จะลดโลภะที่เกิดในชีวิตประจำวันอย่างไร
เราเสียเวลาชีวิตวันหนึ่งๆ ไปกับ รูป เสียง และรู้ว่าเป็นอกุศลจิตที่มีความต้องการในรูป เสียงนั้น แต่เมื่อเห็นโทษเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถที่จะลดละได้เลย ยังมีความติดข้องอยู่เป็นปกติ มีแต่มากขึ้นๆ ต้องทำอย่างไรจึงจะบรรเทาลงได้ แม้จะยังไม่สามารถตัดได้เด็ดขาด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
โลภะเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นเจตสิกธรรม ที่เป็นอกุศลเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่ติดข้อง ยินดีพอใจ และโลภะ ก็ยังเป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นสมุทัย และโลภะ ก็เป็นเหตุให้ไม่พ้นไปจากทุกข์ได้เลย เพราะทำให้วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์
โลภะ หรือ ตัณหา เมื่อเกิดขึ้น ขณะนั้น ย่อมไม่เห็นอรรถ ไม่เห็นธรรม ไม่เห็นตามความเป็นจริง เพราะโลภะที่เกิดขึ้น ไม่มีปัญญา ขณะนั้นติดข้องและเมื่อโลภะเกิดขึ้น มีกำลังมาก ย่อมล่วงทุจริตทางกาย วาจา เป็นเหตุให้ไปอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น โลภะ จึงเป็นเหตุแห่งทุกข์ทางกาย และทุกข์ทางใจด้วย เพราะอาศัยโลภะ เป็นปัจจัยติดข้องในสิ่งใด เมื่อพลัดพราก ก็ทำให้ทุกข์ใจประการต่างๆ มีการทำร้ายตนเอง และผู้อื่นอันเกิดจากโลภะเป็นปัจจัย โลภะยังสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ให้เกิดโลภะยังจิตให้กำเริบ โลภะเป็นภัยเกิดขึ้นในภายในพาลชนย่อมไม่รู้สึกภัยนั้น คนผู้โลภแล้วย่อมไม่รู้อรรถ คนผู้โลภแล้วย่อมไม่เห็นธรรม เมื่อใดความโลภครอบงำนรชน เมื่อนั้นนรชนนั้นย่อมมีความมืดตื้อ
- โลภะ ที่เกิดขึ้น คลายช้า เปรียบเหมือนเครื่องผูกที่หย่อน แต่แก้ได้ยาก หลุดได้ยาก ไม่ให้หลุดไปจากสังสารวัฏฏ์ได้เลย โลภะ เกิดขึ้น เปรียบเหมือนการตกลงไปในเหวลึก ขึ้นได้ยาก เพราะ เป็นเหวที่สัตว์ตกไปโดยมาก ที่เป็นเหว คือ โลภะ โทสะ โมหะ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ
ตกเหว [ตอนที่ ๒...ความติดข้องก็คือเหว]
ตัณหา หรือ โลภะ ยังเป็นนายช่างผู้สร้างเรือน คือ อัตภาพนี้ ให้อยู่ในสังสารวัฏฏ์ ได้รับทุกข์ต่อไป ไม่จบสิ้น
เชิญคลิกฟังที่นี่ ครับ
โลภะ เป็นทั้งครู และ ศิษย์ที่จะแนะนำ สั่งสอน ให้สัตว์โลกเดินทางผิด และ ตกไปในที่ต่ำ มีอบายภูมิ และ สังสารวัฏฏ์
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ
เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ ที่นี่ ครับ
อัฏฐสาลินี นิกเขปกัณฑ์ -- ลักษณะของโลภะ
โลภะเป็นสมุทัยเป็นสิ่งที่ควรละ แล้วควรจะรู้ด้วยหรือไม่
โลภะที่ตามสนิทในวันหนึ่งๆ น่ากลัวไหม
ปุถุชนยังมีโลภะให้ล่วงอกุศลกรรมได้
บ่วง - เบ็ด - ตัณหาเหมือนแม่น้ำ - ตัณหาเหมือนข่าย
การเห็นโทษของโลภะ ตัณหา จะต้องรู้จักตัวโลภะ จริงๆ ก่อนว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะการเห็นโทษโดยการคิดนึก ไม่ได้ละกิเลส คือ โลภะจริงๆ เพราะจะต้องละความเห็นผิดว่าเป็นเราที่มีโลภะก่อน ครับ
ดังคำบรรยายที่ท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวไว้ว่า
ต้องเห็นโลภะจึงละโลภะได้
สุ. เป็นคนที่ผิดปกติไหมคะ แต่เข้าใจความจริง เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง ด้วยความไม่รู้ก็ทำให้คิดไปต่างๆ นานา แม้แต่จะปราบโลภะ จะพยายามทำให้โลภะไม่เกิด แต่ด้วยความไม่รู้อะไรเลย ขณะนั้นก็ด้วยโลภะนั่นเองที่มีความต้องการอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เห็นตัวโลภะด้วยปัญญาจริงๆ ไม่สามารถจะละได้ และการละอกุศลต้องตามลำดับขั้น ละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงในขณะที่เห็น ไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏแล้วจะไปละโลภะได้อย่างไร ไม่มีทางเลย เรียกว่า “ข้าม” พยายามไปทำอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่หนทางที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งละเอียด คัมภีร ลึกซึ้ง เวลาที่โกรธ ต้องการอะไรคะ
สุกัญญา ก็ไม่ได้สิ่งที่พอใจ
สุ. ต้องการไม่ให้โกรธ ใช่ไหมคะ
สุกัญญา ใช่ค่ะ
สุ. ไม่ใช่รู้ลักษณะของโกรธซึ่งกำลังปรากฏว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา มิฉะนั้นแล้ว เมื่อไรจะถึงการละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้
เชิญคลิกฟังที่นี่ ครับ
ไม่เห็นโลภะ ไม่เห็นอวิชชา ก็ละไม่ได้
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความติดข้องมีมากมายมหาศาล ทุกอย่างที่ทำไปด้วยโลภะที่จะอยู่ต่อไปในสังสารวัฏฏ์ แต่ขณะใดที่มีปัญญาเห็นโลภะตามความเป็นจริง เมื่อนั้นก็จะคลายโลภะได้ แต่ถ้ายังไม่เห็นโลภะ อย่างคนที่ทำกุศลก็เคลิบเคลิ้มหวังผลของกุศล ขณะนั้นจะละสังสารวัฏฏ์ได้อย่างไร
อ้างอิงจาก ... ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๓๖
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง และสิ่งที่มีจริงนั้นก็มีจริงในขณะนี้ ไม่เคยขาดธรรมเลย แต่ไม่รู้ จนกว่าจะมีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง แม้แต่โลภะ ความติดข้องต้องการ ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ และในขณะที่ติดข้อง ก็ต้องมีสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความติดข้อง ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงๆ เลย ถ้าจะถามว่าติดข้องในอะไร มีมากมายเหลือเกิน ในรูปบ้าง เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง เป็นต้น ทุกคนตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ย่อมหมายความว่ายังมีโลภะ ยังไม่สามารถดับได้ เพราะผู้ที่จะดับโลภะได้หมดสิ้นก็ต้องถึงความเป็นอรหันต์
โลภะ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นอกุศลธรรมประเภทหนึ่งที่ติดข้อง ต้องการยินดีพอใจในสิ่งที่ปรากฏ มีตั้งแต่บางเบา จนกระทั่งถึงขั้นล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ เพราะติดข้องเกินประมาณนั่นเอง เพราะฉะนั้น เรื่องของโลภะ เป็นเรื่องที่แสนจะละเอียดจริงๆ ผู้ที่อบรมเจริญปัญญาต้องเห็นโทษของอกุศลอย่างละเอียด แล้วก็ควรที่จะขัดเกลา เพราะถ้ายังเป็นผู้ที่ไม่อิ่มในโลภะในความต้องการ ก็ไม่มีวันที่จะหมดโลภะได้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ทอดทิ้งฉันทะในกุศลธรรม เพื่อที่จะขัดเกลากิเลสจริงๆ วันหนึ่งก็สามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นลำดับขั้น ครับ
....ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...