โทษของโลภะ

 
นิรมิต
วันที่  29 เม.ย. 2556
หมายเลข  22821
อ่าน  5,959

กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมทุกท่านครับ

อยากกราบขอความกรุณา ขอคำอธิบายโดยละเอียดถึงโทษของโลภะและความไม่มีประโยชน์ใดๆ ของโลภะ โดยประการต่างๆ โดยนัยที่ครอบคลุมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หรือถ้ามีลิงค์กระทู้ ลิงค์คำอธิบาย และเทปบรรยายตอนไหน ชุดไหน ที่อธิบายถึงโทษของโลภะโดยละเอียด ก็อยากกราบขอรบกวนหน่อยครับผม

กราบขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 29 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

โลภะเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นเจตสิกธรรมที่เป็นอกุศลเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่ติดข้อง ยินดีพอใจ และโลภะก็ยังเป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นสมุทัย และโลภะก็เป็นเหตุให้ไม่พ้นไปจากทุกข์ได้เลย เพราะทำให้วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์

โลภะ หรือ ตัณหา เมื่อเกิดขึ้น ขณะนั้น ย่อมไม่เห็นอรรถ ไม่เห็นธรรม ไม่เห็นตามความเป็นจริง เพราะโลภะที่เกิดขึ้น ไม่มีปัญญา ขณะนั้นติดข้อง และเมื่อโลภะเกิดขึ้น มีกำลังมาก ย่อมล่วงทุจริตทางกาย วาจา เป็นเหตุให้ไปอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น โลภะจึงเป็นเหตุแห่งทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจด้วย เพราะอาศัยโลภะเป็นปัจจัยติดข้องในสิ่งใด เมื่อพลัดพรากก็ทำให้ทุกข์ใจประการต่างๆ มีการทำร้ายตนเองและผู้อื่น อันเกิดจากโลภะเป็นปัจจัย โลภะยังสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ให้เกิด โลภะยังจิตให้กำเริบ โลภะเป็นภัยเกิดขึ้นในภายใน พาลชนย่อมไม่รู้สึกภัยนั้น คนผู้โลภแล้วย่อมไม่รู้อรรถ คนผู้โลภแล้วย่อมไม่เห็นธรรม เมื่อใดความโลภครอบงำนรชน เมื่อนั้นนรชนนั้นย่อมมีความมืดตื้อ

- โลภะที่เกิดขึ้นคลายช้า เปรียบเหมือนเครื่องผูกที่หย่อนแต่แก้ได้ยาก หลุดได้ยาก ไม่ให้หลุดไปจากสังสารวัฏฏ์ได้เลย โลภะเกิดขึ้นเปรียบเหมือนการตกลงไปในเหวลึก ขึ้นได้ยาก เพราะเป็นเหวที่สัตว์ตกไปโดยมาก ที่เป็นเหว คือ โลภะ โทสะ โมหะ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ

ตกเหว [ตอนที่ ๒ ... ความติดข้องก็คือเหว]

ตัณหา หรือ โลภะ ยังเป็นนายช่างผู้สร้างเรือน คือ อัตภาพนี้ ให้อยู่ในสังสารวัฏฏ์ ได้รับทุกข์ต่อไป ไม่จบสิ้น

เชิญคลิกฟังที่นี่ ครับ

ตัณหาเป็นนายช่างผู้สร้างเรือน


โลภะ เป็นทั้งครู และ ศิษย์ที่จะแนะนำ สั่งสอน ให้สัตว์โลกเดินทางผิด และ ตกไปในที่ต่ำ มีอบายภูมิ และ สังสารวัฏฏ์

เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ

โลภะเป็นทั้งครูและศิษย์

เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ ที่นี่ ครับ

อัฏฐสาลินี นิกเขปกัณฑ์ -- ลักษณะของโลภะ

โลภะเป็นทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์

สุขทุกข์มาจากโลภะ

โลภะเป็นสมุทัยเป็นสิ่งที่ควรละ แล้วควรจะรู้ด้วยหรือไม่

โลภะที่ตามสนิทในวันหนึ่งๆ น่ากลัวไหม

ปุถุชนยังมีโลภะให้ล่วงอกุศลกรรมได้

บ่วง - เบ็ด - ตัณหาเหมือนแม่น้ำ - ตัณหาเหมือนข่าย


การเห็นโทษของโลภะ ตัณหา จะต้องรู้จักตัวโลภะ จริงๆ ก่อนว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะการเห็นโทษโดยการคิดนึก ไม่ได้ละกิเลส คือ โลภะจริงๆ เพราะจะต้องละความเห็นผิดว่าเป็นเราที่มีโลภะก่อน ครับ

ดังคำบรรยายที่ท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวไว้ว่า

ต้องเห็นโลภะจึงละโลภะได้

ท่านอาจารย์ เป็นคนที่ผิดปกติไหมคะ แต่เข้าใจความจริง เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง ด้วยความไม่รู้ก็ทำให้คิดไปต่างๆ นานา แม้แต่จะปราบโลภะ จะพยายามทำให้โลภะไม่เกิด แต่ด้วยความไม่รู้อะไรเลย ขณะนั้นก็ด้วยโลภะนั่นเองที่มีความต้องการอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เห็นตัวโลภะด้วยปัญญาจริงๆ ไม่สามารถจะละได้ และการละอกุศลต้องตามลำดับขั้น ละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ในขณะที่เห็น ไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏแล้วจะไปละโลภะได้อย่างไร ไม่มีทางเลย เรียกว่า “ข้าม” พยายามไปทำอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่หนทางที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งละเอียด คัมภีร ลึกซึ้ง เวลาที่โกรธ ต้องการอะไรคะ

ผู้ฟัง ก็ไม่ได้สิ่งที่พอใจ

ท่านอาจารย์ ต้องการไม่ให้โกรธ ใช่ไหมคะ

ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์ ไม่ใช่รู้ลักษณะของโกรธซึ่งกำลังปรากฏว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา มิฉะนั้นแล้ว เมื่อไรจะถึงการละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้


เชิญคลิกฟังที่นี่ ครับ

ไม่เห็นโลภะ ไม่เห็นอวิชชา ก็ละไม่ได้

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 29 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

โลภะ มีจริงๆ เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ เกิดขึ้นเมื่อใดก็ทำกิจของตน คือ ติดข้อง ไม่สละ ไม่ปล่อยให้จิตเป็นกุศล และลึกไปกว่านั้น ไม่ปล่อยให้ออกไปจากสังสารวัฏฏ์ ตราบใดที่ยังมีโลภะอยู่ เพราะผู้ที่สิ้นโลภะอย่างเด็ดขาดก็คือ พระอรหันต์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อให้ผู้ฟัง ผู้ศึกษาได้พิจารณาเห็นตามความเป็นจริงว่า สภาพธรรมทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้ว แม้แต่โลภะ ซึ่งเป็นความติดข้องยินดีพอใจก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นตามการสะสมมาของแต่ละบุคคล พอใจในรูปบ้าง พอใจในเสียงบ้าง พอใจในกลิ่นบ้าง พอใจในรสบ้าง พอใจในสิ่งที่กระทบสัมผัสกายบ้าง เป็นต้น ชีวิตประจำวัน ยากที่จะพ้นไปจากโลภะได้ มีมากจริงๆ

ปกติในชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น อกุศลจิตย่อมเกิดมากกว่ากุศลจิต จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่ส่วนมากมักจะไม่รู้ว่ามีอกุศลจิตเกิดมากกว่า อกุศลเกิดขึ้น ตามการสะสมของจิตในอดีตที่ได้สะสมกิเลสมาอย่างมากมาย นับชาติไม่ถ้วนโดยเฉพาะโลภะ ซึ่งเป็นความติดข้องยินดีพอใจในวัตถุต่างๆ ติดข้องยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ซึ่งเป็นวัตถุกามในชีวิตประจำวัน รวมถึงความติดข้องยินดีพอใจ ในนามธรรมและรูปธรรมที่ยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนด้วย โลภะย่อมสะสมมากขึ้นทุกครั้งที่โลภมูลจิต (จิตที่มีโลภะเป็นมูล) เกิด

เมื่อมีเหตุมีปัจจัยโลภะก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เมื่อสะสมมากขึ้น มีกำลังมากขึ้น ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กระทำทุจริตกรรมประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน แต่ในขณะที่กระทำอกุศลกรรม กระทำทุจริตกรรมนั้น ตนเองย่อมเดือดร้อนก่อนคนอื่น เพราะขณะนั้นได้สะสมอกุศล สะสมกิเลสอันเป็นเครื่องแผดเผาจิตใจให้เร่าร้อน และเมื่ออกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วถึงคราวให้ผล ก็ทำให้ตนเองประสบกับความทุกข์ ความเดือดร้อน ได้รับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ อันเป็นผลของอกุศลกรรมที่ตนได้กระทำแล้วนั่นเอง ไม่มีใครทำให้เลย กล่าวได้ว่าเดือดร้อนทั้งในขณะที่กระทำและในขณะที่ให้ผล เนื่องจากว่า อกุศลกรรม ให้ผลเป็นทุกข์เท่านั้นจะให้ผลเป็นสุขไม่ได้เลย

สำหรับบุคคลผู้มีโลภะมากๆ ติดข้องมากๆ ย่อมไม่รู้จักคำว่าพอ ถึงแม้ภูเขาจะเป็นทองคำ ก็ยังไม่พอแก่กำลังของโลภะของผู้นั้น ส่วนบุคคลผู้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ถึงแม้ว่าตนเองจะยังมีโลภะอยู่ก็ตาม เมื่อฟังบ่อยๆ เนืองๆ ย่อมจะมีความรู้ความเข้าใจถึงโทษภัยของโลภะ สามารถค่อยๆ อบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ สามารถรู้ลักษณะของโลภะ ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน และปัญญานี้เองเป็นธรรมที่จะดับโลภะได้อย่างเด็ดขาด การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้นั้น ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม พิจารณาไตร่ตรองพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ อดทนที่จะฟัง ที่จะศึกษาต่อไปด้วยความไม่ท้อถอย ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม นั่นเอง ครับ

ขอเชิญคลิกศึกษา เพิ่มเติม ในหัวข้อต่อไปนี้ ครับ

โลภะ โทสะ โมหะ

โลภะเป็นเหตุให้ทำอกุศลกรรมได้อย่างไร

โลภะทำให้สังสารวัฏฏ์เป็นไป

โลภะ ไม่เป็นประโยชน์ [ติกนิบาต เกสปุตตสูตร]

... ขอบพระคุณ อ. ผเดิม และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 29 เม.ย. 2556

โทษของโลภะ ทำให้มีความทุกข์ ทำให้ทำชั่ว ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิ เพราะว่า โลภะ เป็นความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส แม้ในครั้งพุทธกาลก็มี พระโลสกติสสะ ในอดีตชาติติดข้องในตระกูล มีโลภะที่หวงแหนในสกุล ทำให้ท่านต้องไปเกิดในอบายภูมิ เพราะ โลภะเป็นหตุ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
นิรมิต
วันที่ 30 เม.ย. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 30 เม.ย. 2556

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
natural
วันที่ 30 เม.ย. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nong
วันที่ 1 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 3 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 4 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
สิริพรรณ
วันที่ 17 ก.ย. 2563

กราบนอบน้อมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ด้วยเศียรเกล้า

โลภะ เกิดพร้อมกับโสมนัสเวทนา ที่ทำให้เบิกบาน ไม่เดือดร้อน ไม่ทุกข์ร้อน จึงรู้สึก แช่มชื่น แสนสุขใจ แม้ยามที่เกิดพร้อมอุเบกขาเวทนาไม่ถึงกับเบิกบาน หัวเราะ สนุกสนาน ก็ยังไม่มีความเดือดร้อน เหมือนความโกรธ ที่เกิดขณะที่มีโทสเจตสิกเกิดกับจิต จึงยากที่จะเห็นโทษของโลภะ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ไม่มีทางรู้ได้เลยค่ะ

กราบเท้าบูชาพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง และ วิทยากรมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาทุกท่าน ที่พยายามชี้ให้เห็นโทษของโลภะตามความเป็นจริง

พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทำให้รู้จัก กุศลและอกุศลตามความเป็นจริงได้ เริ่มต้นด้วยการเข้าใจว่า ทุกสิ่งเป็นธรรมะ เป็นเพียงสภาพธรรมที่ต้องเกิดตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน เข้าใจความเป็นอนัตตา รู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่อิสระเลย แล้วควรติดข้องอะไร ในสิ่งที่ล้วนแต่ไม่มีแก่นสาร สาระ

ฟังพระธรรม สนทนาธรรม ด้วยความเคารพและอดทน อบรมเจริญปัญญา เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะรู้จักโลภะตามความเป็นจริง

ยินดีในกุศลและกราบขอบพระคุณทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ก.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Sea
วันที่ 19 พ.ย. 2564

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Muthitas
วันที่ 25 ธ.ค. 2566

สาธุๆ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Bunma
วันที่ 28 มี.ค. 2567

อนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ