ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ไปสนทนาธรรมที่บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๖

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  15 ส.ค. 2566
หมายเลข  46387
อ่าน  27,552

วันศุกร์ที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร (กรรมการกฤษฎีกา - ที่ปรึกษามูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา) เพื่อไปสนทนาธรรม ณ บ้านเลขที่ ๙๘/๑๒๐ ในสนามกอล์ฟ เดอะ รอยัล เจมส์ แอนด์ สปอร์ตคลับ ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๕.๐๐ น.

การสนทนาธรรม ที่บ้านของคุณทักษพล และ คุณจริยา เจียมวิจิตร ทุกครั้ง ท่านเจ้าบ้านมีกุศลศรัทธาและมีเมตตาอย่างยิ่งในการเปิดบ้านต้อนรับผู้สนใจทุกท่านที่จะเดินทางมาร่วมฟังโดยไม่จำกัดจำนวน โดยได้จัดเตรียมสถานที่พร้อมอาหารกลางวันไว้คอยต้อนรับทุกท่านอย่างเต็มที่ ทั้งยังมีสหายธรรมนำอาหารและขนมมาร่วมเจริญกุศลด้วยหลายชนิด

ทางมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้จัดให้มีการถ่ายทอดสดการสนทนาไปยังผู้ชมผู้ฟังทางบ้าน ที่สามารถติดตามรับชมและฟังการสนทนาธรรมครั้งนี้ ได้จากทั่วทุกมุมของโลกเช่นเคย ซึ่งท่านสามารถติดตามรับชมและฟังบันทึกการสนทนาในครั้งนี้ ได้จากบันทึกการสนทนาที่ได้แนบไว้ในตอนท้ายของกระทู้

ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอน พร้อมภาพบรรยากาศของการสนทนาที่ได้บันทึกไว้ มาเพื่อทุกท่านที่สนใจ ได้อ่านและพิจารณา ดังนี้

คุณจริยา เจียมวิจิตร เมื่อใดที่สถานที่นี้เป็นที่สนทนาธรรม ฟังพระธรรม ที่นั่นเป็นบ้านของเรา บ้านของพวกเรา คือบ้านของผู้ที่ ใฝ่ใจในพระธรรม โดยความเกื้อกูล ความเมตตา อย่างยิ่ง ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ท่านได้เมตตาพวกเรามาเป็นเวลาช้านาน

และในวันนี้ ก็เป็นอีกวันหนึ่ง เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ของที่นี่ ที่จะได้มีโอกาสสนทนาธรรม ท่านใดที่มีความสนใจ ใส่ใจ ที่จะถามปัญหาใด อย่าได้รีรอเลย ทุกๆ วินาที มีค่ายิ่ง กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ โอกาสที่ดี ที่ประเสริฐสุดในชีวิต คือ ได้เข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริง ตั้งแต่ขั้นฟัง เข้าใจ ไตร่ตรอง จนเป็นความมั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้น ก็ไม่มีอะไรเกินไปกว่า ฟังแล้ว ค่อยๆ เข้าใจขึ้น วันนี้ ก็เป็นโอกาสที่ประเสริฐสุดในชีวิตจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่กล่าวไป แต่เป็นเช่นนั้นจริงๆ ความลึกซึ้งของพระธรรม สุดประมาณ ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้ไตร่ตรอง ไม่ได้สนทนา ความเข้าใจก็ไม่เจริญขึ้น

ความยาก ที่จะรู้ความจริงขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่ในขั้นฟัง เข้าใจ ไตร่ตรอง หรือปริยัติ ก็เป็นความยาก ที่จะรู้ จะเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ แม้มีเราที่มุ่งที่จะเข้าใจ มีเราที่มุ่งที่จะฟังให้เข้าใจ บางทีก็มีคำถามทั่วไปว่า จะฟังธรรมอย่างไรดี ให้เข้าใจ จะไตร่ตรองธรรมอย่างไร ให้เข้าใจ ก็ยังเป็นเราที่มุ่งที่จะให้เราได้เข้าใจพระธรรม

เพราะฉะนั้น การที่จะเริ่ม รู้จักคิด รู้จักไตร่ตรอง ที่ตรงตามความเป็นจริง เป็นความสำคัญอย่างยิ่ง กราบเท้าท่านอาจารย์ ในเรื่องของความยาก ที่ แม้จะฟัง เข้าใจ ครับ

ท่านอาจารย์ คงไม่ต้องคิดถึงใคร ใช่ไหม? กำลังฟัง แล้วคิดถึงใคร? แต่ฟังคำซึ่ง เมื่อฟังแล้ว อย่างที่คุณอรรณพได้กล่าว ยาก..เพราะอะไร? ถ้าไม่ยาก จะเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ? แค่นี้

ทุกครั้งที่รู้ว่ายาก เริ่มรู้ความหมายของคำว่า "พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่า "ตรัสรู้" เพราะอะไร? แต่ละคำ พูดถึง "สิ่งที่มีจริง" แน่นอน!! และ มีจริง เดี๋ยวนี้ด้วย!!

ใครเคยคิดถึง "สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้" บ้าง? มีแต่คิดถึงเรื่องอื่นทั้งวัน!! ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้ไหม ว่า ทุกคำของพระองค์ กล่าวถึงสัจจะ ความจริงถึงที่สุด!! ของสิ่งที่กำลังมี!!

แค่นี้ บางคนก็ไม่สนใจแล้ว แต่ผู้ที่ได้ยินคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มสนใจ ใคร? ทำไมมีพระนามที่ไม่เหมือนใครเลย พระอรหันต์ พระอรหันตสัมมา..สัมพุทธเจ้า ความหมายนี้ลึกซึ้งเกินกว่าที่ใครจะคิด เพราะเหตุว่า ไม่มีใครที่จะมีพระคุณเท่ากับผู้นี้ ที่ได้พระนาม ซึ่งไม่ใช้สำหรับคนอื่นเลย ทั้งสากลจักรวาล ต้องเป็นสำหรับผู้นี้ท่านเดียวเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจอย่างนี้ เริ่มฟัง และเริ่มเข้าใจว่า ทุกคำต้องกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง แน่นอน มิฉะนั้นแล้ว จะมีประโยชน์อะไร พูดถึงสิ่งที่ไม่จริง และไม่มีเดี๋ยวนี้ แต่ทำไมรู้ว่าจริง? พูดถึง "สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้" จะจริงไหม? พิสูจน์ได้ไหม? ต้องถามใครไหม ว่าจริงหรือเปล่า เพราะว่าพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งหมด ซึ่งเริ่มทำให้เริ่มรู้ว่า ความไม่รู้ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มากมายปานใด

เช่น พระองค์ตรัสว่า "ธรรม" ถ้าไม่ไตร่ตรอง คิดว่า รู้จักคำนี้แล้ว "ธรรม" แต่ รู้จักจริงๆ หรือเปล่า? รู้จักแค่ไหน? ถ้ากล่าวว่า "ธรรมคือสิ่งที่มีจริง" ใครคิดว่าเคยได้ยินคำนี้มาก่อน? เพราะได้ยินแต่คำว่า ยุติธรรม วัฒนธรรม กุศลธรรม อกุศลธรรม แต่ว่า ไหนล่ะ? คืออะไร? เดี๋ยวนี้มีหรือเปล่า?

เพราะฉะนั้น แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสคำที่ชาวมคธี ชาวมคธ เขาเข้าใจ แต่เขาไม่มีความเข้าใจสิ่งที่มี พอได้ยินคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาจึงฟังคำที่เขาใช้เป็นประจำ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ เราคนไทย ก็ใช้คำที่เราสามารถจะรู้เรื่อง เพราะเหตุว่าเป็นคำที่เราพูดตั้งแต่เกิด จะไปใช้คำอื่น ไม่สามารถจะเข้าใจได้ เท่ากับภาษาของเรา

เพราะฉะนั้น ทุกคำ ถ้ามีความเข้าใจแล้ว ก็กล่าวถึงคำนั้น ในภาษาของตนๆ แล้วก็รู้ว่า คำนี้แหละ ถ้าได้ยินคำอื่น ที่ไม่ใช่ภาษาไทย เช่น คำภาษามคธี ภาษาบาลี ก็รู้ว่า หมายถึงคำนี้ "ธรรมคือสิ่งที่มีจริง" พูดถึงสิ่งที่มีจริง ตอนนี้เป็นอะไร เป็นอย่างหนึ่งอย่างใดหรือเปล่า หรือเป็นอย่างอื่น แต่ สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม อีกคำหนึ่ง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงใช้คำว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะไม่ได้พูดกับคนไทย แต่พูดกับคนที่เขาเข้าใจ ว่า ขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริง!!

เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ต้องฟัง เริ่มต้นที่จะไตร่ตรอง ส่วนใหญ่ คนชอบฟัง ไม่คิด แล้วก็ไม่ละเอียดด้วย ฟังแล้วเหมือนเข้าใจแล้ว ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เข้าใจหรือยัง? "เข้าใจความหมาย" ว่า มีจริง!! แต่ไม่รู้ว่า อะไรจริง จริงหรือเปล่า? ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ต้องมีแน่นอน แต่ว่า อะไรจริง? หาเองได้ไหม? แค่นี้ "เริ่มต้นแล้ว" ใช่ไหม? ตั้งแต่ "คำแรก" คิดเอง หาเอง ไม่เจอ ไม่รู้

แต่ถ้าบอกว่า "เห็น" ขณะนี้ มีจริงๆ หรือเปล่า? ตอบได้ไหม? ตอบได้!! เพราะ กำลังเห็น!! พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่มีในชีวิตทุกขณะ ทุกชาติ ตั้งแต่เกิดจนตาย โดยละเอียดอย่างยิ่ง ให้รู้จักว่า ทั้งๆ ที่ "กำลังเห็น" และ เกิดมาก็มี "เห็น" และวันนี้ก็เห็น กำลังเห็น รู้จัก "เห็น" แค่ไหน? จริงหรือเปล่า "เห็น" มีจริงๆ แต่ใครจะตอบได้ ว่า "เห็น" คือ อะไร? ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ก็ยังตอบไม่ได้!!

เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตาย และทุกชาติแต่ไม่รู้ ให้เข้าใจ ทีละหนึ่ง ในความเป็นจริง ว่า ขณะนี้ "เห็น" ถ้าไม่เกิด "จะมีเห็น" ไหม? แค่นี้ จริงไหม? สำหรับไตร่ตรอง ให้เริ่มเป็นคนที่ "เริ่มคิด เริ่มไตร่ตรอง" ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพียงแต่ฟัง แล้วก็จำ แล้วก็เชื่อ แล้วก็พูดตาม พอถามอะไร ตอบตามหมดเลย ตามที่ได้ฟัง เป็นจิต เป็นอะไรๆ ก็พูดไป

แต่ว่า "เดี๋ยวนี้กำลังเห็น" มีจริงๆ แล้ว "คิดถึงเห็น" บ้างไหม? หรือคิดถึง "เรื่องเห็น" ฟังมาอย่างไรก็พูดตามไปอย่างนั้น แต่ไม่ได้คิดเลยว่า ขณะนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ทรงตรัสรู้ความจริง" ของ "เห็น" เพื่อให้ทุกคนสามารถรู้ความจริงของเห็น ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ ไม่พูดถึงด้วย พูดถึงตรัสรู้ คำว่า ภาวนา ปฏิบัติ บรรลุมรรคผล แต่ ขณะนี้กำลังเห็น แล้วไม่รู้จัก "เห็น" จะไปภาวนาอะไร จะไปตรัสรู้อะไร

คิดบ้างไหม เพียงแค่นี้ "กำลังเห็น" แล้วให้ไปภาวนา แล้วจะรู้อะไร? ทั้งๆ ที่ กำลังเห็น ก็ไม่รู้ "เห็น" ต้องเป็นคนที่ละเอียด แล้วก็ไตร่ตรอง แล้วก็มั่นคง ในความจริง เพราะฉะนั้น "เห็น" เป็นสิ่งที่มีจริง "เป็นธรรม" อะไรอีกจริง "คิด" ก็จริง "จำ" ก็จริง "ชอบ" ก็จริง "โกรธ" ก็จริง สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ปฏิเสธไม่ได้ ในขณะที่สิ่งนั้นปรากฏให้รู้ ทั้งหมดที่มีจริง เป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดมา มีอะไรบ้าง? ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เท่านี้หรือเปล่า? ไม่เคยคิด คิดว่ามีเรื่องเยอะเลย ประเทศนั้น ประเทศนี้ เมื่อวานนี้เป็นอย่างนั้น เหตเกิดขึ้นที่โน่น ที่นี่ ที่นั่น เพราะอะไร ทั้งหมดเลย แต่ไม่รู้ความจริงว่า ขณะนั้น ไม่ใช่เห็น แล้วใครจะรู้ว่า ขณะคิด ไม่ใช่เห็น

เพราะฉะนั้น การฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจแต่ละคำ โดยละเอียดขึ้น ทีละคำ เพราะอะไร แต่ละคำ หมายความถึง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง และ แต่ละหนึ่ง ใครจะรู้ เกิด แล้ว ดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ไม่ว่าเดี๋ยวนี้หรือเมื่อไหร่ หนึ่งใดก็ตามที่มีที่เกิด เกิดขึ้นปรากฏ หนึ่งนั้นดับ ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์

เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของการไม่รู้ว่า เป็นธรรมทั้งหมด ที่เกิด-ดับ ตราบใดที่มีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิด ไม่เกิดไม่ได้ ต้องละเอียดจนกระทั่งว่า มีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิด ไม่เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น เกิดแล้วดับ ใช่ไหม เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิด เท่านั้น เกิดแล้วดับ นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง จริงหรือเปล่า เมื่อวานนี้ก็เห็น เมื่อเช้านี้ก็ได้ยิน ทั้งหมด อยู่ไหน?

ทำให้สามารถที่จะเริ่มเข้าใจความจริงว่า แม้ขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้แหละ เกิดแล้ว และ ดับแล้วด้วย ลึกซึ้งไหม? แล้วจะไปรู้อะไร ถ้าพระองค์ตรัสอย่างนี้ หมายความว่า ทรงตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพื่อให้คนอื่น ได้เริ่มเข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะดับความไม่รู้ ที่เกิดพร้อมความยินดี ที่ยึดถือว่าเป็นเรา

ธรรมมีมากมาย แต่ละคำ เป็นภาษาบาลีทั้งนั้น แต่ทำไมเราจะต้องไปพูดคำ ที่เราจะต้องแปล ในเมื่อ "เห็น" ขณะนี้ "ตาคือจักขุ" "วิญญาณคือธาตุรู้" เพราะฉะนั้น เห็นขณะนี้ เราจำได้เลย "จักขุวิญญาณ" หรือจะใช้อีกคำหนึ่ง "จักษุวิญญาณ" แต่ก็คือ "เห็น" เดี๋ยวนี้แหละ ไปนั่งท่อง นั่งนึกถึง "ชื่อ" แล้วจะ "รู้เห็น" เดี๋ยวนี้ไหม?

เพราะฉะนั้น ให้เป็นคนที่ เริ่มไตร่ตรอง ให้ละเอียดลึกซึ้ง เพราะว่าความเข้าใจ มีแค่ไหน เพียงคำว่า "ธรรม" คำเดียว มั่นคงหรือยัง? ธรรมแต่ละหนึ่ง รวมกันแล้วเกิดนิมิตรูปร่างให้เห็น สีสัน วรรณะ อ่อน แก่ ชมพู เหลือง อะไรต่างๆ ก็ตาม ทำให้ปรากฏเป็นนิมิต สัณฐาน ของสิ่งหนึ่งสิ่งใด หมายรู้ได้ว่า นี่ดอกไม้ นั่นใบไม้ นี่โต๊ะ นี่คน จริงหรือเปล่า?

นี่ก็เป็นการกล่าวถึงให้ฟัง คร่าวๆ ให้เห็นว่า ธรรมทั้งหมด ไม่ได้รู้มาก่อน และจะไม่รู้เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรง ถ้าไม่ตรง ก็ความจริงอยู่ตรงนี้ ไม่ตรงความจริง แล้วจะไปรู้อะไร สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มี "ถ้าไม่รู้ตรงนั้น" จะสามารถเข้าใจ "ตรงนั้น" ได้ไหม? ทุกคำ ค่อยๆ มั่นคง ว่า ลึกซึ้งอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ มีเห็น มีต้นไม้ มีคน มีกล้อง มีอะไรหลายอย่าง รู้จักอะไรบ้างแล้ว? หรือ "ยังเหมือนเดิม" คนก็ยังเป็นคนนั่นแหละ แล้วก็เป็นคนนั้น ไม่ว่าจะพบกี่ครั้ง แล้วความจริงเป็นอะไร? ไม่สามารถจะรู้ได้ ด้วยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ธรรมทั้งปวง ไม่เว้นเลยใช่ไหม เป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่รวมกันเป็นสิ่งหนึ่ง ถูกไหม

ต้องเข้าใจขึ้นทีละคำ ทีละเล็ก ทีละน้อย เพื่อรู้ความจริงว่า "เป็นธรรม" ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย แม้ว่าจะเป็นใครมาแต่ไหน เป็นเรามาแต่ไหน มากมายมหาศาล แต่ความจริงก็คือว่า ไม่มีใคร นอกจากมีธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นตามเหตุ ตามปัจจัย ที่ถูกต้องสำคัญที่สุดคือ สิ่งหนึ่งสิ่งใด เกิดแล้ว ดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย ในสังสารวัฏฏ์

ชาติก่อนเป็นใคร กลับไปเป็นชาติก่อนได้ไหม? เมื่อวานนี้เป็นอะไร กลับไปเป็นอย่างเมื่อวานนี้ได้ไหม? แม้จะเห็นเดี๋ยวนี้ ก็ยังไม่ใช่เห็นเมื่อวานนี้ ไม่ได้กลับเอาสิ่งที่เห็นเมื่อวานนี้มาเห็น หรือเห็นเมื่อวานนี้มาเป็นเห็นเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ได้

เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่มั่นคง เพื่อที่จะรู้ความจริงว่า สิ่งที่เราคิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ความจริงก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ซึ่ง เพราะเกิดขึ้นจึงมี ถ้าไม่เกิดขึ้น ไม่มี ใครจะไปทำให้มีก็ไม่ได้ แม้สิ่งที่เกิดแล้ว ก็ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น เพราะเกิดแล้ว!! เกิดแล้ว จะไปทำให้เกิด ได้หรือ? ไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งที่มี เกิดแล้วทั้งนั้น แล้วจะยังไปคิดให้อะไรเกิดหรือ? เมื่อเข้าใจความจริงว่าสิ่งนั้นเกิดเพราะอะไร จึงเริ่มรู้ว่า แต่ละอย่าง ต่างกันมากมาย เพราะว่า เหตุที่จะให้เกิด ต่างกัน จึงเหมือนกันไม่ได้

แค่นี้ มีประโยชน์ไหม? รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? แค่สองคำ ธรรมเป็นอนัตตา ไม่เว้น ธรรมทั้งปวง ทั้งหมด ทั้งหลาย สักหนึ่ง ก็เป็นอัตตาไม่ได้!! แล้วก็แสดงให้ละเอียดขึ้น จนค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง ละคลายว่าไม่มีเรา มั่นคง แต่ นี่เป็นระดับต้น ที่ทรงแสดง การเข้าใจ มี ๓ ระดับ ขั้นฟัง "ปริ-โดยรอบ" ปริยัติ เข้าใจคำเดียวไม่พอ มีอีกตั้งเยอะที่ไม่เข้าใจ ต้องรอบรู้ในความจริง ของแต่ละคำที่ได้ฟัง มั่นคง

กว่าจะมั่นคง ต้องฟังอีกนานเท่าไหร่ ที่จะไม่ลืมว่า เราไม่เคยคิดว่า ขณะนี้ เห็น ไม่ใช่ ได้ยิน พร้อมกันไม่ได้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วดับไป ถ้าได้ยินเกิด หมายความว่าขณะนั้นไม่มีเห็น แสดงว่าเห็นดับ และขณะที่เห็น ต้องไม่มีได้ยิน แสดงว่าได้ยินดับ จึงมีเห็น ทั้งหมดเกิดดับสลับกันไป รวดเร็ว อย่างละเอียดยิ่ง เกินที่จะประมาณได้ จึงปรากฏเป็นโลกของสิ่งหนึ่งสิ่งใด โลกของความไม่รู้

ทรงแสดงไว้ละเอียดมาก เพราะฉะนั้น ผู้ที่เริ่มเห็นพระคุณที่ว่า ในสังสารวัฏฏ์ ไม่เคยรู้ความจริง แต่ก็เกิดดับไปตามเหตุตามปัจจัย และ ตราบใดที่ไม่รู้ความจริง ก็มีเหตุที่จะให้เกิดดับไป ไม่สิ้นสุด ออกจากสังสาวัฏไม่ได้ ทั้งๆ ที่ ไม่มีเราเลย!! เป็นธรรมทั้งหมด ที่เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย

มั่นคงไหม ว่า กำลังฟังอะไร? ใครคิดเอง? ไม่มีใครสักคนใช่ไหม คิดเอง แต่มีคำจากใคร? ผู้ที่ตรัสรู้ ตรัสเพื่ออะไร? ให้คนอื่นได้ฟัง ได้เข้าใจ ไม่ใช่แค่ฟัง จนกระทั่งเป็นความรู้ของบุคคลนั้นเอง ที่จะสะสม ค่อยๆ มั่นคงขึ้น เหมือนที่พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ สะสม มั่นคง รู้ว่าขณะใดที่เป็นอกุศล ขณะนั้นไม่ดี แสดงเหตุว่า อกุศลความไม่ดีนั้น มีอะไรบ้าง เกิดจากอะไร และทั้งวัน ถ้าเป็นอกุศลที่ไม่ดีมากๆ จะไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ตามที่พระองค์ทรงแสดง

เพราะฉะนั้น ทุกคำ ฟังด้วยความเคารพว่า หนทางที่จะรู้ความจริง ถ้าไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำที่พระองค์ตรัส โดยรอบคอบ โดยละเอียด โดยมั่นคง ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏ!!

แค่ฟังเดี๋ยวนี้ เข้าใจขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ใช่ไหม? ว่าเห็นเกิดแล้วเห็นดับ ความจริงถึงที่สุด แต่เดี๋ยวนี้ "เห็น" ก็ยังไม่เกิดไม่ดับให้ปรากฏ และความจริงก็คือว่า ยังไม่ได้รู้ความจริง ก็เป็นอย่างนี้ไป แล้วก็มากด้วย เพิ่มขึ้นอีก ในความไม่รู้ ทุกขณะ ที่ไม่รู้!!

ก็เป็นเรื่องที่อดทน ระดับไหน? คิดไม่ออก จนกว่าปัญญาจะมั่นคงเพิ่มขึ้น จึงจะรู้ว่า ความอดทน อดทนระดับไหน อดทนฟัง ที่จะเข้าใจ เพราะว่าถ้าไม่ฟัง ไม่มีทางเข้าใจ อดทนฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ก็ต้องไตร่ตรอง แต่ละคำ จนรู้ว่า คำนั้นที่กล่าว จริงแค่ไหน จริงหรือเปล่า แล้วก็ยังต้องอดทนว่า ไม่ใช่มีความจริงเพียงหนึ่งเท่านั้น ทุกขณะ เป็นจริงทั้งหมด ละเอียดอย่างยิ่ง แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ สภาพธรรมตามความเป็นจริง ต้องเกิดขึ้น ทีละหนึ่ง ถูกต้องไหม ก็ยังไม่ประจักษ์ จึงมีการที่จะเข้าใจธรรม โดยลึกซึ้งว่า พระองค์ไม่ได้ทรงเพียงให้เข้าใจเรื่องราว แต่ให้ "เข้าถึงความจริง" ที่กำลังเกิด-ดับ จนกระทั่งประจักษ์แจ้ง จึงสามารถที่จะละคลาย "ความเป็นเรา" ตามลำดับขั้นของปัญญา

เพราะฉะนั้น ใครยังหวังอะไรอีกบ้าง? หรือว่า ฟังเพื่อรู้ว่าต้องอบรม แล้วก็ต้องเข้าใจ การจะรู้ความจริงได้มากน้อยเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ซึ่งมาจากการได้ฟัง แล้วไตร่ตรอง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดียิ่งในกุศลทุกประการของคุณทักษพล คุณจริยา คุณศิริพล เจียมวิจิตร และทุกๆ ท่าน มา ณ ที่นี้


ขอเชิญคลิกชมและฟังบันทึกการสนทนาธรรมครั้งนี้ ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :


ขอเชิญคลิกอ่านกระทู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๖

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๗

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๘

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ - ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๗ ธันวาคม ๒๕๖๕


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 15 ส.ค. 2566

ทุกคำ ฟังด้วยความเคารพว่า หนทางที่จะรู้ความจริง ถ้าไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำที่พระองค์ตรัส โดยรอบคอบ โดยละเอียด โดยมั่นคง ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏ!!

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
namarupa
วันที่ 15 ส.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่งค่ะ และกราบอนุโมทนาพี่ต๋อย จริยาและคุณทักษะลในกุศลจิตทุกประการค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ไพรศรี
วันที่ 15 ส.ค. 2566

อนุโมทนา สาธุครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 16 ส.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลทุกประการของอาจารย์ทักษพล-อาจารย์จริยา เจียมวิจิตร
เป็นอย่างยิ่ง การสนทนาธรรม เป็นประโยชน์ที่สุดครับ
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม ด้วยครับ ที่ถ่ายทอดบรรยากาศและถอดคำสนทนาที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ
ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 5 ก.ย. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ