ปังกธาสูตร ... วันเสาร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
••• ... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ... ..•••
... สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ วันเสาร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑
... จาก ...
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๔๖๙
๑๑. ปังกธาสูตร
(ว่าด้วยผู้ไม่ควรสรรเสริญและผู้ควรสรรเสริญ)
[๕๓๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ถึงตำบลปังกธา ประทับพักที่นั่น คราวนั้น ภิกษุกัสสปโคตร เป็นเจ้าอาวาสในตำบลนั้น, ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสอนภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญร่าเริง ด้วยธรรม- มีกถาประกอบด้วยสิกขาบท เมื่อพระองค์ทรงสอนภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญร่าเริง ด้วยธรรมมีกถาประกอบด้วยสิกขาบทอยู่ ภิกษุกัสสปโคตร เกิดความไม่พอใจขึ้นว่า สมณะนี้ขัดเกลายิ่งนัก พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับสำราญพระอิริยาบถ ณ ตำบลปังกธา ตามพระอัธยาศัยแล้ว เสด็จจาริกไปโดยลำดับถึงกรุงราชคฤห์ ประทับ ณ ภูเขา คิชฌกูฏ
ฝ่ายภิกษุกัสสปโคตร เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปแล้วไม่นาน เกิดความเดือดร้อนรำคาญใจ ได้คิดขึ้นว่า ไม่ใช่ลาภของเราหนอ เราไม่มีลาภหนอ เราได้ชั่วแล้วหนอ เราไม่ได้ดีแล้วหนอ ซึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญร่าเริง ด้วยธรรมมีกถาประกอบด้วยสิกขาบท เราเกิดความไม่พอใจขึ้นว่า สมณะนี้ขัดเกลายิ่งนัก อย่ากระนั้นเลย เราไปเฝ้าสารภาพโทษเถิด ครั้นตกลงใจแล้ว จึงเก็บงำเสนาสนะถือบาตรจีวรไปกรุงราชคฤห์ ถึงภูเขาคิชฌกูฏ เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับพัก ณ ตำบลปังกธา แคว้นโกศล ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนภิกษุทั้งหลาย ให้เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญร่าเริง ด้วยธรรมมีกถาประกอบด้วยสิกขาบท เมื่อทรงสอนภิกษุอยู่ ข้าพระพุทธเจ้า เกิดความไม่พอใจขึ้นว่า สมณะนี้ขัดเกลายิ่งนัก คราวนั้นพระองค์ประทับสำราญพระอิริยาบถ ณ ตำบลปังกธาตามพระอัธยาศัยแล้ว เสด็จจาริกมากรุงราชคฤห์ พอเสด็จไปแล้วไม่นาน ข้าพระพุทธเจ้า ก็เกิดความเดือดร้อนรำคาญใจ ได้คิดว่า ไม่ใช่ลาภของเราหนอ เราไม่มีลาภหนอ เราได้ชั่วแล้วหนอ เราไม่ได้ดีแล้วหนอ ซึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้งสมาทานอาจหาญร่าเริงด้วยธรรมมีกถาประกอบด้วยสิกขาบทอยู่ เราเกิดความไม่พอใจขึ้นว่า สมณะนี้ขัดเกลายิ่งนัก อย่ากระนั้นเลย เราไปเฝ้าสารภาพโทษเถิด ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความผิด ได้เกิดแก่ข้าพระพุทธเจ้าแล้ว โดยที่เขลา โดยที่หลง โดยที่ไม่ฉลาด ซึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนอยู่ ข้าพระพุทธเจ้าเกิดความไม่พอใจขึ้น ว่า สมณะนี้ขัดเกลายิ่งนัก ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับโทษโดยความเป็นโทษ เพื่อข้าพระพุทธเจ้าจะสังวรต่อไปเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า จริงล่ะ กัสสปะ ความผิดได้เกิดแก่เธอแล้ว โดยที่เขลา โดยที่หลง โดยที่ไม่ฉลาด ซึ่งเมื่อเราสอนภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้งให้สมาทานให้อาจหาญร่าเริง ด้วยธรรมมีกถาประกอบด้วยสิกขาบทอยู่ เธอได้เกิดความไม่พอใจขึ้นว่า สมณะนี้ขัดเกลายิ่งนัก เมื่อเธอเห็นความผิดแล้วทำคืนตามวิธีที่ชอบ เรารับโทษโดยความเป็นโทษ การที่เห็นความผิดแล้วทำคืนตามวิธีที่ชอบ ถึงความสังวรต่อไป นั่นเป็นความเจริญในวินัยของพระอริยะ
ดูกร กัสสป ถ้าภิกษุเถระก็ดี ภิกษุมัชฌิมะก็ดี ภิกษุนวกะก็ดี เป็นผู้ไม่ใคร่ศึกษา ไม่กล่าวคุณแห่งการบำเพ็ญสิกขา ไม่ชักชวนภิกษุอื่นๆ ที่ไม่ใคร่ศึกษาให้ศึกษา ไม่ยกย่องภิกษุอื่นๆ ที่ใคร่ศึกษาโดยที่จริงที่แท้ตามเวลาอันควร ดูกร กัสสปะ เราไม่สรรเสริญภิกษุเถระ ภิกษุมัชฌิมะและภิกษุนวกะรูปนี้เลย เพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่า (ถ้าเราสรรเสริญ) ภิกษุอื่นๆ รู้ว่าพระศาสดาสรรเสริญภิกษุรูปนั้น ก็จะพากันคบภิกษุรูปนั้น ภิกษุเหล่าใดคบภิกษุรูปนั้น ภิกษุเหล่านั้นก็จะถึงทิฏฐานุคติ (ได้เยี่ยงอย่าง) ของภิกษุรูปนั้น ซึ่งจะเป็นทางเกิดสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์ เกิดทุกข์ แก่ภิกษุผู้คบตลอดกาลนาน เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่สรรเสริญภิกษุรูปนั้น จะเป็นเถระ มัชฌิมะ นวกะก็ตาม
แต่ถ้าภิกษุเถระก็ดี ภิกษุมัชฌิมะก็ดี ภิกษุนวกะก็ดี เป็นผู้ใคร่ศึกษา กล่าวคุณแห่งการบำเพ็ญสิกขา ชักชวนภิกษุอื่นๆ ที่ไม่ใคร่ศึกษาให้ศึกษา ยกย่องภิกษุอื่นๆ ที่ใคร่ศึกษาโดยที่จริงที่แท้ตามเวลาอันควร เราสรรเสริญภิกษุเถระ ภิกษุมัชฌิมะ และภิกษุนวกะ เช่นนี้ เพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่า ภิกษุอื่นๆ รู้ว่าพระศาสดาสรรเสริญเธอ ก็จะพึงคบเธอ ภิกษุเหล่าใด คบเธอ ภิกษุเหล่านั้นก็จะพึงได้เยี่ยงอย่างของเธอ ซึ่งจะพึงเป็นทางเกิดประโยชน์ เกิดสุขแก่ภิกษุผู้คบตลอดกาลนาน เพราะเหตุนั้น เราจึงสรรเสริญภิกษุเช่นนั้น จะเป็นเถระ มัชฌิมะ นวกะก็ตาม
จบปังกธาสูตรที่ ๑๑
อรรถกถาปังกธาสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในปังกธาสูตรที่ ๑๑ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปํกธา นาม โกสลานํ นิคโม ความว่า นิคมในโกสลรัฐที่มีชื่ออย่างนี้ว่า ปังกธา
บทว่า อาวาสิโก ความว่า ภิกษุเจ้าอาวาสร้างอาวาสหลังใหม่ๆ ขึ้น บำรุงรักษาอาวาสหลังเก่าๆ
บทว่า สิกฺขาปทปฏิสํยุตฺตาย ได้แก่ ปฏิสังยุตด้วยบทกล่าว คือ สิกขา อธิบายว่า ประกอบด้วยสิกขา ๓
บทว่า สนฺทสฺเสติ ได้แก่ ทรงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นเหมือนอยู่พร้อมหน้า
บทว่า สมาทเปติ ได้แก่ให้ภิกษุทั้งหลายถือเอา
บทว่า สมุตฺเตเชติ คือ ให้ภิกษุทั้งหลายอาจหาญ
บทว่า สมฺปหํเสติ คือ ตรัสสรรเสริญทำภิกษุทั้งหลายให้ผ่องใส ด้วยคุณที่ตนได้แล้ว
บทว่า อธิสลฺเลขติ ได้แก่สมณะนี้ย่อมขัดเกลาเหลือเกิน อธิบายว่า สมณะนี้ย่อมกล่าวธรรมที่ละเอียดๆ ทำให้ละเมียดละไมเหลือเกิน
บทว่า อจฺจโย คือ ความผิด
บทว่า มํ อจฺจคฺคมา คือ ล่วงเกินเรา ได้แก่ ข่มเรา เป็นไป
บทว่า อหุเทว อกฺขนฺติ ความว่า ความไม่อดกลั้นได้มีแล้วทีเดียว
บทว่า อหุ อปฺปจฺจโย ความว่า อาการไม่ยินดีได้มีแล้ว
บทว่า ปฏิคฺคณฺหาตุ ความว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงอดโทษ
บทว่า อายตึ สํวราย คือ เพื่อประโยชน์แก่ความสำรวมในอนาคต อธิบายว่า เพื่อต้องการจะไม่ทำความผิด คือโทษ ได้แก่ ความพลั้งพลาด เห็นปานนี้อีก
บทว่า ตคฺฆ เป็นนิบาตโดยส่วนเดียว
บทว่า ยถาธมฺมํ ปฏิกโรสิ คือ ธรรมดำรงอยู่โดยประการใดเธอก็ทำโดยประการนั้น มีคำอธิบายว่า ให้อดโทษ
บทว่า ตํ เต มยํ ปฏิคฺคณฺหาม ความว่า เราทั้งหลายยอมยกโทษนั้นให้เธอ
บทว่า วุฑฒิ เหสา กสฺสป อริยสฺส วินเย ความว่า ดูกร กัสสปะ นี้ชื่อว่า เป็นความเจริญในศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า. ถามว่า ความเจริญเป็นไฉน? ตอบว่า การเห็นโทษ ว่า เป็นโทษแล้ว ทำคืนตามธรรมถึงความสำรวมต่อไป. ก็ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงทำเทศนาให้เป็นปุคคลาธิษฐาน จึงตรัสว่า โย อจฺจยํ อริยสฺส ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฏิกโรติ อายตึ สํวรํอาปชฺชติ แปลว่า ผู้ใดเห็นโทษโดยความเป็นโทษ กระทำคืนตามธรรมเนียมย่อมถึงความสำรวมต่อไป ดังนี้
บทว่า น สิกฺขากาโม ความว่า ภิกษุไม่ต้องการ คือ ไม่ปรารถนา ได้แก่ ไม่กระหยิ่มใจต่อสิกขา ๓
บทว่า สิกขาสมาทานสฺส คือ แห่งการบำเพ็ญสิกขาให้บริบูรณ์
บทว่า น วณฺณวาที คือ ไม่กล่าวคุณ
บทว่า กาเลน คือ โดยกาลอันเหมาะสม. บทที่เหลือในสูตรนี้ มีความหมายง่ายทั้งนั้นแล
จบอรรถกถาปังกธาสูตรที่ ๑๐
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
ปังกธาสูตร
(ว่าด้วยผู้ไม่ควรสรรเสริญและผู้ควรสรรเสริญ)
เมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประทับอยู่ ณ ตำบลปังกธา ภิกษุกัสสปโคตรเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ณ ที่นั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้งให้สมาทานให้อาจหาญร่าเริง ด้วยธรรมมีกถาประกอบด้วยสิกขาบท ภิกษุกัสสปโคตร เกิดความไม่พอใจขึ้นว่า สมณะนี้ขัดเกลายิ่งนัก แต่ในที่สุดท่านก็เกิดความเดือดร้อนใจ จึงต้องเดินทางเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค เมื่อพระองค์เสร็จกลับไปที่กรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เพื่อขอให้พระองค์ทรงอดโทษให้ เพื่อจะได้สำรวมระวังต่อไป
พระผู้มีพระภาคทรงอดโทษให้เมื่อภิกษุกัสสปโคตรเห็นโทษตามความเป็นจริง แล้วตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงสรรเสริญภิกษุเถระก็ดี ภิกษุมัชฌิมะก็ดี ภิกษุนวกะก็ดี ซึ่งเป็นผู้ไม่ใคร่ศึกษา เพราะถ้าหากสรรเสริญ ก็จะเป็นเหตุให้ภิกษุเหล่าอื่นคบหาสมาคม ถือเอาเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีของภิกษุรูปนั้น ซึ่งจะมีแต่โทษเพียงอย่างเดียว
แต่พระองค์ทรงสรรเสริญ ภิกษุเถระก็ดี ภิกษุมัชฌิมะก็ดี ภิกษุนวกะ ก็ดี ซึ่งเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา เพราะจะเป็นเหตุให้ภิกษุเหล่าอื่น ได้คบหาสมาคมถือเอาเป็นแบบอย่างที่ดีของภิกษุรูปนั้น ซึ่งจะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเท่านั้น
ขอเชิญคลิกศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
พระภิกษุ ต้องงดงามตามพระธรรมวินัย
ภิกษุ คือ ผู้ทำความดีในเพราะการขอ
ความเป็นบรรพชิต ถ้ารักษาไม่ดี มีแต่จะทำให้เกิดโทษ
... อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...