท่องเที่ยวมากมาย มีทั้งมหาสมุทร หาดทราย ทะเลสาบ เนิน ทราย ที่มีทั้งสีขาวและสีแดงที่เกิดจากสนิมเหล็ก จึงมีรีสอร์ทและภัตตาคารริมทะเลมากมาย มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินเต็มเมือง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวรัสเซียที่หนีหนาวมาอยู่ที่นี่ปีละ 4 เดือน (เหมือนนกอพยพเลย จริงๆ ก็เหมือนกัน คือ มีจิต เจตสิกที่ยังคงมีกิเลสติดข้อง กับ สิ่งที่น่าพอใจ คือ อากาศอบอุ่นกำลังสบาย มีแต่รูปที่ต่างกันไปตามกรรมทำให้วิธีอพยพต่าง กัน บางพวกใช้ปีกบินมา บางพวกใช้เงินให้คนอื่นพาบินมา) ตื่นตั้งแต่ตีสอง เพื่อรายงานการ สนทนาธรรมเมื่อวันก่อน แต่ขัดข้องทางเทคนิคข้อมูลหายหมด ไม่เป็นไร ได้พยายามแล้ว แม้ จะไม่สามารถรายงานได้ แต่ก็สะสมอยู่ในจิตของผู้เขียนแล้ว ส่วนผู้อ่านก็สามารถสะสมความ เข้าใจธรรมะได้หลายแหล่งทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือ ฯลฯ อยู่แล้ว จนกว่าจะเข้าใจว่า ธรรมะ คือขณะนี้ ที่กำลังปรากฏเพียงขณะเดียว แล้วก็ดับไปทันที ไม่กลับมาอีก จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ ของเรา เมื่อไรที่ไม่ใช่เพียงพูด เพียงเขียน เพียงคิด แต่รู้ตรงลักษณะนั้นจริงๆ นั่นคือปฏิบัติธรรม ที่จะนำไปสู่การขัดเกลาความไม่รู้แล้ว และเพราะรู้เพิ่มขึ้น ภัยที่เกิดจากความไม่รู้ก็จะ ค่อยๆ หมดไป
ออกเดินทางตอนตี 4 ระยะทาง 200 กม. ไกด์บอกว่าใช้เวลา 5 ชั่วโมง เพราะกฎหมาย กำหนดความเร็วไว้ที่ 50 กม./ชม. จากไซ่ง่อนออกนอกเมือง ถนนสร้างใหม่กว้างขวางและ สวยงามระยะสั้นๆ เพราะยังสร้างไม่เสร็จ รถแวนถูกตำรวจเรียกให้หยุดเพื่อ ตรวจสอบ เอกสาร คนขับคงไม่ได้เตรียมมา เสียเวลาต่อรองเกือบครึ่งชั่วโมง ต้องจ่ายเงินใต้รถ 1 ล้านด่อง ที่ไหนๆ ที่ยังมีกิเลส มีโลภะ ความอยากได้ด้วยความไม่รู้ว่า ทรัพย์ที่หาได้ด้วยทุจริตกรรมนั้นนำไปนรกได้ ก็ทำให้เกิดการรีดไถ ฉ้อโกง ไม่ว่าที่ไหน หรืออาชีพใดที่สามารถทำได้
นั่งรถหลับๆ ตื่นๆ รับประทานอาหารกล่องในรถจนเกือบ 10 โมงเช้า ก็เห็นเมืองใหญ่สวย งาม ไกด์บอกชื่อจังหวัด แต่ก็จำยากมาก ผ่านเมืองนั้นแล้ว รถต้องแล่นเข้าไปในชนบทอีก เห็นไร่แก้วมังกรมากมาย จุดแรกที่แวะชม คือ หอคอยโปซูวา ชื่อเจ้าหญิงของจาม (จัมปา ชน ชาติดั้งเดิมที่เป็นแขกฮินดู ปกครองเวียดนามกลางเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว แต่ต่อมา เพราะไม่ มีลูกชายจึงถูกกลืนชาติ โดยการแต่งงานกับพวกเวียดที่อยู่ทางตอนเหนือ) หอคอยนี้ชาวเมือง สร้างเพื่ออุทิศให้เจ้าหญิงที่จัดการชลประทานให้เมืองที่แห้งแล้งอุดมสมบูรณ์ขึ้น
ระหว่างทางแวะที่ Fairy Stream ลำธารนางฟ้า เป็นทางน้ำเล็กๆ ตื้นๆ น้ำสีสนิมเหล็กไหล ลงมาจากเนินทรายข้างๆ ต้องถอดรองเท้าเดินไปตามลำธาร เห็นหินข้างทางที่ถูก น้ำฝน กัดกร่อนเป็นรูปทรงต่างๆ คล้ายแพะเมืองผี ที่แพร่ แต่มี 2 สี คือ ขาวและแดงสนิมเหล็ก
จากนั้นเดินทางต่อไปมุยเน่ที่อยู่ริมมหาสมุทร รถแล่นผ่านคลองที่เป็นหมู่บ้านชาวประมง ถ้า ค้างคืนก็จะได้ลงเรือชมหมู่บ้าน แวะรับประทานอาหารกลางวันที่ Golden Sand Restaurant ริมมหาสมุทร มีอาหารทะเลหลากหลาย ทั้งหอยเชลล์อบเนย หอยแครงลวก ปลานึ่งห่อแป้งกับ ผัก หม้อไฟแกงส้มกุ้งทานกับขนมจีน และอีกหลายอย่าง อร่อยมาก เพลินเพลินกับรสอาหาร และบรรยากาศรอบตัว ไม่มีสักขณะเดียวที่จะคิดว่า ไม่ใช่เรา เป็นเพียงธรรมะที่เกิดปรากฏ เพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก มีแต่เร่าร้อนด้วยความยิ่งๆ ขึ้นไปอีกว่า จากนี้ แล้วจะไปไหนต่อ จะสนุกสนานเพลิดเพลินอย่างไรอีก
ไกด์พาไปดูเนินทรายสีขาว ที่กว้างใหญ่ แต่รถแวนขึ้นไม่ได้ ต้องเช่ารถจี๊ปคนละ 9 ดอล ลาร์ไปเที่ยวในเวลาชั่วโมงครึ่ง แต่เมื่อไม่มีเวลาพอ จึงลงจากรถชมทะเลสาบน้ำจืดสีน้ำเงินเข้ม ที่มีเนินทรายสีขาวสูงเป็นฉากหลัง ริมฝั่งทะเลสาบมีไร่ถั่วลิสงอยู่ทั้งสองฝั่ง ใบถั่วสีเขียวสดพัด ปลิวราวกับคลื่น เมื่อถูกแรงลมจากมหาสมุทรใกล้ๆ พัดผ่าน ช่างเป็นภาพที่สวยงามน่าติดข้อง จริงๆ เพราะยังไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพียงขณะเดียวเท่านั้น แล้วก็ดับทันที จึงยังไม่อยากออกจาก สังสารวัฏฏ์ ถ้ามีสิ่งที่ยินดีเช่นนี้ให้เห็นให้สัมผัส เช่นนี้ตลอดไป แต่ก็เป็นไปไม่ได้
เมื่อไม่ได้ชม White sand dune จึงแวะที่ Red sand dune ที่เล็กกว่า ปีนขึ้นไปเพียงยอด เนินแรกก็เหนื่อยจนหอบ หลายท่านปีนไปอีกหลายยอด ไกด์เล่าว่า ทิวทัศน์เปลี่ยนแปลง ทุก วัน ตามกระแสลม ความจริงต้องบอกว่า เปลี่ยนแปลงทุกขณะ แต่ยังไม่เห็นชัดเจน ต้องใช้ เวลาระยะหนึ่ง เหมือนทุกสรรพสิ่งในโลก รวมทั้งความเข้าใจธรรมะด้วย
ออกจากมุยเน่ด้วยความชื่นมื่นตอน 4 โมงเย็น นั่งรถกลับด้วยความสนุกสนาน ผลัดกัน เล่าเรื่องตลกบ้าง ร้องเพลงบ้าง (คุณเบญจมาศกับคุณธีรพงศ์ สามีคุณสุภาพรรณ) เวลาเกือบ 6 ชั่วโมงจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราไม่ได้นึกถึงธรรมะที่ได้ยินได้ฟังเลย ไม่ต้องแปลกใจเลย ว่า ถ้าได้เกิดบนสวรรค์ มีศาลาสุธัมมาอยู่ใกล้ๆ ก็คงไม่ไปฟังธรรมแน่ๆ เพราะขนาดความสุข หยาบๆ บนโลกมนุษย์ก็ยังติดข้องเพลิดเพลินขนาดนี้
... อ่านตอนต่อไป ...
... อ่านย้อนหลัง ...
ผมเองก็ได้มีโอกาสที่ได้ร่วมไปเที่ยวทะเล กับทะเลทรายซึ่งมีจริงๆ ถูกปลุกให้ตื่นตีสามครึ่ง คุณเบญจบอกว่า ถ้าไม่อยากไปเที่ยวก็ไม่ต้องไป เพราะเมื่อสองวันก่อน ไม่ค่อยสบาย ทางเดินหายใจอับเสพเพราะดมควันจากรถ คนที่นี่ใช้รถจักรยานยนต์เพื่อเดินทางเป็นส่วนใหญ่ การเดินข้ามถนนเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะถนนมีไว้ให้รถวิ่ง ใครข้ามถนนได้ถือว่าเก่งมาก ตกลงตี4 พวกเราได้ออกเดินทางจาก Ho Chi Minh City.
ผมเองก็จะเล่าสิ่งที่ได้พบเห็นเล็กๆ น้อยให้เพื่อนๆ ที่อยู่ในประเทศไทยได้ฟัง เพราะประเทศเขา อนุรักษ์ต้นไม้ อย่างเช่นในเมือง Saigon มีต้นยางต้นใหญ่. อายุราวๆ 100 ปี มีมากมายทั่วเมือง นอกเมืองตามข้างทางเขาก็ปลูกต้นยางชนิดที่กลีดนำ้ยางได้อย่างมากมาย ประเทศนี้กำลังพัฒนา ขณะนั่งรถไปเที่ยวเมืองมุยเน่ ก็พยายามมองดูวัดของชาวพุทธ ก็ไม่มีให้เห็นตามถนนที่รถผ่านไป. ทั้งๆ ที่ประชากรส่วนใหญ่ 70% ยังนับถือพระพุทธมีแต่โบสถ์ของชาว Catholic มากมาย ถึงแม้ไม่เห็นวัดของชาวพุทธ. แต่ก็จะขอเล่าบรรยากาศภายในห้องสนทนาธรรมที่ท่านอาจารย์เป็นผู้แสดงรวมถึงสหายธรรมชาวต่างชาติอีกหลายท่าน เพราะผู้มาฟังสนทนาธรรมประมาณ 30 คน เป็นพระภิกษุหนุ่มและแม่ชีเป็นวัยสาวอายุไม่เกิน 30 ปี มานั่งร่วมฟังสนทนา ส่วนคนทั่วไปที่นั่งฟังก็ประมาณ 70 คน เป็นคนรุ่นหนุ่มและสาว.
ส่วนมากที่มานั่งฟัง ไม่ค่อยมีผู้สูงอายุอย่างกระผมมานั่งฟังเลย และหลายคนที่มาฟังเป็นคนที่เคยมาแล้วตั้งแต่วันแรก พวกเขาฟังด้วยความตั้งใจ ใส่ใจในการฟัง มีคำถามต่างๆ ตลอดเวลา ท่านอาจารย์สุจินต์ และคณะอาจารย์วิทยากรทุกท่านช่วยกันตอบข้อสงสัยของเขา ทำไมถึงเขียนถึงคนที่เข้ามาฟัง เพราะพวกเขาทุกคนสนใจที่จะรู้ และที่จะหาความจริง จากท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นอย่างมาก ทุกคนฟังด้วยความนอบน้อม เวลาอาจารย์เดินเข้าห้องสนทนาธรรม ทุกคนลุกขึ้นยืน ด้วยความเคารพ รอจนท่านอาจารย์นั่งเสร็จ ทุกคนถึงนั่งพร้อมกัน เป็นมรรยาทที่ดีงามนะครับ
ก็ขออนุโมทนาในกุศลจิต ของท่านอาจารย์สุจินต์ อาจารย์วิทยากร (ชาวต่างชาติ) . คุณพี่แดง และอาจารย์ ร.ศ.สงบ เชื้อทอง ที่ช่วยนำภาพ และเรื่องมาให้พวกเราอ่านอีกเช่นเคย.