กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้แท้ๆ ไม่รู้ตามความเป็นจริง

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เพราะสะสมความไม่รู้มาเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์จนถึงขณะนี้ มืดบอดแค่ไหน ไม่รู้ความจริงอะไรเลยสักอย่างเดียว แล้วเมื่อไหร่จะออกจากความมืดได้? คำของใครๆ ก็ไม่สามารถทำให้รู้ความจริงได้ นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะนำออกจากความมืดได้ เพราะฉะนั้น ฟังด้วยความเคารพในทุกคำที่ได้ฟัง พิจารณา ไตร่ตรองแต่ละคำที่ทรงแสดงเพื่อเข้าใจ เพราะทุกคำหมายถึงความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีกระทบสัมผัส และมีคิดนึก ไม่พ้นจาก ๖ ทางนี้เลย เห็นกำลังปรากฏก็ไม่รู้ความจริงของเห็น ยึดเห็นว่าเป็นเราเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏโดยความเป็นสัตว์ บุคคล อยู่ในโลกของความมืดสนิทจริงๆ หนทางที่จะออกไปจากกรงของอวิชชาความไม่รู้นั้น ก็คือ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พิจารณาไตร่ตรองละเอียดทุกคำ เพื่อค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี เพื่อค่อยๆ ละความไม่รู้ค่อยๆ ออกจากความมืด ค่อยๆ ละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะขณะที่เข้าใจนั้นเองละ ไม่มีเราที่จะไปละ มีเพียงปัญญาเท่านั้นที่เกิดจากการฟังการพิจารณาไตร่ตรองละเอียด ละความไม่รู้ ละความติดข้อง ละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้.

[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 340

ในธรรมเหล่านั้นอวิชชาเป็นไฉน อวิชชา คือความไม่รู้ทุกข์ ๑ ไม่รู้ทุกขสมุทัย ไม่รู้ทุกขนิโรธ ๑ ไม่รู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ๑ ไม่รู้ส่วนเบื้องต้น ๑ ไม่รู้ส่วนเบื้องปลาย ๑ ไม่รู้ทั้งส่วนเบื้องต้นและส่วนเบื้องปลาย ๑ ไม่รู้ปฏิจจสมุปปาทธรรมอันเป็นอิทัปปัจจยตา สิ่งนี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี

ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ...

กำจัดความมืดคืออวิชชาด้วยสัมมาทิฏฐิ

เป็นเราเพราะความไม่รู้

ขอเชิญคลิกฟังได้ที่ ...

ยิงลูกศรไปในความมืด

อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ