ทุกข์มากเพราะหมาตายจาก
ดิฉันเริ่มเลี้ยงหมามาได้ 2 ปี เป็นหมาพันธ์ปอม ตัวเล็กน่ารัก 2 ตัว สามีเห็นว่าชอบ จึงซื้อมาเพิ่มอีก เป็นตัวที่สาม มันมาอยู่กับดิฉันได้สองอาทิตย์ก็ตาย เพราะป่วย ช่วงสองอาทิตย์นั้นเป็นช่วงหน้าหนาว แต่ดิฉันก็พามันหาหมอตลอดประมาณ 4 ครั้ง จนครั้งสุดท้ายมันต้องนอนโรงพยาบาลและตายจากไป ดิฉันเสียใจมาก สามีจึงซื้อตัวใหม่มาให้ มันเป็นหมาที่ซุกซน ตอนเช้าพอดิฉันตื่น เมื่อมันได้ยินเสียงเดิน มันจะเห่าเรียกให้พามันออกจากกรง
ดิฉันรักมันและผูกพันธ์กับมันในช่วงเวลาแค่สามเดือน เมื่อวานเป็นวันสงกรานต์ดิฉันให้สามีพามันกลับมาบ้านเกิดที่พิษณุโลก และได้ปล่อยให้มันวิ่งเล่นที่สนามหญ้า เพราะอยากให้มันมีความสุข เมื่อดิฉันกลับจากทำบุญที่วัดก็เห็นมันวิ่งร่าเริงดี และวิ่งตามดิฉันมา มันเป็นทางเดินข้ามบ่อเลี้ยงปลาเล็กๆ ลึกไม่ถึงครึ่งเข่า อยู่ข้างสนามหญ้า ดิฉันเห็นขาหลังมันตกน้ำจึงอุ้มมันขึ้น แลัววางมันไว้โดยไม่คิดอะไร และเดินเข้าบ้าน แกะถุงกับข้าว ไม่นานน้องที่เฝ้าบ้านก็มาเรียกว่าหมาจมน้ำ ดิฉันออกไปดูมันนอนขาดใจ พยายามกดอกหรือท้อง ยกตัว ห้อยหัว เขย่า มันก็ไม่ฟื้น ดิฉันเสียใจมาก เพราะความประมาทของดิฉัน ดิฉันไม่คิดว่ามันจะจมน้ำ เสียใจและรู้สึกผิดมากเลยค่ะ ดิฉันอยากหลุดพ้นจากสภาพนี้ ดิฉันเลี้ยงหมาตายติดกันสองตัว ดิฉันไปใส่บาตรทำบุญให้แล้ว แต่ก็ยังคิดถึงมันมากเลยค่ะ นึกถึงตอนมันอยู่ อยากย้อนเวลา ดิฉันควรคิดอย่างไรดีค่ะ โปรดช่วยชี้แนวทางให้ดิฉันด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตราบใดที่ยังมีกิเลสก็ยังจะต้องมีทุกข์เป็นธรรมดา ไม่ว่าใคร หรือ บุคคลใด ผู้ที่ไม่ทุกข์อีกเลย คือ ผู้ที่ดับกิเลสจนหมดสิ้น เพราะฉะนั้น หนทางที่ถูกที่จะแก้ทุกข์ คือ เข้าใจทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา อยู่กับความทุกข์ด้วยความเข้าใจ เข้าใจว่าจะต้องทุกข์ วิธีแก้ทุกข์ จะต้องมีปัญญาความเข้าใจถูก ซึ่งปัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จากพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
ซึ่งควรพิจารณาความจริงว่า สัตว์แต่ละชีวิตก็มีกรรมเป็นของๆ ตน สัตว์ตายหรือใครจะตายก็เพราะกรรมของตนเอง ไม่มีใครจะสามารถทำให้ใครตายได้ เมื่อสัตว์เกิด สุนัขเกิด ก็มาด้วยกรรมของสัตว์นั้นเอง และ เมื่อตายก็ตายด้วยกรรมของสัตว์ ต่างคนต่างมา ต่างคนก็ต่างไป ที่สำคัญที่สุด เมื่อสัตว์ตายแล้วก็ต้องเกิดทันที
เพราะฉะนั้น สุนัขที่ตายไปแล้ว ก็เกิดแล้ว เขาก็อาจเกิดในสถานที่ดีๆ ควรจะเศร้าโศก ถึงสัตว์ สุนัข ที่ไปในสถานที่ หรือ เกิดในที่ดีแล้วหรือไม่
หากจะเศร้าโศกถึงสัตว์ที่จากไป ก็ควรคิดถึงตนเองที่จะต้องจากไป ดังเช่นสัตว์นั้น ควรที่จะไม่ประมาทในชีวิต ที่จะศึกษาธรรม อบรมปัญญา ในช่วงเวลาที่มีชีวิตที่เหลือน้อย ความตายก็ใกล้มาทุกขณะ ความตายของผู้อื่น ย่อมเป็นเครื่องเตือนให้น้อมเข้ามาในตนว่า ควรใช้ชีวิตที่ไม่ประมาท สิ่งที่ติดตัวไปได้ คือ ความดีและความไม่ดี แต่สิ่งที่เป็นที่พึ่ง คือ กุศล บุญที่กระทำ และสัตว์หรือญาติที่เสียชีวิตไป สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเขา คือ ไม่ใช่ความเศร้าโศกของเรา แต่ คือ การทำบุญ อุทิศส่วนกุศลไปให้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับผู้รับ คือ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ
ขับรถชนสุนัข ไม่หยุดรถให้คนตาบอดข้ามถนนในที่จราจรหนาแน่น
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตายแล้วเกิดทันทีตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ สัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน การเศร้าโศกเสียใจไม่มีผลต่อการจากไปของผู้ที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว มีแต่จะทำให้ตนเอง ผ่ายผอม ซูบซีด เพราะผู้นั้นก็ไปตามกรรมของตนจริงๆ
สภาพธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ ชีวิตประจำวันจึงไม่พ้นไปจากธรรม ขณะที่เศร้าโศกเสียใจมีจริงๆ เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น บุคคลผู้ที่ยังมีความเศร้าโศกอยู่นั้นก็เพราะยังมีกิเลส ยังมีความติดข้อง ยินดีพอใจ ยังมีอวิชชาอยู่ จึงต้องมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา เมื่อมีความติดข้อง ผลที่ตามมาคือ ความเศร้าโศกเสียใจเมื่อสิ่งที่ติดข้องนั้นพลัดพรากจากไป แต่เมื่อได้อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ย่อมจะทำให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน และเป็นความจริงที่ว่าขึ้นชื่อว่าสัตว์โลกแล้ว ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมีชาติ ชราย่อมติดตาม พยาธิก็ครอบงำและท้ายที่สุดก็ถูกมรณะคือความตายห้ำหั่น ไม่มีใครรอดพ้นได้เลย
จากกรณีการตายของสัตว์อื่น ของคนอื่น ก็สามารถพิจารณาได้ว่า ในที่สุดเราก็จะตายเหมือนกัน ไม่ใช่ตายแต่คนอื่น ก็จะเป็นเครื่องเตือนใจตนเองอยู่เสมอ เพื่อเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต ไม่ประมาทกำลังของอกุศล และไม่ประมาทในการเจริญกุศล ซึ่งรวมถึงการอบรมเจริญปัญญาเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย เพราะเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตในภพนี้ชาตินี้มาถึง ต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตาย ไม่มีใครสามารถที่จะขอร้อง หรือผัดเพี้ยนได้เลย ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ถ้ามีความรักความผูกพันที่ไหน ไม่ว่ากับคนหรือสัตว์ ก็ทุกข์ คนมีปัญญาก็ไม่ทุกข์ ควรอบรมปัญญา ด้วยการพิจารณาว่ามีการจากไปเป็นธรรมดา ค่ะ
ดิฉันขอกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านที่ช่วยแนะนำดิฉันค่ะ ดิฉันมีข้อสงสัยอยากเรียนถามต่อไปอีกคือ ดิฉันเข้าวัดไม่บ่อย อ่านหนังสือธรรมบ้าง แต่แม่ดิฉันจะอบรมเกี่ยวกับธรรม เรื่องบาปบุญให้ตั้งแต่เด็กและดิฉันก็มีโอกาสอบรมวิปัสสนาบ้างค่ะ อาทิตย์หน้าก็จะไปอบรมวิปัสสนาค่ะ
ดิฉันมักคิดว่าตัวเองมีธรรมในใจพอสมควร แต่เมื่อดิฉันจะเจอเรื่องทุข์ (หมาตาย) ดิฉันไม่สามารถนำหลักธรรมใดๆ มาใช้ ใจดิฉันร้อนรุ่มอยากพ้นทุกข์ ร้องไห้คร่ำครวญ ควบคุมความรู้สึกโศกเศร้าไม่ได้เลย แสดงว่าดิฉันยังไม่เข้าใจธรรมเลย ที่ดิฉันเข้าใจว่าตัวเองมีความรู้ทางธรรมพอควร หรือได้มีโอกาสปฏิบัติมาบ้าง มันยังน้อยมากใช่ไหมคะ ขอความกรุณาทุกท่านแนะนำด้วยค่ะ และดิฉันมีคำถามว่าหาก ญาติ สัตว์ ที่เสียชีวิตไป แล้วไปเกิดแล้ว บุญที่เราทำให้เขา เขาจะได้รับไหมคะ
ขออนุโมทนาบุญค่ะ
ขออนุโมทนา
ดิฉันขอเรียนถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับหมาน้อยที่ตายค่ะ สัตว์ที่ตายไปแล้วจะไปเกิดในทันทีหรือคะ ดิฉันรู้สึกเวทนาเค้าว่าเค้าตายเพราะจมน้ำ คงทรมานและตกใจมาก คิดแบบนี้ก็เสียใจมากค่ะ และก็กลัวว่าเค้าจะร่อนเร่ เพราะที่ที่เค้าตาย มันไม่ใช่ที่อยู่ประจำของเค้า และถ้าดิฉันคิดถึงเค้ามากๆ ใจผูกพันธ์กับเค้า เค้าจะติดตาม ดิฉันอยู่ไหมและจะไปเกิดได้ไหมคะ
ขออนุโมทนา
เรียนความเห็นที่ 5 ครับ
สำหรับการปฎิบัติธรรมที่ถูกต้อง หรือารเจริญวิปัสสนา นั้น เป็นเรื่องละเอียดมาก เพราะไม่ใช่การจะไปทำวิปัสสนา ไปเจริญวิปัสสนาในสถานที่ใด เพราะเมื่อมีปัญญาย่อมเข้าใจถูกว่า การเจริญวิปัสสนาหรือปฏิบัติธรรมสามารถเจริญได้ในชีวิตประจำวัน เพราะขณะนี้มีธรรมให้ปฏิบัติ แต่ขาดปัญญาที่จะไปรู้ ซึ่งหนทางการจะรู้ความจริงของธรรม คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ไม่ใช่การจะไปทำวิปัสสนา เพราะอาศัยการฟังเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง คือ เห็น ได้ยิน สี เสียง เป็นต้น แต่สำคัญว่า เห็นเป็นเราที่เห็น การปฏิบัติธรรมวิปัสสนาจึงเป็นการรู้ความจริงว่าเห็นไม่ใช่เรา โดยอาศัยการฟังไปเรื่อยๆ เมื่อปัญญาถึงพร้อมก็เกิดสติและปัญญาในชีวิตประจำวันได้ รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมไม่ใช่เรา อันเป็นการปฎิบัติธรรม เกิดวิปัสสนาในขณะนั้น โดยไม่ต้องไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม ที่เป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องเลย
เพราะฉะนั้น ไม่ควรที่จะไปทำวิปัสสนา เพราะจะทำให้เพิ่มความไม่รู้ และความเห็นผิดที่อาจจะสำคัญว่าจะไปเจริญกุศล เจริญปัญญา ก็กลายเป็นเจริญความเห็นผิด เพิ่มอกุศลโดยไม่รู้ตัว ครับ ซึ่งการปฏิบัติธรรมไม่ได้หมายถึงจะไม่มีกิเลสเกิดขึ้นเลย หรือ ไม่ทุกข์เลย ผู้ที่จะไม่ทุกข์แท้จริง คือ พระอรหันต์ แม้แต่พระโสดาบัน มี นางวิสาขา เป็นต้น ก็ทุกข์ใจเมื่อหลานตาย เพราะยังมีความติดข้อง พอใจ แต่ท่านรู้ความจริงว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา คือ ไม่ยึดถือว่าเป็นเราที่เสียใจ เป็นเราที่ร้องไห้ เพราะท่านดับความเห็นผิดได้หมดสิ้น เพราะฉะนั้นกิเลสที่จะต้องดับเป็นอันดับแรก คือ ความเห็นผิดว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล ครับ ขอให้กลับมาฟังในแนวทางนี้ ซึ่งหาฟังได้ในหมวด ฟังธรรม และ อ่านกระทู้อื่นๆ เพื่อประโยชน์ที่จะไม่ไปทำวิปัสสนา ที่เป็นทางผิด และ เพิ่มกิเลส ความไม่รู้ และความเห็นผิดให้กับตนเอง เพราะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ
สอบถามเกี่ยวกับสถานที่ปฏิบัติธรรม
ส่วน การทำบุญให้ญาติ หากญาติเกิดในฐานะที่สามารถจะรับส่วนบุญได้ คือ เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นเทวดา ทราบถึงบุญที่เราอุทิศและเกิดจิตอนุโมทนาก็ได้รับผลบุญได้ ครับ แต่ ถ้าญาติเกิดเป็นสัตว์นรก เกิดเป็นมนุษย์ ย่อมไม่ล่วงรู้ และ ไม่เกิดจิตอนุโมทนาก็ไม่สามารถรับผลของบุญได้ ครับ
เรียนความเห็นที่ 6 ครับ
ในความเป็นจริงที่สมมติว่าเป็นสัตว์ ก็คือ การเกิดขึ้นของจิต เจตสิก ที่เกิดดับสืบต่อกันไป ขณะที่ตาย จิตเกิด คือ จุติจิตทำหน้าที่เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนั้น เมื่อจุติจิตดับไป ของผู้ที่ยังมีกิเลส ก็จะต้องเกิดจิตต่อไป ที่เรียกว่า ปฏิสนธิจิต ทำกิจหน้าที่ ที่เรียกว่าเกิด เกิดเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเทวดา ภพภูมิใดภพภูมิหนึ่ง ตามสมควรแก่กรรมของบุคคลนั้น ดังนั้น เมื่อตาย คือ จุติจิตเกิดขึ้น ก็ต้องเกิดทันที คือ ปฏิสนธิจิตเกิดต่อ เพียงแต่เราสมมติว่า ลักษณะรูปร่างอย่างนี้ ที่เกิดในภพใหม่เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นเปรต สัตว์เดรัจฉาน ตามสมมติของชาวโลก แท้ที่จริงมีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป คือ จิต เจตสิก เท่านั้น
สุนัขที่ตาย ก็ต้องเกิดใหม่ทันที ซึ่งจะเกิดเป็นอะไรนั้น ก็แล้วแต่กรรมของสัตว์ ไม่มีใครู้ได้เลยว่าจะเกิดเป็นอะไร และ ไม่ใช่วิญญาณล่องลอยที่จะติดตามใครเพราะอาศัยความห่วงใย แต่กรรมของสัตว์นั้น ที่จะทำให้สัตว์นั้นไปตามกรรม แม้จะมีกิเลส ความห่วงใย ก็จะต้องเป็นเช่นนั้น ไปตามกรรมของสัตว์ ครับ
ขอกราบขอบพระคุณท่านpaderm และทุกท่านด้วยค่ะที่กรุณาแนะนำค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ได้กลับมาอ่านกระทู้นี้อีกครั้งในปี 2563 หลังจากที่ได้ขอเรียนปรึกษาหาทางออกชีวิตเพราะทุข์มากจากการตายจากของหมาอันเป็นที่รักค่ะ กราบขอบพระคุณกัลยาณมิตรทุกท่าน โดยเฉพาะคุณpadermที่เมตตาให้ข้อคิดในครั้งนั้น และในวันนี้ที่ได้สูญเสียหมาน้อยอันเป็นที่รักยิ่งอีกครั้ง พอได้มาอ่านก็ทำให้บรรเทาความโศกเศร้าลงมาได้บ้างค่ะ ดิฉันยังคงวนสับสนอยู่ในอ่างทุกครั้งที่เกิดความสุญเสียกับหมาน้อยอันเป็นที่รัก วันนี้ใคร่ขอความเมตตาให้ข้อคิดกับดิฉันอีกครั้งด้วยค่ะ
ขอประทานโทษนะคะ ดิฉันสูญเสียหมาน้อยอันเป็นที่รักอีกแล้ว รักเค้ามาก ก่อนหน้ามีตัวที่เลี้ยงไว้มีอายุ 6 ปี ซึ่งเสียกระทันหันตอนนั้นดิฉันต้องไปพบจิตแพทย์เพราะไม่สามารถจัดการกับชีวิตได้เลย ตอนนี้น้องอีกตัวเพิ่งจะมาเสียชีวิต มันป่วยค่ะ เปลี่ยนหมอหลายคน สุดท้ายดิฉันตัดสินใจส่งมันไปโรงพยาบาลเอกชนที่กรุงเทพฯ เพราะต่างจังหวัดเครื่องมือไม่พร้อม และทิ้งมันไว้ที่รพ. ให้โดดเดียว ตอนแรกมันยังร่าเริงดีค่ะ ความที่อยากให้มันหายจึงตัดสินใจให้คุณหมอวางยา รอบแรกทำซีทีสแกน แต่ผลไม่ชัดเจน รอบที่สองจึงตัดสินใจส่องกล้องตัดชิ้นเนื้อ หลังจากนั้นน้องฟื้นแล้วทรุดลง ดิฉันทำใจยอมรับไม่ได้เลยค่ะ เหมือนเค้าฝากชีวิตไว้ที่เรา แต่เราพาเค้าไปตาย ไม่รู้ว่าจะต้องตั้งสติคิดยังงัยดี ตอนนี้ตั้งท้องแปดเดือน รู้สึกเศร้ามาก ไม่อยากอยู่เพื่อเจอความพลักพรากอะไรอีกแล้วค่ะ โทรหาเพื่อนฝูงมากมายอยากคิดได้ ตอนนี้เหมือนใจจะขาดค่ะ ขอความกรุณาเมตตาช่วยให้ข้อคิดเพื่อให้เกิดสติอีกครั้งให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปหน่อยจะได้ไหมคะ จิตผูกพันกับน้องหมามาก เค้าเหมือนเป็นเพื่อน เป็นน้อง เป็นญาติ เค้าไม่เคยทำให้เสียใจ เค้าน่ารักมาก น่ารักมากจริงๆ ตั้งแต่มีเค้ามา เค้านิสัย รูปร่างหน้าตา น่ารักจริงๆ ค่ะ ตอนนี้เหมือนใจจะขาดเลยค่ะ
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
ความรักความผูกพันเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เมื่อประสบการพลัดพรากสูญเสียสิ่งที่รัก ก็เกิดความทุกข์เศร้าใจตามมาก็เป็นสิ่งที่มีจริง ทุกชีวิตที่ยังมีกิเลส ต้องเป็นเช่นนี้ เข้าใจความรู้สึกของคุณผู้สูญเสียสุนัข ดิฉันเองก็เคยสูญเสียมาก่อน ไม่ใช่ครั้งเดียว และไม่ใช่สุนัขอย่างเดียว ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น จึงจะค่อยๆ เข้าใจความจริง ทำให้ทราบว่า ทุกชีวิตเคยประสบความรู้สึกเช่นนี้มาแล้วในอดีตชาติที่ยาวนาน และต้องพบอีกในชาติต่อๆ ไป แล้วๆ เล่าๆ แม้ในชาตินี้ ความเสียใจครั้งใดที่ว่ารุนแรงมาก ก็จะไม่ใช่คร้้งสุดท้าย ยังต้องพบกับความตายอีกหลายครั้งของผู้ที่เรารัก และที่สำคัญ แม้เราเองก็ต้องตายจากทุกคนเช่นกันในวันหนึ่งแน่นอน ......
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงกับภิกษุครั้งพุทธกาล ที่มีแสดงไว้ในพระไตรปิฏก "อัสสุสูตร" ในภพชาติที่หมู่สัตว์ท่องเที่ยวตายเกิดๆ นั้น น้ำตาของ ๑ ชีวิตที่หลั่งไหลออกมาทุกชาติ ยามที่ต้องสูญเสียบิดา มารดา ที่รักยิ่ง หากนำมารวมกัน แล้วเปรียบเทียบกับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ รวมกัน น้ำในมหาสมุทร์นั้นยังน้อยกว่าน้ำตาที่รวมกันของ ๑ ชีวิตทุกภพชาติ .... ซึ่งแสดงถึงว่า ทุกชีวิตพบกันเพื่อจากทั้งสิ้น จะช้าหรือเร็ว ก็ต้องจาก ไม่มีชีวิตใดเกิดแล้วไม่ตาย และที่สำคัญที่ควรตระหนักคือ ตายแล้วต้องเกิดถ้ายังมีกิเลส และที่เกิดก็ไม่ใช่มนุษย์เท่านั้น ยังมีโอกาสไปเกิดเป็นสัตว์ได้อีกด้วย และต้องรับผลของกรรมอย่างทารุณซ้ำแล้วซ้ำอีก ยิ่งกว่าสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน เหมือนสุนัขหรือแมว ดังพระพุทธองค์ทรงแสดงกับภิกษุครั้งพุทธกาลว่า ในชาติที่เกิดเป็นโค แพะ แกะ เนื้อ สุกร ไก่ และต้องถูกตัดศีรษะ โลหิตจากลำคอนั้นถ้านำมารวมกัน ก็มากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ จาก "ติงสมัตตาสูตร" เตือนใจให้สลดนะคะว่า ทุกชีวิตกำลังมีภัย แล้วจะมัวเศร้าโศกปล่อยเวลาให้ผ่านไป หรือจะเดินทางสู่ความปลอดภัย ด้วยการศึกษาพระธรรมที่ทรงแสดงหนทางไว้อย่างละเอียดด้วยพระมหากรุณาธฺิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระปํญญาธิคุณ ซึ่งครั้งพุทธกาล ก็มีผู้ศึกษาที่ปลอดภัยมากมายแล้วมากมาย และถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธองค์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาด้วย
การได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นจึงรู้ว่า สาระสำคัญของชีวิตในชาตินี้คือการฟังความจริงที่ทรงแสดงความทุกข์และสาเหตุของความทุกข์ที่ลึกซึ้งเห็นได้ยาก ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ความเจ็บป่วย หรือความตายเท่านั้น แต่ยังมีความทุกข์ที่ละเอียดที่ยังไม่ได้รู้ และจะไม่สามารถพ้นจากความทุกข์ได้เลย ถ้าไม่รู้จักความทุกข์ที่แท้จริง ซึ่งทุกข์ที่แท้จริงนั้นมีอยู่ตลอดเวลา เหมือนอยู่กับโจร เลี้ยงดูโจร แต่ไม่รู้จักโจร โจรนั้นอยู่ไม่ไกลเลยนะคะ
เมื่อศึกษาพระธรรมแล้ว จึงรู้ว่า เวลาที่มีอยู่ในชาตินี้ ควรฟังพระธรรม แม้การเจริญกุศลช่วยเหลือสัตว์ ก็ต้องอาศัยความเข้าใจจากการฟังพระธรรมที่จะทำกิจในการกุศลได้ดียิ่งขึ้นต่อชีวิตอื่น และตัวเอง ด้วยความเข้าใจความจริง
ยินดีกับท่านผู้ถามที่ได้เข้ามาอ่านในเว็บนี้ ซึ่งเป็นแหล่งศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องตรงตามที่ทรงแสดง
คลิ๊กอ่านและฟังเพิ่มเติมได้ที่
เครื่องเตือนจากความตายด้วยพระธรรม
ก่อนตาย - หลังตาย
ยินดีในกุศลที่ได้ศึกษาพระธรรมด้วยค่ะ
กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาบุญค่ะ หนูมักจะกลับมาหาธรรมะเมื่อชีวิตประสบกับความทุกข์เสมอ พอชีวิตมีความสุขก็หลงระเริงไปกับความสุขจนหลงลืมการฟังธรรมปฏิบัติธรรมค่ะ การตายของน้องครั้งนี้ทำให้หนูกลับมาหาธรรมะอีกครั้ง ครั้งนี้หนูจะตั้งใจศึกษาฟังธรรมสะสมต่อไปค่ะ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงอีกครั้งค่ะที่ช่วยแนะนำให้หนูมีสติอีกครั้งค่ะ
เมื่อวานเพิ่งเสียหมาไปคะ ตัวแรกที่เลี้ยง ตายเพราะกัดกับหมาอีกตัวที่บ้าน ปกติเวลาทะเลาะกันแฟนจะเป็นคนห้ามแต่ครั้งล่าสุดแฟนไม่อยู่ห้าม พาส่งนอน รพ. 5 คืน ตายที่โรงพยาบาล เราไปเฝ้าเค้าตลอดที่เข้าเยี่ยมได้ ร้องไห้ตลอดที่หมอโทรบอกว่าน้องชัก (เกิดจสกเส้นประสาทบวมกัดกันแรงมา) จนตอนที่น้องหมดลมหายใจไปดูใจน้องไม่ทันด้วยซ้ำ ได้แต่โทษตัวเองที่ไม่สามารถห้ามหมาตัวเองได้ ตอนนร้เป็นทักข์มากคะ ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกตัวเองยังไงดี กลัวเคเาคิดว่าเราปล่อยให้เค้าโดเดี่ยว กลัวเค้าคิดว่าเราเอาเค้าไปทิ้งไว้ นอนนี้กินไม่ได้ นอนไม่หลับ คิดถึงแต่เค้าตลอดเวลา ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ จะเป็นบ้าอยู่แล้ว
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงที่สัตว์โลกไม่เคยรู้ และไม่มีทางรู้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ความไม่รู้มีโทษอย่างยิ่ง เพราะไม่รู้ความจริง จึงเห็นผิดหลงคิดว่ามีเรา มีเขา มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ ทั้งๆ ที่จริง ทุกสิ่งเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดตามเหตุปัจจัย และก็ดับตามเหตุปัจจัย แม้แต่สุนัขตัวไหนๆ ก็ไม่มีจริงๆ มีแต่สภาพธรรมที่ทำให้เป็นสุนัข และเมื่อหมดเหตุปัจจัย ความเป็นสุนัขในชาตินี้ก็ต้องสิ้นสุดลง แต่ความเป็นสภาพธรรมที่ยังต้องทำกิจยังไม่สิ้นสุด ตราบที่ยังมีเหตุ ให้เป็นชีวิตของบุคคลใหม่ต่อไป จะเป็นอะไรๆ ก็ ได้ทั้งสิ้นตามแรงของกรรมที่เคยทำไว้ การหวั่นไหวเมื่อสูญเสีย เพราะไม่รู้ความจริงเป็นความทุกข์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางที่จะไม่มีทุกข์ และมีสภาวะที่ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องพลัดพราก ไม่ต้องสูญเสียจริงๆ ผู้ที่ได้ฟังคำของพระพุทธองค์มากมายในครั้งพุทธกาลก็พ้นทุกข์ไปแล้ว ส่วนผู้ที่ยังไม่ฟังพระธรรม ไม่มีทางพ้นทุกข์แน่นอน ต่อให้มีลูกสุนัขอีก100 ตัว ก็ทุกข์อีกมากกว่า 100ครั้ง
จิตที่เศร้าหมองเพราะคิดถึง หรือคิดโทษตัวเอง เป็นจิตชาติอกุศล เป็นโทษทำร้ายตนเองทั้งกายและใจ ถึงกับกล่าวว่า จะเป็นบ้าอยู่แล้ว ก็เพราะไม่รู้ความจริงนั่นเอง ขณะที่ไม่รู้ ทำให้ลืมคิดตามความเป็นจริงว่าทุกชีวิตมีกรรมเป็นของของตัว และความตายอยู่เบื้องหน้า ไม่เฉพาะแต่สุนัข แม้แต่ตนเองที่กำลังเศร้าก็ไม่เว้นที่จะต้องเป็นไปตามผลของกรรมแม้แต่ความตาย และตายแล้วจะต้องเกิดอีกตามผลของกรรม ชาตินี้เกิดเป็นคนร่ำรวย ชาติต่อไปเกิดเป็นสุนัขในบ้านของตนเองต้องนอนในกองขี้เถ้าในครัว ก็มีมาแล้วดังที่ทรงแสดงในพระไตรปิฏก ผู้ที่ตายไปแล้วที่ยังมีกิเลสต้องเกิดเป็นบุคคลใหม่ทันที แม้จะเห็นกันอีก ก็จำกันไม่ได้ แล้วจะคิดถึงอะไรที่ไม่เหลืออีกเลย เรื่องที่คิดถึงเป็นเพียงลมๆ คว้าจับต้องก็ไม่ได้ ทำร้ายตนเองด้วยสิ่งที่ไม่มีเหลือเพราะความไม่รู้ เสียประโยชน์ในเวลาของชีวิตที่กำลังหมดไปๆ ทุกขณะอย่างยิ่ง
ผู้ที่มีบุญที่สะสมมาแต่ปางก่อนในการที่จะเข้าใจความจริงเพื่อการพ้นทุกข์ จึงเห็นประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมว่าเป็นสาระที่สำคัญของชีวิต เพื่อสะสมความรู้ และกำจัดความไม่รู้ เป็นความจริงที่ว่า ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ก็ต้องมีความทุกข์รออีกมากมาย ซึ่งทุกข์ในอบายภูมิ คือนรก น่ากลัวอย่างเทียบไม่ได้เลยเมื่อเทียบกับทุกข์ในเวลานี้ ซึ่งความเศร้าจนเป็นทุกข์ในขณะนี้ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากความรักตัว จึงอยากได้ความสุขเพื่อตัว
แต่ถ้าได้ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจความจริงที่ได้ฟัง วันหนึ่งจะทราบว่า ไม่มีแม้แต่ตัวเรา และอาจจะระลึกบ่อยๆ ได้ว่า ขณะนี้ กำลังตายทุกขณะ เพราะสภาพธรรมที่บังคับบัญชาไม่ได้กำลังดับไปๆ ๆ คือขณิกมรณะ และเมื่อตายโดยสมมติมรณะ ก็ยังต้องเกิดในภพภูมิที่เลือกไม่ได้ จึงไม่ประมาทในวันเวลา
เริ่มเลยนะคะ ทุกขณะของชีวิตมีค่า และเวลาในชาตินี้กำลังเหลือน้อยลง
ศึกษาเพิ่มเติมโดยคลิ๊กที่
สลดใจในความตาย
ขอแสดงความยินดีในกุศลการศึกษาพระธรรมค่ะ
น้องหมาตายแล้วไปไหนคะ เรามัวแต่คิดถึง ร้องไห้ เสียใจ เค้าจะไปเป็นสุขหรือทุกข์คะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม ...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)