ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๗ ธันวาคม ๒๕๖๕

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  18 ธ.ค. 2565
หมายเลข  45354
อ่าน  1,687

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันพุธที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณทักษพล เจียมวิจิตร กรรมการกฤษฎีกา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๒๑๘๗ คุณจริยา เจียมวิจิตร กรรมการกฤษฎีกาและที่ปรึกษามูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๒๑๘๖ เพื่อไปสนทนาธรรม ที่บ้านภายในสนามกอล์ฟรอยัลเจมส์ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๕.๐๐ น.

คุณทักษพลและคุณจริยา เจียมวิจิตร มีกุศลศรัทธากราบเรียนเชิญท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพื่อมาสนทนาธรรมที่บ้านเป็นประจำเสมอมา นอกจากนั้นทั้งสองท่านยังให้ทางมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาใช้บ้านหลังนี้เป็นสถานที่สำหรับการบันทึกเทปการสนทนาพิเศษเพื่อนำออกเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ อีกด้วย แต่มีเหตุให้ต้องเว้นว่างไปเนื่องจากสถานการณ์ของโรคโควิด-๑๙ ในช่วงที่ผ่านมา

ภายหลังจากที่สถานการณ์ของโรคโควิด-๑๙ ได้คลี่คลายลง การสนทนาธรรมครั้งนี้ จึงเป็นครั้งแรกของท่านทั้งสองที่ได้ขอโอกาสจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพื่อจัดให้มีการสนทนาธรรมที่บ้านของท่านอีกครั้งหนึ่ง โดยมีท่านที่สนใจ เดินทางมาเข้าร่วมรับฟังและสนทนาเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นความเมตตากรุณาของท่านเจ้าบ้านที่ "เปิดบ้านให้แก่ทุกท่านที่สนใจสามารถเดินทางมาร่วมฟังและสนทนาธรรมได้ตามอัธยาศัย" ด้วยเป็น "บ้านของเรา" ดังคำกล่าวต้อนรับของคุณจริยา เจียมวิจิตร ในช่วงเริ่มต้นก่อนการสนทนาธรรม ที่แสดงให้เห็นถึงความเมตตากรุณาของท่านเจ้าบ้านทั้งสองที่มีต่อทุกคนโดยเสมอกัน เป็นที่ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ดังนี้.....

"..กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง กราบเรียนท่านอาจารย์อรรณพ แล้วก็ทุกๆ ท่านในที่นี้ ทุกท่านที่มาที่นี่แล้ว ก็คิดว่า นี่คือบ้านของเรา บ้านของเราคือสถานที่ ที่เราจะได้รับฟังคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ถูกถ่ายทอดโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ซึ่งอย่าเสียเวลา ถ้ามีข้อสนใจไต่ถาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรๆ กรุณาไต่ถาม ทราบว่ามีผู้ใหม่ซึ่งสนใจที่อยากจะมีคำถามกับท่านอาจารย์ ขอเรียนเชิญ..."

คุณนิศาชล กราบอาจารย์ค่ะ วันนี้หนูก็เป็นคนใหม่ ไม่เคยมา หนูก็มาแบบไม่รู้เรื่อง มาแบบความศรัทธาในตัวอาจารย์แล้วก็อาจารย์ทุกๆ ท่าน ที่หนูฟังมา เพิ่งจะฟังได้ ๖ เดือน หนูก็มีความรู้สึกว่า หนูไม่เคยมีความศรัทธาในพุทธศาสนาหรือในคำสอนมาก่อน เพราะหนูไม่เคยรู้เรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้า

หนูก็มีคำถามแต่ในใจว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เรื่องอะไร แล้วหนูก็มีโอกาสได้ฟังอาจารย์เมื่อ ๖ เดือนที่แล้ว หนูก็เกิดความปีติในใจว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตหนู ต้องมาเพื่อที่จะได้เห็นอาจารย์สักครั้งหนึ่งในชีวิต หนูก็เลยอยากจะขอความอนุเคราะห์จากอาจารย์ อยากจะรู้เรื่องธรรมะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มีอยู่ค่ะ

วันแรกที่หนูได้ฟัง พี่สาวหนูส่งคลิปมาให้ เพราะหนูบอกว่า หนูไม่มีความศรัทธาอะไรเลยในชีวิตนี้ เพราะว่าพระอยู่ในใจหนูตลอด พระที่อยู่ทุกวันนี้ ไม่สามารถทำให้หนูศรัทธาได้ หนูก็มีความรู้สึกว่า ๕๐ ปีแล้วนะ หนูคุยกับพี่หนูว่า ๕๐ ปี ไม่เคยมีความศรัทธาแบบนี้

หนูรู้สึกว่า ฟังอาจารย์บอกว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง หนูก็ฟังมาเรื่อยๆ แต่หนูก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง พอหนูฟังมา ๖ เดือน หนูรู้สึกว่ามีความปีติในคำที่เป็นคำของพระพุทธเจ้า ที่ไม่เคยรู้มาก่อน หนูก็รู้แค่ว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง แต่หนูก็ไม่เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เกิดมา ๕๐ ปี หนูไม่เคยได้รู้เรื่อง รู้แต่คำว่า ธรรมะ บวช นะโมตัสสะ อะไรทุกอย่าง แต่หนูไม่เข้าใจ

หนูก็เลยคำถามกับตัวเองตลอดว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ แล้วบอกว่าให้น้อมมาใส่ตนคืออะไร? ๕๐ ปี หนูไม่รู้!! จนกระทั่ง ๖ เดือนที่ผ่านมา ทำให้หนูรู้ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เรื่องที่มีจริงอยู่ทุกวันนี้ เหมือนที่อาจารย์ได้สั่งสอนหรือว่าได้บอกกล่าวมา หนูก็เลยรู้สึกปีติ บางครั้งหนูฟังแล้วหนูรู้สึกว่า หนูลุกขึ้นมาแล้วหนูกราบโทรศัพท์ เหมือนหนูได้เห็นพระพุทธเจ้า ณ ขณะนั้น หนูก็โทรฯ ไปเล่าให้พี่ฟังว่า หนูเป็นได้ขนาดนี้เลยหรือ เพราะว่า ๕๐ ปี หนูไม่เคยเชื่อใครเลย มีพระเต็มบ้าน แต่หนูไม่เคยรู้สึกศรัทธาองค์ไหนได้ แต่หนูก็ไม่เคยว่านะคะ เพราะมันอยู่ที่เราเอง หนูจะบอกทุกคนว่า พระก็มี แต่อยู่ในใจ

แต่วันนี้ หนูพูดกับพี่เขาว่า หนูฟัง ๖ เดือน หนูรู้เลยว่า มีพระแล้วที่อยู่ในใจหนูนี่ ออกมาแล้ว ออกมานั่งอยู่ ณ ตอนนี้ ก็คือ พระอาจารย์ค่ะ จริงๆ ค่ะ อันนี้หนูรู้ว่าทุกคนจะต้องบอกว่า ทำไมหนูเรียกพระอาจารย์ หนูมีจิตแบบนั้นจริงๆ หนูพูดกับพี่เขาเลยว่า ชีวิตหนึ่งที่หนูเกิดมา ๕๐ ปี เป็นอะไรที่ยาวนาน หนูไม่เคยคิดมาก่อนว่าหนูจะเจอพระ พระที่อยู่ในใจแล้วออกมานั่งอยู่ และหนูเห็นอาจารย์เหมือนสาวกขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มาโปรด หนูเกิดมาครั้งหนึ่ง หนูคุ้มแล้วที่หนูได้เกิดมา ณ ตอนนี้ หนูเกิดใหม่ได้ ๖ เดือน ในคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่ะ

ท่านอาจารย์ ก็ยินดีในกุศลอย่างยิ่งค่ะ ที่เป็นคนที่มีเหตุผล ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็รู้ว่า ไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่พบคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะไม่เคยได้ฟัง ก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า

แต่ เพราะบุญที่ได้สะสมมา ทำให้เป็นคนที่มีเหตุผล มีความมั่นคง ไม่ใช่เพียงแต่ได้ยินแล้วก็เชื่อ หรือว่า เคารพทันที แต่ต้องเคารพในความถูกต้อง ฟังสิ่งซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะคำนั้นเป็นคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้สิ่งที่มี ซึ่งถ้าเราไม่ได้ฟัง เราก็จะไม่สามารถเข้าใจได้เลย ว่าสิ่งที่มีอย่างนี้หรือ ทุกวันนี้หรือ ที่เกิดมานี้หรือ ที่ไม่มีใครรู้ คิดว่ารู้หมด!! รู้โน่น รู้นี่ รู้สารพัด แต่ว่า รู้จริงหรือเปล่า? เข้าใจว่ารู้

เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ฟังธรรมะ มีหลายเหตุผล เพราะเขาคิดว่า ไม่มีอะไรต้องรู้ เพราะเขารู้หมดแล้วทุกอย่าง แต่ว่า ถ้าได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำนั้นหมายความว่าอะไร? คิดหรือเปล่า? ไม่ใช่คำเล่นๆ ธรรมดา ใครก็พูดกันไป เรียกกันไป แต่ความหมายของคำต้องมี ใช่ไหม

พระอรหันต์ เคยได้ยินบ่อยๆ แต่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคำที่คนอื่นจะมีไม่ได้เลย เพราะว่า เป็นคุณธรรม คำนั้น เป็นคำที่ทดแทนคำที่สูงยิ่ง คือ ผู้ที่เป็นผู้รู้ เจ้าแห่งความรู้สูงที่สุด ที่ไม่มีใครเสมอเหมือน ไม่ว่าในโลกไหน ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟัง ก็ประมาท คิดว่าจะมีอะไรอีก ที่คนอื่นรู้ไม่ได้ หรือยากที่จะรู้ แต่ เมื่อฟังแล้วจึงรู้ว่า เป็นความจริง

เพราะว่า ที่เกิดมาแล้ว มีทุกอย่าง แต่มีใครพูดถึง "แต่ละหนึ่ง" ที่กำลังปรากฏ!! ในความเป็นจริง ในความชัดเจน ที่จะทำให้รู้ว่า ไม่สามารถที่จะคิดด้วยตัวเองได้ว่า "..แต่ละคำที่ได้ฟังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความจริงถึงที่สุด..ที่กำลังกล่าวถึง..สิ่งที่กำลังมี..เดี๋ยวนี้เอง!!..."

เพราะฉะนั้น ให้ใครกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีขณะนี้เองได้ไหม? อย่างนี้ ธรรมดาๆ อย่างนี้ ไม่สามารถจะเป็นไปได้เลย เพราะว่า ไม่รู้ความจริง แต่ มี คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า..ตรัส..ให้รู้ความจริง..ของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้..ซึ่งรู้ยาก!! แต่พระองค์ตรัสรู้ความจริงนั้น ถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง จึงทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้เริ่มคิด ได้เริ่มเข้าใจ ได้เริ่มไตร่ตรอง ว่า แท้ที่จริง เกิดมาแล้วในโลก ทุกชาติ รวมทั้งชาตินี้ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่ แม้กำลังมี เดี๋ยวนี้ กำลังเป็นเดี๋ยวนี้ อย่างนี้เลย แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่พอได้ฟัง เริ่มเข้าใจความจริง ว่าไม่เคยรู้มาก่อน แน่นอน!!

เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มเป็นผู้ที่ไตร่ตรอง จึงสามารถที่จะเข้าใจได้ เช่น คำถามที่ว่า "เดี๋ยวนี้ มีอะไรหรือเปล่า?" ธรรมดา นะคะ พูดเรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่ใครจะพูดเรื่องอะไร แต่พูดแล้วต้องคิด แล้วก็ต้องตอบ แล้วจะตอบได้ไหม? "เดี๋ยวนี้ มีอะไรหรือเปล่า?" ถ้าไม่เคยฟังมาเลย

คุณนิศาชล ถ้าไม่เคยฟังมาเลยก็คงตอบไม่ได้

ท่านอาจารย์ ทีนี้ ฟังมาแล้ว ๖ เดือน เดี๋ยวนี้มีอะไรคะ?

คุณนิศาชล ก็มี "เห็น" ค่ะ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ถูกต้อง เห็นไหม แล้วใครรู้บ้าง ว่า "เห็น" นี้ "เกิด" เพียงแค่ "เห็น" แล้วก็ "ดับ" เพราะอะไร มีสิ่งอื่น ซึ่งเสมือนว่าพร้อมกัน เช่น ในขณะนี้ที่เรากำลังพูด ก็มี "เห็น" ด้วย เหมือนพร้อมใช่ไหม "เห็น" ไม่ได้หายไปไหนเลย แต่ตามความเป็นจริงคือพร้อมไม่ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า แต่ละหนึ่ง เกิด เป็นหนึ่ง "เห็น" ต้องเป็น "เห็น", "ได้ยิน" ไม่ใช่ "เห็น" ทุกคนรู้ใช่ไหม

เพราะฉะนั้น "ได้ยิน" เป็น "ได้ยิน" แค่นี้ ดูเป็นธรรมดา แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งที่เป็นธรรมดานี้ ลึกซึ้งที่ว่า ในขณะที่ได้ยิน ต้องไม่มีเห็น "เริ่มคิด" จริงไหม? ก็แสดงว่า ใน "ขณะที่เห็น" เป็น "หนึ่งขณะ" ใน "ขณะที่ได้ยิน" เป็น "หนึ่งขณะ" ถ้าเห็นเกิดแล้วยังอยู่ ไม่ดับไปเลย ต้องไม่มีได้ยิน มีแต่เห็น แต่นี่มีเพียงเห็นเกิดขึ้น แล้วก็มีได้ยินเกิดอีก ถ้าไตร่ตรอง พร้อมกันไม่ได้เลย เพราะตอนแรกมีเห็น เพียงเห็น แล้วก็มีได้ยินเกิด ซึ่งได้ยินจะไปเป็นเห็นได้อย่างไร แล้วจะพร้อมกับเห็นได้อย่างไร ในเมื่อหนึ่งขณะเห็นเกิดขึ้นเห็น ไม่มีได้ยิน แล้วต่อมาก็มีได้ยินเกิดขึ้นได้ยิน

เพราะฉะนั้น ความจริงแท้ก็คือว่า ในขณะที่ได้ยิน ต้องไม่มีเห็น ในขณะที่มีเห็น ต้องไม่มีได้ยิน ถ้าไม่เคยฟัง เมื่อมีการเห็นเกิดขึ้น ไม่รู้ความจริงอย่างนี้ เพราะเข้าใจว่า "เราเห็น" เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น "ยังเป็นเราเห็น" เพราะยังไม่ถึง "การประจักษ์แจ้งเฉพาะเห็น" เท่านั้น

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง แสนสั้น เกิดแล้วดับไป แต่มีสิ่งอื่นเกิดต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย ต่อกันสนิท เพราะ "ไม่ปรากฏการดับไป" ของ "สิ่งที่เกิดแล้ว" และ "การเกิดต่อจากสิ่งที่ดับไปแล้ว" ซึ่งกำลังเป็นอย่างนี้ทุกขณะ จริงหรือเปล่า? เพราะว่าเห็นไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก ไม่ใช่กำลังรู้กลิ่น ไม่ใช่กำลังรู้แข็ง

เพราะฉะนั้น แสดงว่า แต่ละหนึ่ง แยกขาด จะเป็นสิ่งเดียวกันไม่ได้ และความจริงก็เกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่ต่างกัน ถ้าไม่มีตา เห็นไม่ได้เลย แต่ได้ยินเพราะมีหู สำหรับคนที่ไม่มีหู แต่มีตา ได้ยินได้ไหม? ไม่ได้ยิน ก็จะเป็นอย่างเดียวกันได้อย่างไร เห็นก็ต้องเป็นเห็น ได้ยินก็ต้องเป็นได้ยิน และใครไปทำให้อะไรเกิดขึ้น ไม่ได้เลย เพราะ "เกิดแล้ว" ต่างหาก ไม่ใช่เราไปทำให้เกิด "เสียง" เห็นไหม เกิดแล้ว ใครไปทำให้เสียงซึ่งยังไม่เกิด เกิดได้บ้าง?

เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนอยู่ในความมืดสนิท แต่คิดว่ารู้ คิดว่าไม่มืด สว่าง คิดว่าจำได้ ว่าอะไรเป็นอะไร แต่จำผิด ไม่ได้รู้ความจริง ว่า แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่เกิดแล้ว หมดแล้ว ดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลยสักอย่างเดียว!! เมื่อกี้นี้ ทุกคนอยู่ที่ไหน เห็นไหม ขณะนั้นรับประทานอาหาร มีรสปรากฏ ไม่ใช่เห็น แต่ความรวดเร็วของการเกิดดับ พร้อมกันหมดเลย ทั้งรับประทานอาหาร ทั้งมีรสปรากฏ ทั้งกระทบอาหาร ทั้งคิดนึก ทั้งคุยกัน

ทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ในโลกของการไม่รู้ความจริง ว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ว่าเห็นที่โน่นดับ มามีเห็นที่นี่ แค่นั่งอยู่ตรงนั้น กำลังเห็นอย่างนี้ เห็นหนึ่งขณะก็ดับแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เลย จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่ง ของแต่ละขณะ ให้ไตร่ตรองคร่าวๆ จนกระทั่งค่อยๆ ละเอียด จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้ง สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งเราเริ่มเข้าใจถูกต้องว่า เป็นหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีก

ขณะนี้ กำลังเห็น ปรกติ ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย "เราเห็น" แน่นอน แล้วก็สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็เป็นเหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใด พร้อมกันทันทีที่ลืมตา ขณะที่หลับตาเดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรเลย หายไปไหนหมด พอลืมตา ทำไมทุกอย่างปรากฏเยอะแยะไปหมดเลย ถ้าไม่กระทบตา ทีละหนึ่ง จะปรากฏได้ไหม จะเห็นได้ไหม? ถ้าไม่กระทบตา

เพราะฉะนั้น ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ไตร่ตรอง แล้วก็รู้ว่า ความจริง ไม่ได้เป็นอย่างที่เราเคยคิด เคยเข้าใจ เคยจำ แต่เป็นสิ่งที่เป็นความจริง ที่ยากที่จะรู้ได้ เพราะวันหนึ่งๆ เราไม่เคยคิดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เลย คิดถึงเรื่องอื่นหมด คิดถึงสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็ปรากฏเร็ว จนกระทั่งเป็นหลายๆ สิ่งปรากฏขณะนี้ มีหลายๆ คน

แต่ละคน ต้องมีสิ่งที่กระทบตา จึงปรากฏ ก่อนเป็นคนด้วยซ้ำไป!! เพราะว่า ประสาทตาหรือที่เราใช้คำว่า รูปพิเศษ ต่างหากจากรูปอื่น เพราะเป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ได้ รูปนั้นต้องมี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริง สิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร มีปัจจัยอะไรบ้าง ทั้งหมด ถ้าไม่เคยฟังเลย จะไม่รู้เลยว่า ชีวิต คือ หนึ่งขณะจิต และหนึ่งขณะนั้น เป็นอะไร ก็ไม่รู้เลย ไม่รู้ไปหมด ตลอด!!

แต่ขณะนี้ กำลังเริ่มฟัง ว่า ขณะนี้มี "เห็น" เพราะกำลังมีเห็น ก่อนเห็นมีเห็นไหม ถ้าเห็นยังไม่เกิด เห็นไหม เราพูดถึงเห็น เราไม่สนใจเลยว่า ก่อนเห็นไม่มีเห็นแน่นอน แต่เห็นเกิดใช่ไหม จึงเป็นเห็น และเห็นก็ดับไป ในขณะที่ได้ยิน ต้องไม่มีได้ยิน เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของความไม่รู้ ซึ่งเกิดดับสืบต่อ เร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่เคยรู้เลยว่า แต่ละหนึ่ง ห่างไกลกัน ขณะนี้ เหมือนมีเห็นตลอดเวลา ใช่ไหม แต่ก็มีได้ยิน แต่ก็มีคิด และ ยังมีอีกหลายอย่าง ซึ่งไม่เคยคิดถึงเลย เพราะไม่รู้!!

แต่ขณะนี้เท่าที่รู้ได้ ในทุกชาติ ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน สิ่งที่จะปรากฏให้รู้ มี ๖ ทาง ทางตา "เห็น" กำลังเห็น ทางหู มี "ได้ยิน" กำลังได้ยิน ทางจมูก ขณะที่ "ได้กลิ่น" มีกลิ่น ขณะที่กำลังรับประทานอาหาร มี "รส" ขณะที่กระทบสัมผัสเดี๋ยวนี้ มี "แข็ง" แล้วทางใจก็ "คิดนึก" ตามสิ่งที่ปรากฏ ไม่คิดเรื่องอื่น คิดเรื่องสิ่งที่ปรากฏ เพราะสิ่งนั้นปรากฏให้คิด จนจำ แม้ไม่มีสิ่งนั้น ก็ยังจำ!! ยังคิดถึงสิ่งที่เห็นบ้าง ที่ได้ยินบ้าง เป็นชีวิตจริงๆ ในแต่ละขณะ ซึ่ง ไม่เหลือเลยสักขณะเดียว!! แค่นี้!! จริงไหม? ไม่เหลือเลยสักขณะเดียว!!

เริ่ม..ค่อยๆ รู้ความจริงว่า "เห็น" เป็น "เห็น" ไม่ใช่ "เราเห็น" เพราะถ้าเห็นไม่เกิด ก็ไม่มีเห็น ไม่ใช่ว่ามีเราเห็น ต่อเมื่อใด มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ด้วยความไม่รู้ เมื่อเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ เช่น เห็น แล้วไม่รู้ความจริงว่า เห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วดับ ก็เป็นเราเห็น เดี๋ยวนี้กำลังได้ยิน เดี๋ยวนี้เลย!! กำลังได้ยิน "ได้ยิน" เกิดขึ้น เพราะไม่รู้ว่า ได้ยินเกิดขึ้นได้ยิน แล้วดับ ก็เป็น "เรากำลังได้ยิน" ทุกขณะ!!

เพราะฉะนั้น ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้น เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ แล้วไม่รู้ความจริง ว่าแท้ที่จริง ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิด ไม่มี เมื่อมีแล้วก็หมดไป จะอยู่ตลอดไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่าง มีปัจจัยที่ทำให้เกิด จึงเกิด เมื่อเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัยที่ทำให้เกิด ก็ดับ เพราะเกิดแล้ว จบแล้ว ดับ ไม่เหลือเลย!!

เพราะฉะนั้น ทุกคนเกิดแล้วต้องตาย แต่ไม่เคยคิดเลยว่า คืออะไรที่เกิด? และ อะไรที่ตาย? แต่รู้แน่ว่ามีเกิด แต่เมื่อไม่รู้ว่าอะไรเกิด ก็ "เราเกิด" เพราะเราเห็น เราได้ยิน ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วพอถึงเราตาย ไม่คิดบ้างหรือว่า ทำไมต้องตาย ไม่มีใครไม่ตายเลยสักคนเดียว ถ้ามีเรา ก็บังคับให้ไม่ตาย ใช่ไหม แต่นี่ สิ่งนั้นต้องเกิด ยังไม่ตายก็ต้องเห็น ยังไม่ตายก็ต้องได้ยิน

แล้วก็ถึงวันหนึ่งซึ่งตาย หมายความว่า พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ โดยประการทั้งปวง โดยสิ้นเชิง ไม่เหลืออะไรที่จะเป็นบุคคลนี้อีกได้เลย ไม่มีเห็นอีก ไม่มีได้ยินอีก ไม่มีคิดอีก ไม่มีจำอีก แล้วความจริงเป็นอย่างนี้ มีประโยชน์อะไร ที่จะเป็นอย่างนี้ ตลอดไป เกิดดับ เกิดดับ แล้วถึงเวลาก็ หมดความเป็นบุคคลนี้ ต่อไป แมวเกิด นกเกิด ปลาเกิด เคยเป็นคนเกิดไหม? ตามเหตุ ตามปัจจัย

เพราะฉะนั้น สิ่งซึ่งมีจริงๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถรู้ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้ง และทรงพระมหากรุณา รู้ว่า ใครก็ไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตนเอง เพราะว่าวันหนึ่งๆ เคยคิดถึง "เห็น" ไหม? ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ หมดแล้ว เมื่อกี้นี้ กำลังได้ยินอย่างนี้ หมดแล้ว ไม่เหลือแล้ว มีใครเคยคิดอย่างนี้บ้าง? ไม่มีการคิดไตร่ตรองที่จะรู้ความจริงเลย เพราะไม่ได้สะสมมา ที่จะเป็นผู้ที่ละเอียด รอบคอบ ที่จะไตร่ตรองทุกสิ่งทุกอย่าง จนกระทั่งเป็นความที่ถูกต้อง เพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ใช่ไหม ไม่ใช่ให้เชื่อ!! ลองฟัง แล้วก็ไตร่ตรอง เป็นความจริงอย่างนี้ หรือเปล่า?

เพราะฉะนั้น เกิดมา มีคนที่ไม่ได้ฟังธรรมะเยอะ มีคนที่ได้ยินได้ฟัง แล้วไม่เข้าใจก็มาก มีคนได้ยินได้ฟังแล้วเบื่อ ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไร ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่เห็นจะติดตามมาในสิ่งที่พอใจ หวังแต่สิ่งที่จะติดข้อง ที่พอใจ แต่ก็ไม่ได้อย่างนั้น ต้องเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย เท่านั้นเอง...แล้วก็จากไป..ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง...

แล้วมีประโยชน์อะไร ที่เกิดมาแล้วก็อยากเห็น อยากได้จำ อยากสนุก อยากอะไรทั้งหมด แล้วก็จากไป โดยที่ว่า ทุกขณะ ก็ยังไม่เหลือเลยสักขณะเดียว..ถ้าฟังอย่างนี้แล้ว..จะมีความเห็นใจคนอื่น...ที่ไม่รู้..ไหม?...

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


ขอเชิญติดตามบันทึกการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :

และ ขอเชิญคลิกชมบันทึกการสนทนาธรรมที่บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ครั้งที่ผ่านมาทั้งหมด ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๑
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๘
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๗
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๖


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 19 ธ.ค. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลของทุกๆ ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Kalaya
วันที่ 19 ธ.ค. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ ที่เคารพและกราบอนุโมทนาผู้ร่วมสนทนาธรรมทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ธ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ