สัลลสูตร ... วันเสาร์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๙
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
... สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๙ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ
สัลลสูตร
...จาก...
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖- หน้าที่ ๕๕๖
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖- หน้าที่ ๕๕๖
สัลลสูตรที่ ๘
(ว่าด้วยความเป็นธรรมดาของสัตว์โลก)
[๓๘๐] ชีวิต ของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่มีเครื่องหมาย
ใครๆ รู้ไม่ได้ ทั้งลำบาก ทั้งน้อย และประกอบด้วยทุกข์.
สัตว์ทั้งหลาย ผู้เกิดแล้ว จะไม่ตายด้วยความพยายามอันใด
ความพยายามอันนั้น ไม่มีเลย แม้อยู่ได้ถึงชราก็ต้องตาย
เพราะสัตว์ทั้งหลาย มีความเป็นอย่างนี้เป็นธรรมดา.
ผลไม้สุกงอมแล้ว ชื่อว่า ย่อมมีภัยเพราะจะต้องร่วงหล่นลงไป
ในเวลาเช้า ฉันใด สัตว์ทั้งหลาย ผู้เกิดแล้ว ชื่อว่า ย่อมมีภัย
เพราะจะต้องตายเป็นนิตย์ ฉันนั้น.
ภาชนะดินที่นายช่างทำแล้วทุกชนิดมีความแตกเป็นที่สุด แม้ฉันใด
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนเขลา ทั้งคนฉลาด
ล้วนไปสู่อำนาจของความตาย มีความตายเป็นที่ไปในเบื้องหน้าด้วยกัน
ทั้งหมด.
เมื่อสัตว์เหล่านั้น ถูกความตายครอบงำแล้ว ต้องไปปรโลก บิดาจะ
ป้องกันบุตรไว้ก็ไม่ได้ หรือ พวกญาติจะป้องกันพวกญาติไว้ก็ไม่ได้.
ท่านจงดูเถิด มื่อหมู่ญาติของสัตว์ทั้งหลายผู้จะต้องตาย กำลัง
แลดูรำพันอยู่โดยประการต่างๆ สัตว์ผู้จะต้องตายผู้เดียวเท่านั้น
ถูกความตายนำไป เหมือนโคที่บุคคลจะพึงฆ่า ถูกนำไปตัวเดียว
ฉะนั้น
ความตาย และ ความแก่ กำจัดสัตว์โลกอยู่อย่างนี้ เพราะ เหตุนั้น
นักปราชญ์ทั้งหลายทราบชัดสภาพของโลกแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก.
ท่าน ย่อมไม่รู้ทางของผู้มาหรือผู้ไป ไม่เห็นที่สุดทั้งสองอย่าง
ถึงจะคร่ำครวญไปก็ไร้ประโยชน์, ถ้าผู้คร่ำครวญ หลงเบียดเบียนตนอยู่
จะยังประโยชน์อะไรๆ ให้เกิดขึ้นได้ไซร้ บัณฑิต ผู้เห็นแจ้ง ก็พึงกระทำ
ความคร่ำครวญนั้น.
บุคคลจะถึงความสงบใจได้ เพราะการร้องไห้ เพราะความเศร้าโศก
ก็หาไม่ทุกข์ย่อมเกิดแก่ผู้นั้นยิ่งขึ้น และสรีระของ ผู้นั้นก็จะซูบซีด.
บุคคลผู้เบียดเบียนตนเอง ย่อมเป็นผู้ซูบผอม มีผิวพรรณเศร้าหมอง
สัตว์ทั้งหลายผู้ละไปแล้ว ย่อมรักษาตนไม่ได้ด้วยความรำพันนั้น
การรำพัน ไร้ประโยชน์.
คนผู้ทอดถอนใจถึงบุคคลผู้ทำกาละ (ตาย) แล้ว ยังละความเศร้าโศกไม่ได้
ตกอยู่ในอำนาจแห่งความเศร้าโศก ย่อมถึงทุกข์ยิ่งขึ้น.
ท่าน จงเห็นคนแม้เหล่าอื่นผู้เตรียมจะดำเนินไปตามยถากรรม (และ)
สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ผู้มาถึงอำนาจแห่งความตายแล้ว กำลังพากัน
ดิ้นรนอยู่ทีเดียว.
ก็ สัตว์ทั้งหลาย ย่อมสำคัญด้วยอาการใดๆ อาการนั้นๆ ย่อมแปร
เป็นอย่างอื่นไปในภายหลัง ความพลัดพรากกัน เช่นนี้ย่อมมีได้
ท่านจงดูสภาพแห่งโลกเถิด.
มาณพ แม้จะพึงเป็นอยู่ร้อยปี หรือยิ่งกว่านั้น ก็ต้องพลัดพรากจากหมู่ญาติ
ต้องละทิ้งชีวิตไว้ในโลกนี้.
เพราะเหตุนั้น บุคคลฟังพระธรรมเทศนาของพระอรหันต์แล้ว เห็นคนผู้ล่วงลับ
กระทำกาละแล้ว รู้อยู่ว่า บุคคลผู้ล่วงลับทำกาละแล้วนั้น เราไม่พึงได้ว่า
จงเป็นอยู่อีกเถิด ดังนี้ พึงกำจัดความรำพันเสีย.
บุคคล พึงดับไฟที่ไหม้ลุกลามไปด้วยน้ำฉันใด นรชน ผู้เป็นนักปราชญ์
มีปัญญา เฉลียวฉลาด พึงกำจัดความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นเสีย โดยฉับพลัน เ
หมือนลมพัดนุ่นปลิวไป ฉะนั้น.
บุคคลผู้แสวงความสุขเพื่อตน พึงกำจัดความรำพัน ความทะยานอยาก
และความโทมนัสของตน พึงถอนลูกศรคือกิเลสของตนเสีย.
บุคคล ผู้มีลูกศรคือกิเลสอันถอนขึ้นแล้วอันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว
ถึงความสงบใจ ก้าวล่วงความเศร้าโศกได้ทั้งหมดเป็นผู้ไม่มีความเศร้าโศก
เยือกเย็น ฉะนี้แล.
จบสัลลสูตรที่ ๘ .
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
สัลลสูตรที่ ๘ *
(ว่าด้วยความเป็นธรรมดาของสัตว์โลก)
เหตุเกิดของพระสูตรนี้ คือ อุบาสกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดความเศร้าโศกเสียใจอย่างมากเมื่อบุตรชายของตนได้สิ้นชีวิตลง ตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ท่านถูกความเศร้าโศกท่วมทับ รับประทานอาหารไม่ได้ถึง ๗ วัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระพุทธประสงค์จะอนุเคราะห์เขาให้คลายจากความเศร้าโศก จึงตรัสสัลลสูตร นี้
สัลลสูตร เป็นพระสูตรที่แสดงถึงความเป็นจริงของชีวิต คือ ชีวิตของสัตว์ทั้งปวงดำเนินไปสู่ความตายทุกขณะ ไม่มีนิมิตเครื่องหมายบ่งบอกให้รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ มีการเป็นอยู่ที่สั้น ประกอบไปด้วยทุกข์ ไม่มีการหยุดยั้งความตายได้เลย ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ต้องพบกับความพลัดพรากเป็นธรรมดา การเศร้าโศกคร่ำครวญถึงบุคคลที่ตายไปแล้ว ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่จะเป็นทุกข์ยิ่งขึ้น และร่างกายก็จะซูบซีด ผิวพรรณเศร้าหมอง บุคคลผู้มีปัญญา พึงถอนลูกศรคือกิเลสของตน เมื่อถอนลูกศรคือกิเลสได้แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศกอีกต่อไป
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
อรรถกถาสัลลสูตรที่ ๘
ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เราควรทำอะไร?
ทางเดินของชีวิต
ชีวิตที่ประเสริฐคือการได้เข้าใจธรรม
ชีวิตเนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่าง
จะรอทำไมให้ถึงก่อนตาย
ทุกคนที่เกิดมา ล้วนมีความตายเป็นที่สุดทั้งนั้น
พักแล้วก็ต้องไปต่อ
สนทนาธรรมที่สระบุรี...[๕] ลูกศรที่มองไม่เห็น
ที่พักและเสบียงในการเดินทางไกล
หมายเหตุ คำว่า สัลละ หมายถึง ลูกศร (ในที่นี้หมายถึงลูกศร คือ กิเลส มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น) .