ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงพยาบาลตำรวจ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  10 พ.ย. 2566
หมายเลข  46941
อ่าน  1,929

เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คณะอาจารย์ มศพ. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรรณพ หอมจันทร์ อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ และ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจากคณะกรรมการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไปสนทนาธรรมในหัวข้อ "ธรรมกับการบริการ" ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐ น. - ๑๕.๓๐ น. ณ ห้องประชุมชัยจินดา ๑ อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ (มภร) ชั้นที่ ๒๐ โรงพยาบาลตำรวจ โดยมี พลตำรวจโท ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ นายแพทย์ (สบ 8) สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๕๔๙๐ เป็นผู้ประสานงาน โดยในการจัดการสนทนาธรรมครั้งนี้ พลตำรวจโท ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ พร้อมด้วยคณะทำงาน ได้ให้การต้อนรับและบริการ แก่ทุกท่าน อย่างดียิ่ง และเป็นที่ประทับใจอย่างยิ่ง

ข้อความบางตอนจากการสนทนา :

อ.คำปั่น : จะเห็นว่า ความเข้าใจที่จะเกิดขึ้น คิดเองไม่ได้เลย ธรรม คิดเองไม่ได้ ต้องได้ฟัง ต้องได้ศึกษาจากคำจริงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่คำว่า ขันธ์ สิ่งที่มีจริง ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า นี่คือความหมาย ซึ่งก็ไม่พ้นจากขณะนี้เลย

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ก็มีขันธ์ คือ มีธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป เป็นแต่ละขณะ แต่ละขณะ และ สิ่งที่มีจริงก็หลากหลายมาก เป็นแต่ละหนึ่ง โดยที่ไม่ปะปนกัน

กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ จากคำถามที่ท่านอาจารย์ได้ถามให้แต่ละท่านได้คิดว่า โต๊ะ เก้าอี้ ให้บริการใครหรือเปล่า? คำตอบ (จากผู้ร่วมสนทนา) มี ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งก็คือ ให้บริการ อีกส่วนหนึ่งก็คือ ไม่ให้บริการ คำถามนี้ลึกซึ้งมาก ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ที่จะเกื้อกูล ให้ได้เข้าใจ ในความเป็นจริงของธรรม แล้วก็จะได้เข้าใจจริงๆ ว่า "บริการ" คือ อะไร? ครับ

ท่านอาจารย์ : ถ้าเข้าใจความหมายของธรรม ที่ใช้คำว่า "รูปธรรม" ไม่สามารถจะรู้อะไรเลยทั้งสิ้น แล้วจะไป "ให้บริการ" ใคร ไม่รู้ว่าใคร ไม่รู้ว่า ต้องการอะไร แล้วจะไปให้บริการได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง "ตรง" สภาพธรรมมีจริง เมื่อเกิดขึ้น แต่ "ต่างกัน" คือ เกิดเป็น "สภาพรู้" ไม่รู้ ไม่ได้!! เกิดแล้วต้องรู้ แม้ว่า "สิ่งที่ถูกรู้" ไม่ปรากฏ เช่น ขณะที่นอนหลับสนิท รู้อะไรหรือเปล่า? หลับสนิท อยู่ที่ไหน? ชื่ออะไร? มีพี่น้องกี่คน? บ้านอยู่ไหน? ชอบอะไร? ไม่มีเลย แต่ "จิต" เกิดขึ้น "ธาตุรู้" ที่เป็น "จิต" ต้องเกิดขึ้น "รู้" เกิดขึ้นไม่รู้ ไม่มี!!

เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวัน แม้หลับ ก็มี "ธาตุรู้" แล้วจะกล่าวว่า เมื่อเกิดรู้ ต้องมี "อารมณ์" (สิ่งที่จิตรู้) แน่นอน แต่ "อารมณ์ปรากฏ" ก็มี "อารมณ์ไม่ปรากฏ" ก็มี ละเอียดไหม? คนหลับ ไม่ใช่ คนตาย เพราะยังมีธาตุรู้ ที่ เกิด-ดับ ดำรงความเป็นบุคคลนั้น จนกว่าจะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น จุติจิต ขณะสุดท้ายเกิด ทำกิจเคลื่อนพ้นจากความเป็นบุคคลนี้ ผัดผ่อนไม่ได้!! เอาเงินสักเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ สักอีกหนึ่งขณะที่แสนสั้น ก็ไม่ได้!! เพราะว่า ทุกอย่างเกิดขึ้น เป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัย แล้วก็เป็นธรรมดาด้วย และ คนที่ไม่ได้ฟังธรรม ทุกคนกลัวตาย จริงหรือเปล่า?

กลัวอะไร? กลัวสูญสิ้นทรัพย์สมบัติ ความเป็นบุคคลนี้ ไม่เห็นอีก ความเป็นญาติพี่น้อง เรื่องราวต่างๆ แต่รู้ไหม? เดี๋ยวนี้ "จิตเห็น" ดับ!! ใครรู้? "จิตได้ยิน" เกิดต่อทันที!! ใครรู้? ทั้งๆ ที่ กำลังเป็นอย่างนี้ เกิด-ดับ สืบต่อ ทันทีที่จิตสุดท้ายดับ เป็นปัจจัยให้จิตต่อไปเกิดต่อทันที!! ไม่มีระหว่างคั่น ขณะที่ "เห็น" กับ ขณะที่ "ได้ยิน" ถ้าศึกษาจะรู้ว่า มีจิตหลายประเภท เกิด-ดับ ระหว่าง "จิตเห็น" หนึ่งขณะ กับ "จิตได้ยิน" หนึ่งขณะ ซึ่งดูเสมือนพร้อมกัน แต่ความจริง ห่างกันมาก แต่ "จุติจิต" กับ "ปฏิสนธิจิต" จิตที่ตาย สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ กับจิตใหม่ที่เกิดต่อ เป็นอีกบุคคลหนึ่ง ติดกัน ไม่มีอะไรคั่นเลย จะกลัวอะไร? ไม่รู้ตัว ไม่มีใครรู้ตัวแน่นอน!!

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ศึกษาธรรมโดยละเอียด จะไม่รู้จักเลย แม้แต่ "บริการ" ซึ่งเราก็จะขอพูดสั้นๆ "รูป" บริการไม่ได้ เพราะว่า "รูป" ไม่รู้อะไร ต้องเป็น "ธาตุรู้" ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน ถ้าธาตุนี้ไม่เกิด อะไรก็ไม่มีที่จะปรากฏได้ และ "ธาตุนี้" มี "ธาตุรู้อื่น เกิดร่วมกัน" อาศัยกันและกันเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ธาตุเดียวกัน ธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธาน เราใช้คำว่า "จิต" เพราะเป็นสภาพที่ "รู้แจ้ง สิ่งที่ปรากฏ" ไม่ว่าจะเป็นรส หวานอ่อนไปนิดหนึ่ง ต้องเติม จิตรู้ ใช่ไหม? พอเติมไปแล้วเยอะ หวานไป จิตก็รู้อีก ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น จิต เป็นสภาพที่ "รู้แจ้ง สิ่งที่ปรากฏ" หน้าที่เดียว ไม่รัก ไม่ชัง แต่ "ชอบ" ชอบสิ่งที่เห็นก็ได้ ได้ยินก็ได้ ได้กลิ่นก็ได้ (ชอบ) เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งรู้สิ่งเดียวกับจิต (คือ เจตสิก ) เกิดพร้อมกัน แต่ลักษณะต่างกัน กิจหน้าที่ต่างกัน เวลาโกรธ ไม่ใช่ขณะที่กำลังพอใจ ลักษณะต่างกัน กิจต่างกัน เหตุใกล้ให้เกิดต่างกัน อาการปรากฏก็ต่างกัน

เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง มีให้ "เข้าใจ" ในชีวิตประจำวัน แต่ "เข้าใจเอง" ไม่ได้!! เพราะเหตุว่า ความรวดเร็วของการเกิดดับ ความเป็นไปของจิต ปกปิดความจริงว่า ขณะนี้ ทุกขณะเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง อาศัยกันเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ตลอดเวลา แต่ "เพราะไม่รู้" จึง "เป็นเรา" ทุกครั้งที่มีสภาพรู้เกิดขึ้น พอ "โกรธ" เกิดขึ้น เมื่อกี้นี้ไม่ได้โกรธ แต่พอโกรธเกิดขึ้น "เราโกรธ!!" แล้วเมื่อกี้นี้ที่โกรธไม่มี ก็ "เราไม่โกรธ!!" ทุกอย่าง "เป็นเรา"

แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ว่า ที่ว่า เป็นเรา คือ เป็น "ธาตุรู้" ที่ "รู้แจ้ง สิ่งที่ปรากฏ" แล้วก็มีธาตุรู้อื่นที่เกิด ลักษณะหลากหลาย แล้วก็มีรูปธรรม ธาตุที่ไม่รู้อะไร เกิดร่วมด้วย เราจึงมีทั้งกายและใจ ตาย รู้อะไรได้ไหม? แข็งๆ ร้อนๆ ที่ตัว รู้อะไรได้ไหม? รู้ไม่ได้!! บริการไม่ได้!! แต่ธาตุรู้ รู้ว่า นั่นอะไร นี่อะไร

เพราะฉะนั้น ลักษณะของสภาพจิตใจ หลากหลายมาก ตามสภาพธรรม คือ เจตสิก ที่เกิดร่วมกัน ขณะจิตที่โกรธ จะบริการไหม? ถ้าจะบริการ ก็บริการอย่างโกรธๆ ใช่ไหม? แม้แต่ การบริการ ยังหลากหลาย ตามสภาพของ จิตและเจตสิก ที่เกิดร่วมกัน

เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว การที่สภาพธรรมหนึ่ง เข้าใจความจริง แล้วก็เห็นประโยชน์ จึงสามารถทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ เพราะขณะนั้น จิตที่เข้าใจ ไม่ประกอบด้วยความไม่รู้ ซึ่งทำให้เกิด ความเห็นแก่ตัว "มีตัว" ก็ต้อง "เห็นแก่ตัว" เพราะไม่รู้ว่า "ไม่มีตัว" แต่มีสภาพธรรมที่ คนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น เราเองเป็นอย่างนี้ เราเองเป็นอย่างนั้น "เป็นธรรม" ทั้งหมด!! เป็น จิต และ เจตสิก

เพราะฉะนั้น "ขณะใดก็ตาม" ที่ "ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้อื่น..ด้วยใจ!!" ต่างกันแล้วใช่ไหม? เราไม่รู้จักคนนั้นเลย แต่เขากำลังต้องการความช่วยเหลือ ถ้าช่วย เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ไหม? เป็น "การบริการ-ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น" หรือเปล่า?

เพราะฉะนั้น "บริการ" ไม่จำกัดสถานที่ ในบ้าน บริการได้ไหม? ได้หมดเลย!! รับประทานอาหาร ก็ยังบริการได้ เลื่อนจานไปให้คนโน้นที่อยู่ไกล บริการได้ทั้งกาย ทั้งวาจา และ ใจ เมื่อมี "ความเข้าใจที่ถูกต้อง" ไม่ใช่เป็นเพียง "คำ" ทุกคนช่วยกันบริการ แต่ไม่รู้ว่า บริการคืออะไร? คือ คิดว่า ทำ!! แต่ว่า..ทำด้วยจิตอะไร? ถึงไม่มีใครบอกให้บริการ แต่จิตที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้อื่น เกิดขึ้น!! พูดแล้ว!! ทำแล้ว!! "ใจ" ขณะนั้นก็ คิดแล้ว!! ที่จะช่วย!!

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้จักสภาพธรรม เป็นเราหมด!! และ "ความไม่รู้" จะทำให้ คิดถึงตัวเอง หรือ คิดถึงคนอื่น มากกว่ากัน? ลองคิดดู!! ทุกอย่าง เป็นความจริงที่ละเอียดมาก สามารถที่จะ "เริ่มเข้าใจถูก" และ "ความเข้าใจถูก" จะนำมาซึ่ง "การรู้ความจริง" ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง

รู้จักกิเลสไหม? ใหญ่มากคำนี้ เยอะมากด้วย เหนียวแน่น มหาศาล คือความไม่รู้ เป็นกิเลส และความที่ทำให้จิตใจไม่สงบ เดือดร้อน ทั้งหมด เป็นกิเลส ควรดับหรือควรมี? ใครต้องการบ้าง? ความเดือดร้อน ใครต้องการ? รู้ไหม ว่าขณะนี้เดือดร้อนหรือเปล่า? ยังไม่รู้ ก็ตอบไม่ได้ ถูกต้องไหม? ที่ไม่ตอบ เพราะไม่รู้!!

เพราะฉะนั้น การที่จะสามารถ ฟัง แล้วก็ รู้ แล้วก็ตอบ ต้องอาศัยการไตร่ตรอง พิจารณา ลึกซึ้ง ตามลำดับ ได้ยินคำว่ากิเลส ไม่มีใครคิดว่าดีเลย ใช่ไหม? หรือใครคิดว่ากิเลสดี? เครื่องเศร้าหมองของจิต ทำให้จิตไม่สะอาด แต่ไม่รู้!! "ความไม่รู้" เป็นกิเลสไหม? เห็นไหม?

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด ควรดับให้หมด ไม่เหลือเลยไหม? เพราะฉะนั้น นิพพานคืออะไร? สอุปาทิเสสนิพพาน กิเลสดับ ดีไหม? ไม่ดี ไม่สนุก ไม่อร่อย หรืออย่างไร? ยังต้องเห็น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะน่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ จนกว่าจะสิ้นสุด คือ ตายแล้วไม่เกิดอีกเลย จึงจะไม่มีการเห็นอีกต่อไป แล้วก็คิดดู คิดให้ลึกซึ้ง จากไม่มีเห็น ก็มีเห็น แล้วเห็นก็ดับ ประโยชน์อยู่ตรงไหน? เหมือนไม่เคยเกิด พูดด้วย เกิดมาไม่รู้ ให้ติดข้อง อยากเห็นต่อไป

เพราะฉะนั้น ธรรมที่เป็นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ขณะใดที่เป็น "ความไม่รู้ความจริง" ต้องเป็น "ความไม่รู้" จะให้รู้ไม่ได้ แต่ขณะใดที่ "เริ่มเข้าใจ" จะให้ไม่รู้สิ่งที่เข้าใจนั้น ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ความลึกซึ้งมีมาก เพราะฉะนั้น จะรู้จักพระพุทธเจ้า เริ่มฟังคำของพระองค์ แล้วเข้าใจ พระพุทธเจ้าสอนให้ไปนั่งเฉยๆ แล้วรู้นิพพานหรือเปล่า? หรือว่า ไปเดิน สองสามก้าว ไปจ้องนั่น ดูนี่ จะถึงนิพพานหรือเปล่า? นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!! เพราะไม่มีการรู้ความจริงของ เดี๋ยวนี้!!

บริการหรือเปล่า? ที่บ้านก็บริการได้ ที่ถนนหนทาง ที่ไหน บริการได้หมด แต่..ต้องเพื่อประโยชน์ของคนอื่น ที่นี่ ต้องขอชมบริการมาก พอก้าวเข้ามาก็มีความสุข บริการอาหาร บริการทุกอย่าง ใช่ไหม แล้วคนเจ็บ คนป่วย ถ้าเรามีความเข้าใจ เห็นใจ ในความเดือดร้อน รู้ว่าทุกคนไม่อยากจะอยู่ในภาวะนั้นเลย และ ถ้าเราสามารถเพียงยิ้ม ต้อนรับ เอาใจใส่ เป็นมิตร เป็นเพื่อน ซึ่งภาษาบาลีจะใช้คำว่า "มิตต" หรือ "เมตตา"

ที่เราพูดกันว่า "เจริญเมตตา" นี่ไม่รู้ไปทำอะไรกัน โดยไม่มีเมตตาเลย ถูกต้องไหม เพราะคิดแต่ว่า สัพเพ สัตตา แล้วก็อะไรอีกยาว ดิฉันก็ไม่เคยจำ แต่รู้ว่า "เพียงพูด" แล้วจะเป็นเมตตาได้อย่างไร?

แต่ ขณะใดที่จิตใจดี มีความเป็นมิตรไมตรี แม้ว่าคนไข้มีการที่จะรับบริการคำแนะนำต่างๆ แต่ทำด้วยความเป็นมิตรเป็นเพื่อน เหมือนเพื่อนมาเลย คนที่เป็นคนไข้คือเพื่อนเรา เขากำลังป่วยไข้ เราทำอย่างไรกับเพื่อน ก็ทำกับเขาอย่างนั้น นี่เป็นการบริการด้วยใจ และกาย และวาจา เขาเดือดร้อน เขาทุกข์ เขาไม่เข้าใจ เขาอยากให้พูดเรื่องโรคภัยไข้เจ็บของเขาหรืออะไร ถ้าเราเป็นมิตรเป็นเพื่อนกับเขา บริการเลย!! ให้เขาได้คลายทุกข์ คลายกังวล พูดเรื่องนั้น เรื่องนี้ ให้เขาสบายใจขึ้น

เพราะฉะนั้น บริการ อยู่ที่จิต ที่เขาเข้าใจ เมตตา หรือความเป็นเพื่อน ไม่ใช่นั่งท่อง นั่งท่องไปเถอะ ในมุมมืด ปิดไฟ ท่อง เมตตา หลายชั่วโมง ออกมา โกรธเลย!! อย่างนั้นไม่ใช่เจริญเมตตา!!

เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจทุกคำ และต้องรู้เหตุและผล ว่า คืออะไร "บริการ" ก็คือ "ใจ" ที่เห็นประโยชน์ ที่จะทำให้คนอื่น สบายใจ ไม่เดือดร้อน เท่าที่จะทำได้

ถ้าอาหารไม่เค็ม ต้องการบริการไหม? เห็นไหม แค่นี้ บริการแล้ว บริการได้ตลอด ถ้าเข้าใจ แล้วก็รู้สภาพของ สิ่งที่เป็นประโยชน์ และสิ่งที่เป็นโทษ ถ้ารู้จริงๆ แม้ว่ายังไม่สามารถที่จะดับโลภะ ละความติดข้อง โทสะ ความขุ่นเคือง แม้เพียงเล็กน้อย แต่ก็มี "ความเข้าใจขึ้น" มีความเข้าใจทุกคน เหมือนกันหมดเลย เกิดมาตามกรรม เราก็เคยเป็นอย่างนั้นมาแล้ว และอาจจะเป็นอย่างนั้นต่อไป อย่างคนที่กำลังเดือดร้อน ได้รับทุกข์ต่างๆ ก็ได้ ใช่ไหม แล้วแต่เหตุที่ได้ทำมา

เพราะฉะนั้น ความเข้าใจที่ถูกต้อง จะทำให้จิตใจ คิดถึงคนอื่น โดยความเป็นเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู ถ้าไม่ได้เข้าใจเหตุผล เราก็ต้องโกรธอยู่เรื่อยๆ ทำไมคนนี้พูดอย่างนี้ ทำไมคนนี้คิดอย่างนี้ ทำไมคนนั้น ทำอย่างนั้น แค่ฟัง แค่เห็น ทางตา โทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ หรืออะไรก็ได้ โกรธแล้ว!! ไม่ชอบแล้ว!! คนนั้นทำไมถึงไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจแล้วโกรธอะไร ก็เขาไม่เข้าใจ ใช่ไหม แต่บางคนก็ไม่ได้เลย เห็นใครก็ขุ่นเคืองไปหมด ไม่ได้บริการเลย!! ไม่ได้เป็นเพื่อน แม้แต่จะเป็นเพื่อน ทำไม่ได้!!

แต่ "ความเป็นเพื่อน" มีใครบ้าง? ที่ไม่ต้องการ เขาจะเป็นคนร้ายมาสักเท่าไหร่ก็ตาม เขาต้องการคนที่เห็นใจเขาบ้างไหม? เป็นมิตรกับเขาสักนิดสักหน่อย ได้ไหม? ไม่ได้ทำร้ายเขาเลย และไม่ได้ทำร้าย ใจของตัวเองด้วย!! ที่สำคัญที่สุด เราลืม เราคิดแต่จะให้คนอื่น เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ขณะที่กำลังคิดอย่างนั้นน่ะ กำลังเป็นโทษภัยกับตัวเองหรือเปล่า?

ธรรมะเป็นสิ่งที่จริง ละเอียด ลึกซึ้ง สามารถที่จะอบรม เข้าใจขึ้น และความเข้าใจ ทำหน้าที่ของความเข้าใจ คือ เห็นถูก สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดสมควร สิ่งใดเป็นโทษ และ การที่รู้ความจริงนั้นแหละ จะทำให้ชีวิตแต่ละวัน ดำเนินไปตามที่ได้สะสมมา ว่า จะมีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน

เพราะฉะนั้น เห็นใครเป็นเพื่อน ดีไหม? และคนไทยเราก็ได้ชื่อเสียงมาแต่โบร่ำโบราณ เป็นคนที่เป็นมิตรกับคนแปลกหน้า ช่วยเหลือ อะไรอย่างนี้ แต่ว่า ไม่ได้เข้าใจ ว่าไม่ใช่เรา!!

เพราะฉะนั้น ความดี มีหลายอย่าง ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ แต่ที่สำคัญที่สุด ที่จะดีขึ้น ที่จะหมดความไม่ดี ก็คือ ความเข้าใจถูกต้อง ในความจริง ของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้!!

เพราะถ้าไม่เริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จะเข้าใจเมื่อไหร่ ขณะต่อไป ก็ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนั้น เรื่อยๆ ไป นี่คือคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา โดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวง ตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลาง และ ที่สุด

เบื้องต้น คือ ให้เริ่มไตร่ตรอง ละเอียด ว่าอะไรจริง อะไรเป็นประโยชน์ อะไรถูก อะไรผิด ถ้ายังคงเห็นผิดต่อไป กาย วาจา ก็ต้องผิดต่อไป แต่ถ้าเริ่มมีความเข้าใจเล็กน้อย เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ!! ก็จะมีการที่ สามารถเข้าใจถูกต้อง และทำสิ่งที่ถูกต้องเพิ่มขึ้น!!

วันนี้ ทำสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า? ไม่ใช่ขณะอื่นเลย!! กำลังฟังนี่เอง!! เป็นทางเดียวที่จะเข้าใจถูกยิ่งขึ้น บริการดีขึ้นด้วย!!

ต้องไม่ลืมนะคะ ... บริการด้วยความสุข ที่มีผู้รับบริการ ...


ขอเชิญคลิกชม บันทึกการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :


ขอเชิญติดตามบันทึกการสนทนาที่เกี่ยวข้อง ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงพยาบาลตำรวจ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงพยาบาลตำรวจ ๓๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงพยาบาลตำรวจ ๒๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ : เฉลิมพระเกียรติ ๗๒ พรรษา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 11 พ.ย. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Tathata
วันที่ 11 พ.ย. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาและยินดีในวิริยเจตสิกที่เกิดกับคุณวันชัยด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 11 พ.ย. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลของทุกท่านที่ร่วมกันจัดสนทนาธรรมในครั้งนี้ด้วย ซึ่งได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งามด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
จิตโอภาส
วันที่ 12 พ.ย. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขออนุโมทนา และยินดีในกุศลจิตของทุกท่านที่ร่วมฟังการสนทนาธรรมในครั้งนี้ค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Dechachot
วันที่ 12 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ