วิถีจิต ในปรมัตถธรรม

 
WS202398
วันที่  15 มิ.ย. 2552
หมายเลข  12664
อ่าน  1,013

การที่จะเห็นวิถีจิต เห็นได้อย่างไร

เห็นยากหรือง่าย

ถ้าการเห็นดังกล่าวไม่เป็นสาธารณะ การศึกษาหรือเผยแพร่มีประโยชน์อะไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 16 มิ.ย. 2552
ควรทราบว่าผู้ที่รู้วิถีจิตและแสดงวิถีจิตอย่างละเอียด คือ พระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลายท่านรู้ไม่ละเอียดเท่าพระพุทธเจ้า แต่ท่านแสดงตามนัยที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ สำหรับผู้ศึกษาตามในรุ่นหลังๆ ก็จะรู้จิตในขณะที่เป็นชวนะ วิถีจิตขณะอื่น เช่น ปัญจทวาราวัชชนะ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โผฏฐัพพนะ เป้นต้น ก็รู้เพียงขั้นศึกษาตามเท่านั้น คือไม่ได้รู้ตัวจริงๆ ของวิถีจิตทั้งหมด แต่ก็ศึกษาให้เข้าใจความจริงว่าจิตเป็นไปตามลำดับอย่างนี้เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดในสภาพธรรม จึงควรศึกษาและเผยแพร่ให้รู้กันทั่วครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 16 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pornthip.d
วันที่ 16 มิ.ย. 2552

การศึกษา วิถีจิต เพื่อให้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา จิตเกิดขึ้น ทำหน้าที่ แล้วก็ดับไป

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ปริศนา
วันที่ 16 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
opanayigo
วันที่ 16 มิ.ย. 2552

ศึกษาเพื่อให้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ เพื่อละคลายความไม่รู้

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒

เชิญคลิกอ่านได้ที่

พรหมอาราธนาให้แสดงธรรม [อายาจนสูตร]

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 16 มิ.ย. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

การศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า จุดประสงค์ที่ถูกต้องคือเป็นไปเพื่อละ ขัดเกลา กิเลสอันเกิดจากปัญญาที่เจริญรู้ความจริงในสิ่งที่มีในขณะนี้ พระอภิธรรมเป็นสิ่งที่มี จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ได้มีอยู่ในหนังสือ แต่อาศัยการศึกษาจากพระธรรมที่พระองค์ ทรงแสดงแม้ในเรื่องของพระอภิธรรมก็เพื่อเข้าใจความจริงที่มีในขณะนี้ เข้าใจว่าเป็น ธรรมไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา

สิ่งใดที่พระพุทธองค์ทรงแสดงสิ่งนั้นย่อมเป็นประโยชน์เพราะพระองค์จะไม่ตรัส ในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เลย แต่พุทธศาสนิกชนต้องเป็นผู้มีความแยบคายในการศึกษา พระธรรม พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องวิถีจิต พระองค์จะไม่ทรงแสดงสิ่งที่ไม่มีจริงและ ไม่เป็นประโยชน์เลย วิถีจิตเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นการแสดงถึงการสืบต่อของจิตแต่ละขณะ ที่เกิดขึ้นและดับไปตามความเป็นจริง ผู้ที่ศึกษาด้วยความแยบคายคือเพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม เป็นอนัตตา ไม่ใช่เราที่จะทำให้เห็นแล้วเป็นกุศลหรืออกุศลเลย แต่ เป็นสภาพธรรมที่เป็นจิตเกิดดับสืบต่อทำหน้าที่ เห็น..แล้วเป็นกุศล อกุศล คิดนึกในสิ่ง ที่เห็นเป็นวิถีจิตสืบต่อกันไป แสดงให้เห็นถึงความเป็นอนัตตา แต่ไม่ใช่จะไปรู้วิถีจิตใน ขณะนี้โดยละเอียดเพราะไม่ใช่ฐานะที่จะรู้ได้ หรือพยายามจะจำรู้วิถีจิตให้ได้ ขณะนั้นก็ถูกโลภะความต้องการที่อยากจะรู้ชื่อ ดังนั้นควรเข้าใจความจริงไม่ว่าเรื่องใดที่ศึกษาก็เพื่อเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา อันเป็นไปเพื่อละควายความยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน จึงจะเป็นจุดประสงค์ที่ถูกต้องคือเพื่อละคลายความไม่รู้ที่มีในขณะนี้ครับ


ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Sam
วันที่ 18 มิ.ย. 2552

โดยความละเอียดแล้ว การศึกษาเรื่องราวของวิถีจิต และการรู้ลักษณะของวิถีจิต ก็เป็นไปตามที่ท่านผู้รู้ได้กล่าวไว้แล้ว นั่นคือเราควรศึกษาเรื่องราวของวิถีจิตทั้งหมด โดยละเอียด ส่วนการรู้ลักษณะของวิถีจิตอย่างถูกต้องก็เป็นไปตามกำลังของปัญญา ซึ่งปัญญารู้ลักษณะของวิถีจิตนี้ ก็มีจุดเริ่มต้น (และเป็นปัจจัยสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง) จากการศึกษาเรื่องราวของวิถีจิตโดยละเอียดนั่นเองครับ

สำหรับความเข้าใจกว้างๆ ที่พอจะเข้าใจได้เกี่ยวกับลักษณะวิถีจิตในขณะนี้คือ เรามี จิต 2 แบบ คือ วิถีจิต กับ วิถีมุตจิต (จิตซึ่งไม่ใช่วิถีวิจิต) หรืออีกนัยหนึ่งคือจิตที่รู้ อารมณ์ในโลกนี้ทั้งหมด (คือวิถีจิตทางทวารทั้งหก) กับจิตที่ไม่รู้อารมณ์ในโลกนี้ (ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และจุติจิต) ซึ่งมีกิจหน้าทีเฉพาะของตนๆ

ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ชีวิตของเราตามที่เราเข้าใจและยึดมั่นอยู่นั้น ในความ เป็นจริงแล้วทั้งหมดก็คือวิถีจิตนั่นเอง การศึกษาเรื่องราวและลักษณะของวิถีจิตจึง เป็นการศึกษาความจริงอันยิ่งของชีวิต ซึ่งผู้อื่นไม่อาจรู้แจ้งแทงตลอดโดยละเอียด ทั้งยังสามารถบัญญัติแจกแจง แสดงไว้โดยละเอียดนอกจากพระผู้มีพระภาค ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ปริศนา
วันที่ 18 มิ.ย. 2552

การศึกษา เรื่องราว และ ลักษณะ ของวิถีจิต จึง เป็นการศึกษา ความจริงอันยิ่งของชีวิต

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 18 มิ.ย. 2552

ในชีวิตประจำวันทุกๆ ขณะที่เป็นไป เป็นเพียงจิต เจตสิก รูป เท่านั้นที่เกิดขึ้น และดับไปอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดสาย ไม่มีเราสักขณะ แต่ด้วยความไม่รู้และกิเลส ที่สะสมมาเนิ่นนานจึงยึดสภาพธรรมว่าเป็นเราเป็นตัวตน จึงควรเริ่มจากการฟัง พระธรรมให้เข้าใจ ความเข้าใจเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอยู่เรื่อยๆ เพื่อที่จะให้ละคลาย การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
พุทธรักษา
วันที่ 19 มิ.ย. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
wannee.s
วันที่ 21 มิ.ย. 2552

เราศึกษาปริยัติเพื่อเข้าถึงความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ขณะนี้กำลังมีสิ่งที่ปรากฏเป็นวิถีจิตเกิดดับอย่างรวด เร็วมากสลับกับภวังคจิต เราก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ แต่อาศัยการฟังและการอบรมปัญญาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ก.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ