วสลสูตร ... วันเสาร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖

 
มศพ.
วันที่  6 พ.ย. 2556
หมายเลข  23975
อ่าน  2,126

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺสพุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิสงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
... สนทนาธรรมที่ ...


มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)

พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ

วสลสูตรที่ ๗

(ว่าด้วยคนถ่อย ๒๐ จำพวก)

จาก...


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕- หน้าที่ ๓๒๖


(ภาพแสดงบรรยากาศการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ วันอาสาฬหบูชา ๒๒ ก.ค. ๒๕๕๖)

...นำสนทนาโดย...

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ ๓๒๖

วสลสูตรที่ ๗

(ว่าด้วยคนถ่อย ๒๐ จำพวก)

[๓๐๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม

ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้า ไป

บิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ ก่อไฟแล้ว

ตกแต่งของที่ควรบูชา อยู่ในนิเวศน์ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จ

เที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอก ในพระนครสาวัตถี เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของ

อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า

เสด็จมาแต่ไกลทีเดียว ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า หยุดอยู่

ที่นั่นแหละคนโล้น หยุดอยู่ที่นั่นแหละสมณะ หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนถ่อย

เมื่ออัคคิกภารทวาชพราหมณ์ กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า

ได้ตรัสถามว่า ดูกร พราหมณ์ ก็ท่านรู้จักคนถ่อย หรือธรรมเป็นเครื่องกระทำ

ให้เป็นคนถ่อยหรือ?

อ. ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าไม่รู้จักคนถ่อยหรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้

เป็นคนถ่อย ดีละ ขอท่านพระโคดมจงแสดงธรรมตามที่ข้าพเจ้าจะพึงรู้จักคน

ถ่อยหรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็นคนถ่อยเถิด.

พ. ดูกร พราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว

อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้

ตรัสพระคาถาประพันธ์นี้ว่า

[๓๐๖] ๑. คนมักโกรธ ผูกโกรธ ลบหลู่อย่างเลว มีทิฏฐิวิบัติ

และมีมายาพึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๒. คนผู้เบียดเบียนสัตว์ที่เกิดหนเดียว แม้หรือเกิดสองหน

ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๓. คนเบียดเบียน เที่ยวปล้น คนเขารู้กันว่าฆ่าชาวบ้านและ

ชาวนิคม พึงรู้ ว่าเป็นคนถ่อย.

๔. คนลักทรัพย์ที่ผู้อื่นหวงแหน ไม่ได้อนุญาตให้ ในบ้านหรือ

ในป่า พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๕. คนที่กู้หนี้มาใช้แล้วกล่าวว่า หาได้เป็นหนี้ท่านไม่ หนีไปเสีย

พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๖. คนฆ่าคนเดินทาง ชิงเอาสิ่งของเพราะอยากได้สิ่งของ

พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๗. คนถูกเขาถามเป็นพยาน แล้วกล่าวคำเท็จ เพราะเหตุ

แห่งตนก็ดี เพราะเหตุแห่งผู้อื่นก็ดี เพราะเหตุแห่งทรัพย์ก็ดี พึงรู้ว่า

เป็นคนถ่อย.

๘. คนผู้ประพฤติล่วงเกิน ในภริยาของญาติก็ตาม ของเพื่อน

ก็ตาม ด้วยข่มขืนหรือด้วยการร่วมรักกัน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๙. คนผู้สามารถ แต่ไม่เลี้ยงมารดาหรือบิดาผู้แก่เฒ่าผ่าน

วัยหนุ่มสาวไปแล้ว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๑๐. คนผู้ทุบตี ด่าว่ามารดาบิดาพี่ชาย พี่สาว พ่อตาแม่ยาย

แม่ผัวหรือพ่อผัว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๑๑. คนผู้ถามถึงประโยชน์ บอกสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์

พูดกลบเกลื่อนเสียพึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๑๒. คนทำกรรมชั่วแล้ว ปรารถนาว่าใครอย่าพึงรู้เรา ปกปิดไว้

พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๑๓. คนผู้ไปสู่สกุลอื่นแล้ว และบริโภคโภชนะที่สะอาด ย่อมไม่

ตอบแทนเขาผู้มาสู่สกุลของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๑๔. คนผู้ลวงสมณะ พราหมณ์ หรือแม้วณิพกอื่น ด้วยมุสาวาท

พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๑๕. เมื่อเวลาบริโภคอาหาร คนผู้ด่าสมณะหรือพราหมณ์และไม่ให้

โภชนะ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๑๖. คนในโลกนี้ ผู้อันโมหะครอบงำแล้ว ปรารถนาของเล็กน้อย

พูดอวดสิ่งที่ไม่มี พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๑๗. คนเลวทราม ยกตนและดูหมิ่นผู้อื่น ด้วยมานะของตน

พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๑๘. คนฉุนเฉียว กระด้าง มีความปรารถนาลามก

มีความตระหนี่ โอ้อวดไม่ละอาย ไม่สะดุ้งกลัว

พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๑๙. คนติเตียนพระพุทธเจ้า หรือติเตียนบรรพชิต

หรือ คฤหัสถ์ สาวกพระพุทธเจ้า พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๒๐. ผู้ใดแล ไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ปฏิญาณว่า

เป็นพระอรหันต์ ผู้นั้นแลเป็นคนต่ำช้า เป็นโจรในโลก

พร้อมทั้งพรหมโลก คนเหล่าใด เราประกาศแก่ท่านแล้ว

คนเหล่านั้นนั่นแล เรากล่าวว่าเป็นคนถ่อย.

บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่

เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็นคนถ่อย

เพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ท่าน

จงรู้ข้อนั้น ตามที่เราแสดงนี้ บุตรของคน

จัณฑาลเลี้ยงตัวเองได้ ปรากฏชื่อว่ามาตังคะ

เป็นคนกินของที่ตนให้สุกเอง เขาได้ยศ

อย่างสูงที่ได้แสนยาก กษัตริย์และพราหมณ์

เป็นอันมากได้มาสู่ที่บำรุงของเขา เขาขึ้น

ยานอันประเสริฐ ไปสู่หนทางใหญ่อันไม่มี

ฝุ่น เขาสำรอกกามราคะเสียได้แล้ว เป็นผู้

เข้าถึงพรหมโลก ชาติไม่ได้ห้ามเขาให้เข้า

ถึงพรหมโลก พราหมณ์เกิดในสกุลผู้สาธ-

ยายมนต์ เป็นพวกร่ายมนต์ แต่พวกเขา

ปรากฏในบาปกรรมอยู่เนืองๆ พึงถูก

ติเตียนในปัจจุบันทีเดียว และภพหน้าก็เป็น

ทุคติ ชาติ ห้ามกันพวกเขาจากทุคติหรือจาก

ครหาไม่ได้ บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ

ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็นคนถ่อย

เพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม.

[๓๐๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว อัคคิกภารทวาช

พราหมณ์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิต

ของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก

พระองค์ทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ

เปิดของที่ปิด บอกทางแกคนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืด ด้วยหวังว่า

คนมีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์ขอถึงพระองค์กับทั้งพระธรรมและ

พระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระองค์ทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึง

สรณะตลอดชีวิตจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.

จบวสลสูตรที่ ๗


ข้อความจากอรรถกถา (ซึ่งค่อนข้างยาว) ขอเชิญดาวน์โหลดอ่านได้จาก...

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕- หน้าที่ ๓๓๑ เป็นต้นไป

...ขอความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกท่าน...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 6 พ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความโดยสรุป

วสลสูตร

(ว่าด้วยคนถ่อย ๒๐ จำพวก)

อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ ด่าว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้กำลังเสด็จบิณฑบาต

ตามลำดับจนถึงบ้านของตน ด้วยคำว่าคนถ่อย ในขณะที่ตนเองกำลังประกอบ

พิธีบูชาไฟ เหตุที่ด่าก็เพราะมีความคิดว่า ถ้าหากกำลังประกอบพิธีดังกล่าวอยู่

แล้วเห็นสมณะโล้น ก็จะไม่เป็นมงคล

พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ทรงแสดงลักษณะของคนถ่อย ประการต่างๆ มี

มักโกรธ ผูกโกรธ ลบหลู่ผู้อื่น มีความเห็นผิด มีมายา เบียดเบียนสัตว์อื่น

ไม่มีความเอ็นดูในหมู่สัตว์ เป็นต้น บุคคลผู้มีลักษณะอย่างนี้ เป็นคนถ่อย

และในตอนท้ายพระองค์ทรงแสดงว่า บุคคลจะชื่อว่าจะเป็นคนถ่อย หรือ

จะเป็นพราหมณ์ เพราะชาติกำเนิดก็หาไม่ แต่ที่แท้ เป็นคนถ่อย ก็เพราะกรรม

จะเป็นพราหมณ์ ก็เพราะกรรม

ในเวลาจบพระธรรมเทศนา อัคคิกภารทวาชพราหมณ์เกิดความเลื่อมใส

ได้กราบทูลชื่นชมในพระภาษิตของพระองค์พร้อมทั้งขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่

พึ่งตลอดชีวิต.

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

ลักษณะของคนดี

ทำบุญ สวดมนต์ ปฎิบัติธรรม คนชั่วก็ทำได้ แล้วอะไรที่คนชั่วทำไม่ได้

คนดีเมื่อเกิดในภพใหม่ชาติใหม่อาจเปลี่ยนเป็นคนชั่วได้ไหม

พระธรรมเป็นเครื่องฝึกที่ดี

เพราะไม่ได้ฟังธรรม ย่อมเสื่อมรอบ

ที่ไม่พอ สำหรับเก็บ

อาศัยพระศาสดา

ชนสันธชาดก .. พระราชาผู้ยังชนให้ตั้งมั่นด้วยดีในกุศลธรรม

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 6 พ.ย. 2556

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
กรกนก
วันที่ 7 พ.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
orawan.c
วันที่ 7 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nopwong
วันที่ 9 พ.ย. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 12 พ.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Wisaka
วันที่ 13 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เข้าใจ
วันที่ 14 พ.ย. 2556

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
tanrat
วันที่ 17 พ.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
tusaneenui
วันที่ 19 พ.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
isme404
วันที่ 19 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Jans
วันที่ 22 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
natural
วันที่ 23 พ.ย. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
วรรณวีร์
วันที่ 24 พ.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ