โสดาบันและสกทาคามี
โสดาบันจะเกิดอีกอย่างมาก ๗ ชาติ ผมพอจะเข้าใจ แต่ทำไมสกทาคามีจึงเกิดอีกเพียงแค่ชาติเดียว ไม่เข้าใจครับ
ขอบคุณและขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยเจ้า ก็มีความแตกต่างกัน ที่ ระดับปัญญา และ กิเลสที่ละได้แล้ว ซึ่ง พระอริยเจ้า มี 4 ระดับ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีและ พระอรหันต์ ครับ
สำหรับ พระโสดาบัน และ พระสกทาคามี ท่านละกิเลสได้บางส่วน คือ ความเห็นผิดความลังเลสงสัย และ ข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด เป็นต้น แต่ยังมีโลภะที่พอใจ ในรูป เสียงกลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส ที่ยังละไม่ได้อยู่ และ โทสะที่ยังมี แต่ความต่างของพระโสดาบัน กับ พระสกทาคามี คือ พระสกทาคามี ละ กิเลส คือ โลภะ ที่พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส และ โทสะ ได้มากกว่า พระโสดาบัน กิเลส คือ โลภะ และ โทสะ ทีเ่หลือของพระสกทาคามี จึงเบาบางกว่าพระโสดาบัน ดังนั้น ด้วยปัญญาที่มากกว่า และ กิเลสเบาบางกว่า จึงเกิดเพียงชาติเดียว ครับ
[เล่มที่ 79] พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ - หน้าที่ 238
[๕๐] สกทาคามีบุคคล บุคคลชื่อว่า สกทาคามี เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ เพราะทำราคะ โทสะ โมหะให้เบาบางลง เป็นพระสกทาคามี ซึ่งยังจะมาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้นแล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า สกทาคามี.
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหนตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอริยบุคคล เป็นผู้ที่ประเสริฐ ห่างไกลจากกิเลสที่ท่านดับได้แล้ว กิเลสใดๆ ที่ท่านดับได้แล้ว จะไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ สำหรับพระอริยบุคคล ๓ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี และ พระอนาคามี ยังมีกิเลสเหลืออยู่ ยังมีเกิดเกิดในภพใหม่ ตามความเป็นไปของท่าน ส่วนผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ไม่มีการเกิดอีกสังสารวัฏฏ์เมื่อท่านดับขันธปรินิพพานแล้ว เพราะดับเหตุที่จะทำให้มีการเกิดได้แล้ว
สำหรับพระสกทาคามีบุคคล เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๒ ท่านมีปัญญาสามารถ ยังราคะความติดข้องต้องการและโทสะ ความขุ่นเคืองใจ ให้เบาบางลงได้ จะมาเกิดในกามสุคติภูมิอีกครั้งเดียว ท่านยังมีความพอใจยินดีในภพ ครับ
..อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
พระโสดาบันประเภท เอกพีซี จะกลับมาเกิดอีก 1 ครั้ง กับพระสกิทาคามี ก็จะกลับมาเกิด อีก 1 ครั้ง ต่างกันยังไงครับ
ขอผู้รู้เมตตาแจ้งความสงสัยให้คลายด้วยครับ ว่าหากมนุษย์เรามีธรรมะเป็นพื้นฐานในใจแล้ว คือมีศีล ๕ และหมั่นทำสมาธิภาวนา หากได้ไปวิปัสสนากับพระผู้รู้ เฉกเช่น หลวงพ่อปราโมทย์ เราจะใช้เวลาอย่างน้อยกี่เดือนครับจึงจะละสังโยชน์จนได้เป็นโสดาบัน สกทาคามี ตามลำดับครับ
กราบนอบน้อมพระอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
เรียน ความคิดเห็นที่ 8
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นความจริงที่ละเอียด ลึกซึ้ง ยากที่สัตว์โลกที่ยังมีธุลีกิเลสในดวงตาจะเข้าใจได้ง่ายๆ เพราะเป็นการตรัสรู้โดยผู้ที่บำเพ็ญพระบารมีขัดเกลากิเลสมาแสนนานถึง 4 อสงไขยแสนกัป นับแต่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทีปังกร แต่ก็มีผู้ที่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงได้ และเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับ ซึ่งก่อนหน้านั้น ท่านก็ต้องศึกษา ได้ยินได้ฟังพระธรรมที่ทรงแสดง มีความเข้าใจถูกต้อง ชัดเจน ตามความเป็นจริงตามลำดับขั้น มานานแสนนาน อย่างน้อยแสนกัปป์
ดังนั้น ก่อนที่จะไปทำสิ่งที่ไม่รู้ ไม่ชัดเจน ตามเวลาที่ผู้ใดสำนักใดจะกำหนดขึ้น ควรศึกษาพระธรรมอย่างละเอียด เพราะถ้าไม่เข้าใจ และเร่งรัด ก็จะเป็นหนทางที่ไกลห่างจากหนทางที่จะเข้าใจความจริงออกไปมากขึ้นๆ เห็นผิดมากขึ้น เพิ่มความเป็นตัวตนมากขึ้น มีโทษมากขึ้น จนไม่สามารถออกจากสังสารวัฎฎ์ได้เลย
เพราะเหตุว่า พระธรรมที่ทรงแสดงความเป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของผู้ใด ถ้าเหตุปัจจัยไม่พร้อม แม้จะต้องการอย่างไร พยามโดยหนทางที่ไม่ถูกต้องนานแค่ไหน ก็ไม่มีวันที่จะถึงการบรรลุรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่หากเหตุปัจจัยที่ถูก ตรงต่อหนทางที่จะรู้แจ้ง มีกำลังถึงพร้อม ผลก็ย่อมเกิดขึ้น โดยไม่ขึ้นกับกาลเวลาที่ผู้ใดจะทราบล่วงหน้าได้
ยินดีที่จะได้ศึกษาพระธรรม สะสมเหตุที่ถูกต้อง ตามพระธรรมที่ทรงแสดงต่อไป ค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมโดยคลิ๊กที่...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)
เรียน ความเห็นที่ 8
ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมขั้นปริยัติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็เสียเวลาหลงไป แสวงหาวิธีการต่างๆ ที่จะช่วยให้บรรลุธรรม โดยไม่รู้ว่าเพิ่มความเห็นผิดทุกขณะ ยิ่งทำให้ห่างไกลจากหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ความจริง ไปเรื่อยๆ เสียโอกาสในการเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง
ขอเชิญอ่านเพิ่มเติม...
[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓- หน้าที่ 435
๗. โสตาปันนสูตร
ว่าด้วยเหตุให้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน
[๓๗๓] กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านพระราธะว่า ดูก่อนราธะ อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน? ได้แก่ อุปาทานขันธ์ คือ รูป ฯลฯ อุปาทานขันธ์ คือ วิญญาณ ดูก่อนราธะ ในกาลใดแล อริยสาวกย่อมรู้ชัดเหตุเกิด ความดับ คุณโทษ และอุบายเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ตามความเป็นจริง เมื่อนั้น อริยสาวกนี้ เราตถาคตกล่าวว่า เป็นโสดาบันผู้มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า
จบ โสตาปันนสูตร
จากพระสูตรนี้ จะเห็นได้ว่า การบรรลุเป็นพระโสดาบันเป็นเรื่องของปัญญา ที่ค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับ อีกยาวไกล นับชาติไม่ถ้วน ไม่มี กำหนดเวลา หรือ วิธีปฏิบัติที่จะช่วยให้บรรลุได้