นันทิสูตร...พระสูตรสนทนาออนไลน์วันเสาร์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
พระสูตรที่จะนำมาสนทนาออนไลน์
วันเสาร์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
คือ
นันทิสูตร
...จาก...
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๗๕
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๗๕
นันทิสูตร
(ว่าด้วยผู้ไม่มีความยินดี)
[๒๖] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
คนมีบุตร ย่อมยินดี เพราะบุตรทั้งหลาย คนมีโค ย่อมยินดี เพราะโคทั้งหลายเหมือนกัน ฉะนั้น เพราะอุปธิเป็นความยินดี ของคน บุคคลใดไม่มีอุปธิ บุคคลนั้น ไม่มียินดีเลย
[๒๗] พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า
บุคคลมีบุตร ย่อมเศร้าโศก เพราะบุตรทั้งหลาย บุคคลมีโค ย่อมเศร้าโศก เพราะโคทั้งหลาย เหมือนกัน ฉะนั้น เพราะอุปธิ เป็นความเศร้าโศกของคน บุคคลใดไม่มีอุปธิ บุคคลนั้น ไม่เศร้าโศกเลย
อรรถกถานันทิสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ ๒ ต่อไป :-
บทว่า นนฺทติ แปลว่า ย่อมยินดี คือ ย่อมมีใจเป็นของของตน.
บทว่า ปุตฺติมา ได้แก่ มีบุตรมาก จริงอยู่ บุตรบางพวกทำกสิกรรมแล้วย่อมยังยุ้งข้าวเปลือกให้เต็ม บางพวกทำการค้าแล้วย่อมนำเงินและทองมาบางพวกบำรุงพระราชา (รับราชการ) ย่อมได้วัตถุทั้งหลายมียาน พาหนะ บ้าน นิคมเป็นต้น มารดาหรือบิดาเมื่อเสวยสิริอันเกิดขึ้นด้วยอานุภาพแห่งบุตรเหล่านั้น ย่อมยินดี อีกอย่างหนึ่ง มารดาหรือบิดา เห็นบุตรทั้งหลาย ผู้อันบุคคลตกแต่งประดับประดา ทำให้เกิดความยินดี เสวยอยู่ซึ่งสมบัติในวันรื่นเริง เป็นต้น ย่อมยินดี ด้วยเหตุนั้น เทวดาหมายเอาความเป็นไปนั้น จึงกล่าวว่า นนฺทติ ปุตฺเตหิ ปุตฺติมา แปลว่า คนมีบุตรย่อมยินดีเพราะบุตรทั้งหลาย ดังนี้
บทว่า โคหิ ตเถว ความว่า คนมีบุตรย่อมยินดีเพราะบุตร ฉันใด แม้คนมีโค ก็ฉันนั้น คนมีโคเห็นมณฑลแห่งโค (สนามโค) สมบูรณ์แล้วเพราะอาศัยโคทั้งหลาย เสวยสมบัติ คือ เบญจโครส จึงชื่อว่า ย่อมยินดี เพราะโคทั้งหลาย
บทว่า อุปธิ ในบทว่า อุปธีหิ นรสฺส นนฺทนา นี้ได้แก่ อุปธิ ๔ อย่าง คือ กามูปธิ (อุปธิคือกาม) ขันธูปธิ (อุปธิคือขันธ์) กิเลสูปธิ (อุปธิคือกิเลส) และอภิสังขารูปธิ (อุปธิคืออภิสังขาร)
จริงอยู่ แม้กามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ตรัสเรียกว่า อุปธิ เพราะเนื้อความแห่งคำนี้ว่า ความสุขที่บุคคลเข้าไปตั้งไว้ในกามคุณนี้ ก็เพราะความที่กามเหล่านี้ เป็นที่อาศัยอยู่แห่งความสุข ดังที่ตรัสไว้ อย่างนี้ว่า ความสุข ความ โสมนัส อันใด อาศัยกามคุณ ๕ เกิดขึ้น นี้ชื่อว่า ความพอใจในกามทั้งหลาย ดังนี้
แม้ขันธ์ทั้งหลาย ก็ตรัสเรียกว่า อุปธิ เพราะความที่ขันธ์เหล่านั้นเป็นที่อาศัยอยู่ แห่งทุกข์ซึ่งมีขันธ์เป็นมูล แม้กิเลสทั้งหลาย ก็ตรัสเรียกว่าอุปธิเพราะความที่กิเลสเหล่านั้นเป็นที่อาศัยอยู่แห่งทุกข์ในอบาย แม้อภิสังขารทั้งหลาย ก็ตรัสเรียกว่า อุปธิ เพราะความที่อภิสังขารเหล่านั้นเป็นที่อาศัยอยู่แห่งทุกข์ในภพ
แต่ในที่นี้ ท่านประสงค์เอา กามูปธิ เพราะกามคุณ ๕ อันบุคคลบำรุงบำเรอด้วยอำนาจแห่งวัตถุทั้งหลาย มีการอยู่ในปราสาท ๓ ฤดูเป็นต้น มีที่นั่งที่นอนอาภรณ์เสื้อผ้าอันโอฬาร มีบริวารคอยบำเรอด้วยการฟ้อนรำเป็นต้น เป็นเหตุนำมาซึ่งปีติโสมนัส ย่อมยังนรชนให้ยินดีอยู่ ฉะนั้นบุตรทั้งหลายและโคทั้งหลาย ฉันใด พึงทราบว่า แม้อุปธิเหล่านี้ก็ฉันนั้นเพราะเป็นที่ยินดีของนรชน
บาทแห่งคาถาว่า น หิ โส นนฺทติ โย นิรูปธิ ความว่าบุคคลใดไม่มีอุปธิ คือ เว้นจากการถึงพร้อมด้วยกามคุณ เป็นผู้ขัดสน มีอาหารและเครื่องนุ่งห่มหาได้โดยยาก บุคคลนั้นแลย่อมยินดีไม่ได้
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสดับคำ (อันเทวดากล่าว) นี้แล้ว ทรงพระดำริว่า เทวดานี้ ย่อมทำเรื่องแห่งความเศร้าโศกนั่นแหละ ให้เป็นเรื่องน่ายินดี เราจักแสดงความที่สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องแห่งความเศร้าโศกแก่เธอ ดังนี้ เมื่อจะทำลายวาทะของเทวดานั้น ด้วยอุปมานั้นนั่นเอง เหมือนบุคคลยังถ้อยคำ อันเป็นเหตุผลให้ตกไปด้วยเหตุผล จึงทรงเปลี่ยนพระคาถานั้นนั่นแหละแล้วตรัสว่า โสจติ เป็นอาทิ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสจติ ปุตฺเตหิ ความว่า เมื่อบุตรทั้งหลายสูญหายไปก็ดี เสื่อมเสียไปก็ดี ด้วยอำนาจแห่งการเดินทางไปต่างประเทศ แม้มีความสงสัยในบัดนี้ว่า จักสูญเสียไป มารดาและบิดาย่อมเศร้าโศก. อนึ่ง เมื่อบุตรตายแล้วก็ดี กำลังจะตายก็ดี หรือถูกราชบุรุษหรือโจรเป็นต้น จับตัวไป หรือว่าเข้าไปสู่เงื้อมมือของข้าศึกทั้งหลาย มารดาหรือบิดาเป็นผู้มีความสงสัยว่าตายแล้วก็ดี ย่อมเศร้าโศก เมื่อบุตรพลัดตกจากต้นไม้หรือจากภูเขาเป็นต้น มีมือและเท้าหักก็ดี บอบช้ำก็ดี มีความสงสัยว่าแตกหักแล้วก็ดี มารดาหรือบิดา ย่อมเศร้าโศก. บุคคลมีบุตรย่อมเศร้าโศกเพราะบุตรทั้งหลาย ฉันใด แม้คนมีโคก็ฉันนั้น ย่อมเศร้าโศกเพราะโคทั้งหลาย
บาทพระคาถาว่า อุปธี หิ นรสฺส โสจนา ความว่า เหมือนอย่างว่าบุตรและโคทั้งหลาย ฉันใด แม้อุปธิคือ กามคุณ ๕ ก็ฉันนั้น ย่อมยังนรชนให้เศร้าโศก โดยนัยที่ตรัสไว้ว่า
หากว่า สัตว์นั้นมีความรักใคร่ มีความพอใจเกิดแล้ว กามเหล่านั้น ย่อมยังเขาให้ย่อยยับไป เหมือนบุคคล ถูกลูกศรแทงแล้วย่อมพินาศ ฉะนั้น
เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ความเศร้าโศกของนระ ก็คือเรื่องความเศร้าโศกนั่นแหละ บทว่า น หิ โส โสจติ โย นิรูปธิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอธิบายไว้ว่า อุปธิ ๔ เหล่านี้ ไม่มี แก่ผู้ใด ผู้นั้นย่อมไม่มีอุปธิ คือ ความเศร้าโศก ดูก่อนเทวดา เพราะเหตุนั้นแหละ พระมหาขีณาสพจักเศร้าโศก หรือกำลังเศร้าโศก มีหรือ? ดังนี้แล
จบ อรรถกถานันทิสูตร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
นันทิสูตร
เทวดา ได้กล่าวคาถาในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า แสดงถึงความติดข้องยินดีพอใจในกาม (กามูปธิ) เป็นเหตุนำมาซึ่งความยินดี กล่าวคือ คนมีบุตร ก็ย่อมยินดีเพราะบุตร คนมีโค ก็ย่อมยินดีเพราะโค ถ้ามีกามูปธิ ก็เป็นเหตุให้เกิดความยินดี ถ้าไม่มีกามูปธิ ก็ไม่ยินดี
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสพระคาถา แสดงความจริง ว่า เมื่อมีความติดข้องในกาม ก็เป็นเหตุนำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจ กล่าวคือ คนมีบุตร ย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร คนมีโค ย่อมเศร้าโศกเพราะโค เมื่อไม่มีความติดข้อง ก็ไม่มีความเศร้าโศกเสียใจ บุคคลผู้ปราศจากความติดข้อง ทั้งปวง คือ พระอรหันต์
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
อุปธิ - สภาพที่เข้าไปทรงไว้ซึ่งทุกข์
เป็นการยากที่จะไม่มีความเศร้าโศกเสียใจ
ชีวิตไม่ได้เริ่มตอนเกิดแล้วจบตอนตาย
เพราะไม่รู้ จึงติดข้องไม่มีวันจบ
ห้ามโลภะไม่ให้ติดข้องไม่ได้
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น