สภาวะจิตพระอรหันต์
ขอสอบถามท่านอาจารย์สุจินต์ ว่า "สภาวะจิตของพระอรหันต์" เป็นอย่างไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอรหันต์ คือ ผู้ที่ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ไม่มีเหลือ เมื่อดับกิเลสได้ทั้งหมดแล้ว ชีวิตของท่านก็ดำเนินไปอย่างผู้ไม่มีกิเลส ไม่มีจิตเจตสิกที่เป็นไปกับด้วยกิเลสเกิดขึ้นอีกเลย แต่ก็ยังมีจิตประเภทอื่นๆ เกิดขึ้น ซึ่งโดยปกติของพระอรหันต์จะมีจิตเพียง ๒ ชาติ (ชาติ คือ การเกิดขึ้นของจิต) ได้แก่ วิบากชาติ (จิตเกิดขึ้นเป็นวิบากรับผลของกรรม เช่น ขณะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส เป็นต้น จิตเห็น ไม่ว่าจะเป็นของใคร ก็เป็นเพียงวิบากจิตที่เกิดขึ้นทำกิจเห็นแล้วก็ดับไป เหมือนกันจิตเห็นของพระอรหันต์ เป็นโลกิยจิต ไม่ใช่โลกุตตรจิต) กับ กิริยาชาติ (จิตเกิดขึ้นเป็นกิริยา คือ ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล ไม่ใช่วิบาก เช่นในขณะที่ท่านช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เป็นต้น) จนกว่าจะดับขันธปรินิพพาน ซึ่งเมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีจิต เจตสิก และ รูปเกิดขึ้นอีกเลย เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ.
... ยินดีในกุศลของคุณ สุระเชษฐ์ และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
ขอบคุณอาจารย์คำปั่น ครับ ...
ขอถามอีกครับ ว่า ... ผมประจักษ์แจ้งว่า จิตเกิดดับสืบเนื่องกันไป แต่กฎการเกิดขึ้นและดับของจิต คือ อย่างไร?
1) . เมื่อมีการเกิดขึ้นใหม่ของจิต ส่งผลให้ จิตก่อนหน้าดับไป
2) . เมื่อมีการดับของจิตก่อนหน้า ส่งผลให้ จิตอันใหม่เกิดขึ้น
>>> การเกิดดับของจิตสืบเนื่อง กัน เป็นลักษณะแบบข้อที่ 1 หรือข้อที่ 2 ครับ
"ธรรม" ไม่ใช่เรื่องถามใครเลย แต่เป็นเรื่องฟังแล้วเข้าใจ ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว ก็เป็นปรมัตถธรรมทั้งหมดเลย แล้วแต่ว่าลักษณะใดปรากฏ ก็คือสิ่งที่เราได้เรียนแล้ว แต่ว่าขณะนั้นไม่มีชื่อที่จะต้องเป็นนึกว่าเป็นอะไร เพราะว่าลักษณะนั้นกำลังปรากฏให้รู้ แต่เมื่อไหร่ที่สติสัมปชัญญะเกิด ก็จะมีลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่งปรากฏ โดยที่ว่า ไม่มีชื่อ ไม่ต้องไปเรียกชื่อ
เรียน ความคิดเห็นที่ 2
ขอเชิญอ่านและรับฟัง
ข้อความบางตอนมีดังนี้
“อนันตรปัจจัย” เมื่อจิตเกิดขึ้น และดับไปแล้ว จิตที่เกิด และดับไปนั้นเป็นปัจจัยทำให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ไม่มีใครยับยั้งการเกิดขึ้นในขณะต่อไปของจิตได้เลย ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ และยังไม่ถึงจุติจิต ก็จะต้องมีจิตเกิดต่อจากจิตดวงที่ดับไป เพราะเหตุว่าจิตทุกดวงเป็นอนันตรปัจจัย เมื่อดับไปแล้วก็ทำให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น
ขอขอบคุณสำหรับคำตอบของคุณฉัตรชัยครับ ... ที่ผมมีคำถาม (ความคิดเห็นที่ 2) เนื่องจากผมพยายามทำความเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องจิต เป็นความไม่ประมาทในการเรียนรู้คำสอนพระพุทธเจ้าครับ ให้มีความถูกต้องและตรง ใน ทุกคำ ... การเกิดดับของจิตสืบไปใน จิตของเรา สังเกตได้ค่อนข้างชัดเจนโดยสภาพรู้ว่า "เมื่อ จิตดวงใหม่เกิด จิตดวงก่อนหน้าจะดับ" ... แต่ทางกลับกัน ซึ่งยังไม่เกิดปัญญาว่า "เมื่อจิตก่อนหน้าดับลง เป็นปัจจัยทำให้ จิตดวงใหม่เกิดขึ้น" หรือ บางกรณีอาจไม่มีจิตดวงใหม่เกิดขึ้น หากการดับของจิตก่อนหน้า แล้วเข้าสู่สภาพบรรลุธรรมบางอย่างทันที ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่าจิตดวงใหม่จะเกิดขึ้น หรือ ถ้าเข้าสู่สภาวะนิพพาน อาจไม่มีจิตเกิดขึ้นอีกเลย
เรียนความคิดเห็นที่ ๕ ครับ
จิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสายเลย จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที และในขณะที่บรรลุหรือรู้แจ้งพระนิพพาน ก็มีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์คือรู้พระนิพพาน ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจิตเกิดเลย ที่จะไม่เป็นเหตุให้จิตขณะต่อไปเกิดคือจุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้น ครับ
สำหรับเรื่องของการเข้าใจผิดในข้อปฏิบัติก็ตาม หรือว่าความเห็นผิดในข้อปฏิบัติก็ตาม เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะแก้ไขบุคคลที่ไม่ได้สะสมมาที่จะมนสิการหรือ พิจารณาในเหตุผลให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
ทั้งๆ ที่ฟังด้วยกัน ท่านหนึ่งสามารถที่จะพิจารณา มนสิการในเหตุผลตามคลองของธรรมตรงตามความเป็นจริงได้ แต่อีกท่านไม่พิจารณาเลย และก็ไม่เข้าใจด้วย
เมื่อผู้ใดไม่ได้สะสมเหตุปัจจัยมาที่จะพิจารณาธรรมให้ถูกต้องตามคลองของธรรม บุคคลอื่นก็ไม่สามารถที่จะไปแก้ไข หรือไปเปลี่ยนแปลงปัจจัยของเขาที่สะสมมาที่จะเห็นผิด ให้กลับเป็นการพิจารณาธรรมด้วยความแยบคายได้ แม้ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพานก็ตาม
ใน อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ภรัณฑุสูตร มีข้อความว่า
ขอเชิญรับฟัง
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ถ้าท่านไม่ศึกษาโดยตลอด ไม่พิจารณาไตร่ตรอง สอบทาน เทียบเคียงโดยแยบคาย โดยละเอียดจริงๆ จะเข้าใจ สภาพธรรมผิดได้โดยง่าย แต่เพราะเหตุที่ธรรมเป็นสภาพที่มีจริง คงทนต่อการพิสูจน์ ผู้ที่ได้ตรัสรู้สภาพธรรมนั้นถูกต้องตามความเป็นจริง จึงได้ทรงแสดงลักษณะของสภาพธรรมนั้นไว้
ขอเรียนถามอาจารย์คำปั่น ตามความคิดเห็นที่ 6 เนื่องจากธรรมะลึกซึ้งมาก ผมจึงขอถามเพื่อความแน่ใจ ว่า เมื่อ "เกิดจุติจิต ของพระอรหันต์ขึ้น ภพชาติ (การเกิดของร่างกาย) จะไม่เกิดอีกอันนี้เข้าใจครับ แต่จิตพระอรหันต์ (หลังจุติจิตดับลง) จิตพระอรหันต์ยังคงอยู่ไหมครับ?
จุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้น ที่จะไม่เป็นเหตุให้จิตขณะต่อไปเกิด
ถ้าเป็นพระอรหันต์ ตายแล้วจะไม่เกิดอีกเลย ที่เราใช้คำว่า “ปรินิพพาน” ถ้าปรินิพพาน คือ ไม่มีการเกิดอีกเลย ดับหมดทั้ง ๕ ขันธ์ ใช้คำว่า “ขันธปรินิพพาน”
ขอเชิญรับฟัง
ขอเรียนถามเจ้าของความคิดเห็นที่11 เป็นรายละเอียดสุดๆ ว่า จุติจิตเกิด-ดับ เมื่อใด?
***ร่างกายสิ่งมีชีวิต เมื่อหมดลมหายใจสุดท้ายปอดหยุดทำงาน สมองจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีก6นาที ต้องนับว่าการตายเกิดเมื่อหมดลมหายใจหรือสมองตาย?
1) .จุติเกิด เมื่อตายและคงอยู่หลังตายแต่ไม่มีความรับรู้?
2) .หรือ จุติดับ เมื่อตาย?
เรียนความเห็นที่ 12
การศึกษาพระธรรม คือศึกษาความจริงที่ผู้ที่แสดงความจริงด้วยปัญญาที่เลิศกว่าผู้ใด คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีผู้ใดจะกล่าวความจริงได้อย่างที่สุดของสภาพธรรมที่ไม่มีใครจะรู้ได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์
ดังนั้น การฟังพระธรรมต้องฟังโดยละเอียด ฟังแล้วฟังอีก ฟังชาติเดียวก็ไม่พอ การฟัง และหรือศึกษาเพิ่มเติมจากพระไตรปิฏกก็มีคำที่แสดงความจริงตรงตามที่ฟัง ไตร่ตรองตามคำที่ได้ฟัง ที่ได้อ่าน
เป็นไปไม่ได้เลยว่า ความคิดของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับพระธรรมจะถูกต้องตามความจริงที่ทรงตรัสรู้ จึงต้องศึกษาด้วยความเคารพและอดทนอย่างยิ่ง ที่สำคัญและจะได้รับประโยชน์อย่างยิ่งตรงตามวัตถุประสงค์ที่ทรงแสดงพระธรรมคือ ศึกษาพระธรรม เพื่อเข้าใจความเป็นธรรม แม้แต่จุติจิต ก็ไม่ใช่ของใคร ไม่มีใครที่ตาย มีแต่หน้าที่ของธรรม
ขออนุโมทนาค่ะ
ศึกษาเพิ่มเติมที่
แต่ละคำของพระองค์ลึกซึ้ง ต้องค่อยๆ เข้าถึงความเป็นจริงซึ่งเป็นธรรม ศึกษาให้ถึงความ "ไม่ใช่เรา" ฟังแล้วเข้าใจเป็นความเข้าใจของตนเอง ฟังซ้ำเพื่อเข้าใจ เพื่อไตร่ตรองเป็นความเข้าใจของเราเอง ... นี่เป็นประโยชน์ของการฟัง!!!
การศึกษาธรรมเพื่ออะไร ไม่ใช่คิดเอง
การศึกษาธรรม คือ การฟังเพื่อให้เข้าถึงพระปัญญาของพระผู้มีพระภาคที่ได้ทรงตรัสรู้ และได้ทรงแสดงธรรม เพื่อให้คนอื่นมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ฟังแล้วก็คิดไตร่ตรองว่า อะไรที่เราไม่รู้ และอะไรที่พระองค์ทรงตรัสรู้ จึงได้มีการฟัง เพื่อให้รู้ว่า ความรู้ของเรา หรือความคิดของเรา ความเข้าใจที่เรา คิดเอง จะต่างกับ ความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงอย่างไร
ยินดีในกุศลจิตครับ