ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ไปสนทนาธรรมที่บ้านคุณทองเส็ง พลศิริ เวียงจันทน์ สปป. ลาว ๑๔ ม.ค.๖๗
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะอาจารย์ จากมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรรณพ หอมจันทร์ รองศาสตราจารย์ สงบ เชื้อทอง อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ และ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจากคุณทองเส็ง พลศิริ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๕๔๐๔ จาก นครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อไปสนทนาธรรมที่บ้าน ซึ่งตั้งอยู่ที่ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว
โดยภายหลังจากที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะอาจารย์ มศพ. ได้รับเชิญจากสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ อีสาน ไทยลาว เพื่อไป สนทนาธรรม "แสงธรรมสองฝั่งโขง" ณ ห้องประชุมฟ้าหลวง โรงแรมนภาลัย จังหวัดอุดรธานี ในวันศุกร์ที่ ๑๒ มกราคม ถึงวันเสาร์ที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เสร็จสิ้นลงแล้ว ในวันรุ่งขึ้น คือ วันอาทิตย์ที่ ๑๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะอาจารย์ มศพ. ได้เดินทางต่อไปยัง นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว เพื่อไปสนทนาที่บ้านของคุณทองเส็ง พลศิริ ตามคำเชิญดังกล่าว
คุณทองเส็ง : กราบเฮียนท่านอาจารย์ ผู้อื่นๆ ข้าน้อยบ่ฮู้จะคิดจังได๋ ส่วนข้าน้อยเอง เมื่อก่อน บ่ทันได้ฟังธรรมแบบของท่านอาจารย์ ข้าน้อยก่อเฮ็ดบุญ ก็เป็นศาสนาพุทธ เข้าใจว่าตัวเองเป็นแบบนั้น แล้วบ่ฮู้เลยว่าตัวเองนั้นบ่ฮู้หยัง คิดว่าธรรมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ใน สิม (โบสถ์) เฮาก่อต้องไปกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในวัด กราบธรรมคิดว่าธรรมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บ่ฮู้เลย แต่ตอนนั้นบ่อฮู้ก่อคิดว่าตัวเองฮู้ ก็ไป ก็กราบ ก็ไปวัดนั่นแหละ กราบในโบสถ์ในสิม ธรรมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความเข้าใจ แล้วก็ไปเฮ็ดบุญ เพื่อจะได้ธรรม
พอมาได้ยินได้ฟัง (ท่านอาจารย์) แล้ว จึงฮู้ว่า ตัวเองบ่ฮู้หยังเลย บ่ฮู้จั๊กน้อยเลย พอมาฟังมาเรื่อยๆ ก็ยังบ่ฮู้คือเก่าอยู่ (หัวเราะ-หลายคนหัวเราะ) เพราะว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจิ๋ง แม่นปรากฏเดี๋ยวนี้ ฮู้ขั้นฟังน้อยหนึ่งต๋อนนี้ เมื่อก่อนนั้นแม่นว่าธรรมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในวัด ที่เฮาต้องไปหา ต้องไปเคารพ เป็นแบบนั้นเมื่อก่อน แต่ตอนนี้บ่ทันได้เข้าใจ แต่ฮู้ว่าธรรมแม่นสิ่งที่มีจิ๋ง แม่นสิ่งที่ปรากฏขึ้นในขณะนี้
ท่านอาจารย์ : ค่ะ เพราะฉะนั้น จึงต้องเข้าใจ ทีละคำ ทีละน้อย "ฟังธรรม" เห็นไหม พูดได้ "ฟังธรรม" ถูกต้องไหม? "ฟัง" กับ "ธรรม" ฟัง-ธรรม จริงทั้งหมด แต่..ต่างกัน ...
"ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง" ไม่ฟัง มีไหม? "ธรรม" เห็นไหม ต้องเป็นความเข้าใจละเอียดขึ้น ไม่ใช่เท่าที่ฟังแล้วก็คิดว่าเข้าใจ แต่ฟังแล้วเข้าใจแล้ว ยังไม่พอ!! ยังต้องไตร่ตรอง ให้ชัดเจนว่า เราเข้าใจธรรมแค่ไหน เช่น เรากำลังฟังธรรม ฟังอะไร? ถ้าตอบว่าฟังธรรม ไม่ได้เข้าใจอะไร นอกจาก "จำคำ" ถูกต้องไหม?
คุณทองเส็ง : ฟังสิ่งที่มีจิ๋ง ในขณะนี้
ท่านอาจารย์ : ค่ะ ให้เข้าใจความจริงของสิ่งนั้น ตามความเป็นจริง "เห็น" มี จริง เป็นธรรมหรือเปล่า?
คุณทองเส็ง : เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น "ฟังธรรม" ฟังอะไร?
คุณทองเส็ง : ฟังสิ่งที่มีจิ๋ง
ท่านอาจารย์ : ค่ะ เพราะฉะนั้น ฟังธรรม คือ ฟังให้เข้าใจว่า "เห็น" ขณะนี้ "เป็นธรรม"
คุณทองเส็ง : เห็นขณะนี้เป็นธรรม "เห็น" เป็น "เห็น"
ท่านอาจารย์ : ค่ะ เมื่อกี้นี้ รับประทานอะไร? (หัวเราะ) เห็นไหม? พอถามแค่นี้ ตอบได้แค่นี้ แต่ต้องไตร่ตรอง จนกระทั่งมั่นคง เมื่อกี้นี้ รับประทานอะไร? ความจริงไม่เปลี่ยน ความจริงเป็นความจริง พูดแล้วจริง รับประทานอะไร? เมื่อกี้นี้ (มีผู้ตอบว่า น้ำพริก) น้ำพริก
อ.วิชัย : ก๋วยเตี๋ยวครับท่านอาจารย์ อร่อยมาก
ท่านอาจารย์ : ก๋วยเตี๋ยว น้ำพริก
อ.วิชัย : เฝอครับเฝอ
ท่านอาจารย์ : เป็นธรรมหรือเปล่า? แค่นี้ ลืมแล้ว!! จนกว่าจะไม่ลืม!! เพราะเป็นอนัตตา ไปขวนขวาย บีบคั้น จะให้เข้าใจเร็วๆ ก็เป็นไปไม่ได้!! เพราะว่า เพิ่งคุ้นเคย เพียงเสียง ที่รู้ว่า "ธรรม" ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม แต่ "ตัวจริงของธรรม" ไม่เคยขาดเลย เพราะอะไร ทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรม!!
นี่ค่ะ กว่าจะค่อยๆ ชะล้าง ความไม่รู้ ที่หมักหมมมาแสนนานในสังสารวัฏฏ์ ให้ค่อยๆ หายไป จนกระทั่ง มั่นคงขึ้น!! ยังเป็น "ปริยัติ" รอบที่ ๑ ของการฟัง อริยสัจธรรม แต่การที่จะรู้ความจริง ไม่ใช่แค่นี้เลย!! แค่นี้คือ "เบื้องต้น"
เพราะฉะนั้น ถ้าขาดการฟัง ขาดการรู้จักธรรม ไปทำอะไร? ที่จะละ ที่จะวาง จริงหรือ? ไม่รู้เลย ใช่ไหม? ว่าจะละอะไร ทำไมต้องไปละถึงโน่น? ละเดี๋ยวนี้!! ไม่ได้หรือ? ที่นี่ หรือที่ไหน ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? เมื่อไหร่ก็เหมือนกัน ไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมรอ? จะชำระ จะล้าง ก็เดี๋ยวนี้สิ!! เพราะว่า "ไม่ใช่เรา" ล้าง!! แต่เป็น "ปัญญา-ความเห็นที่ถูกต้อง" ค่อยๆ ละ ความไม่รู้ และ ความเห็นผิด!!
เพราะฉะนั้น เมื่อกี้นี้ รับประทานอะไร? ก๋วยเตี๋ยว? (หัวเราะ) รับประทานธรรม หรือเปล่า? (ทุกคนหัวเราะกันครืน!!) ถามจริงๆ ค่ะ รับประทานธรรมหรือเปล่า? แน่นอน ทุกอย่างเป็นธรรม "รส" รู้ได้ทางไหน? ที่เรากำลังรับประทาน ธรรมทั้งนั้น!! "รส" ก็เป็นธรรม แต่ไม่ใช่ สภาพที่ "ลิ้มรส" หรือ "รู้รส" รสเป็นรส ไม่รู้สึกอะไรเลย ใครจะเอาไปทำอะไรก็ไม่รู้ทั้งนั้น เกิดเป็นรสเท่านั้น แล้วก็ดับ นี่คือธรรม แต่ช้ากว่า "ธาตุรู้" ธาตุรู้เร็วกว่านั้น
เพราะฉะนั้น รับประทานอะไร? ทุกมื้อเลย ทุกคำเลย ตรงไหม? ว่าไม่มีเรา แม้แต่เรา ก็ไม่ใช่ "เรารับประทาน" และ สิ่งที่รับประทาน ก็ไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยว แข็งๆ แล้วก็มีรส (หัวเราะ) รู้ได้ทางไหน? ไม่ใช่ "ทางหู" แต่ "ทางลิ้น" แต่ "แข็ง" ไม่ใช่ทางลิ้น "ทางกาย" เร็วปานนั้น!!
นี่คือความเป็นไปของธรรม ที่ปิดบังความจริง!! ไม่ให้รู้สักอย่าง!! กำลังอร่อย จะรู้หรือว่า นั่นธรรม!! เห็นไหม? แต่ถ้ารู้ว่า ขณะนั้น "อร่อย" มีจริงๆ และรู้ว่า ขณะนั้น "เป็นธรรมอย่างหนึ่ง" ที่ "อร่อย" ไม่ใช่ที่ "เห็น" ไม่ใช่ที่ "จำ" นี่แหละ!! คือ ความลึกซึ้งของพระธรรม!! จริงหรือเปล่า? ถ้าจริง ก็เริ่มเป็นผู้ที่สะสม "สัจจบารมี " ตรงต่อความเป็นจริง บารมี คือ คุณความดีที่จะอุปการะ ให้มีความเข้าใจ ความตรง ในการที่จะไตร่ตรอง จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้ง ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น การรู้ความจริง บางคนก็จำคำง่ายๆ "วิปัสสนา" แล้วก็ใช้คำว่า "ญาณ" ด้วย "วิปัสสนาญาณ" แล้ว วิปัสสนาคืออะไร? ยังไม่ทันรู้เลย จำแล้ว ไป "ทำวิปัสสนา" ได้ไหม? เห็นไหม? คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น ที่จะช่วยให้ พ้นจากความเห็นผิด!! ถ้าไม่รู้ว่าผิด ไม่ละ!! แล้วก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย!!
เพราะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส "อริยสัจจธรรม" ที่จะรู้แจ้งนิพพาน "นิพพาน" ก็ไม่รู้ว่าอะไร อยากถึง แต่ไม่รู้ว่าอะไร แล้ว "รู้แจ้ง" รู้อย่างไรก็ไม่รู้!! หรือใครรู้? เห็นไหม เต็มไปด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!! ไม่มีสักคำที่จะให้ไม่รู้ความจริง เพราะ "พุทธ" คือ "รู้" ถึงที่สุด!! ไม่ใช่เพียงเท่านั้น "พุทธเจ้า" เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง "สัมมาสัมพุทธ"
เห็นพระคุณไหม? กว่าจะตรัสรู้อย่างนี้ บำเพ็ญบารมีนานเท่าไหร่ แล้วถ้าเราเข้าใจผิด ชวนคนอื่นเข้าใจผิดด้วย!! หวังดีต่อเขาหรือเปล่า? หรือว่าช่วยกันทำลายสิ่งที่ถูกต้อง!! ปัญญา ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น!! เพราะกุศลธรรม เป็น กุศลธรรม หวังดี จึงให้คนอื่นได้ฟังสิ่งที่ถูกต้อง!! รู้ว่าบังคับใครไม่ได้!! แล้วแต่จะพิจารณาไตร่ตรองกันอย่างไร
แต่ "คำจริง" เป็นคำที่ควรให้คนอื่นได้ฟัง เพื่อเขาจะได้ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นปัญญาของเขาต่อไป ในสังสารวัฏฏ์ ที่สามารถจะรู้ความจริงได้ ตามที่ได้พูดว่า ธรรม ก็ต้องไม่เป็นอื่น ธรรมมีอะไรบ้าง ธรรมที่เกิดเป็นธาตุรู้มี เป็นใหญ่เป็นประธาน ไม่เป็นอย่างอื่นเลย นอกจากรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าสิ่งนั้นไม่กระทบ ไม่มีทางรู้ เพราะว่า ดอกไม้ที่อยู่ในแจกัน ไม่รู้จักแจกัน แจกันก็ไม่รู้จักดอกไม้ ไม่ใช่ธาตุรู้ เราบอกว่ากระทบกัน แต่ความจริงไม่รู้อะไร ไม่รู้ว่ากระทบคืออะไร
แต่ "ผัสสเจตสิก" ไม่ใช่ "จิต" และจิตจะเกิดเองก็ไม่ได้ ต้องอาศัยธรรมที่เป็นนามธรรมเกิดร่วมกัน และ "เจตสิก" ก็หลากหลายมาก โกรธก็ใช่ เป็นเจตสิกไม่ใช่รู้แจ้งอารมณ์ แต่ต้องมี "อารมณ์" ซึ่งจิตรู้แจ้ง เกิดพร้อมกัน จิตรู้แจ้งเท่านั้น แต่เจตสิกที่รู้อารมณ์นั้น รักหรือชัง พลอยเป็นไปกับสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น "ไม่ใช่เรา" ก็ต้องรู้ว่า แล้วเป็นอะไร? จึงมี " จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน " และอุปาทานขันธ์ เท่าไหร่คะ?
อ.คำปั่น : ครับท่านอาจารย์ครับ "อุปาทานขันธ์ ๕" ครับ ท่านอาจารย์ครับ ก็คือ ยึดมั่นในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร แล้วก็ ในวิญญาน ครับ
ท่านอาจารย์ : รู้ตัวไหม? ไม่รู้อะไรสักอย่าง แต่พูดง่ายว่า "ขันธ์" แล้วก็ "ห้า" แล้วพูดทำไม? ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง อุปาทานขันธ์ ความยึดมั่น ไม่ได้ไปยึดมั่นที่อื่นเลย ยึดมั่นในสิ่งที่มี
ท่านผู้ฟัง : โดย (ครับ) ข้าน้อยขอโอกาสท่านอาจารย์ ข้าน้อยก่อเป๋นผู้หนึ่งที่เคยได้ฟังท่านอาจารย์ สมัยตะกี้เป็นแผ่นซีดี๋ และสมัยต่อมาก่อเป็นฟังยูทูป มื้อนี้ฮู้สึกว่าเห็นท่านอาจารย์ตั๋วจิ๋ง ก่อฮู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ข้าน้อยก่อเป๋นผู้หนึ่งที่ศึกษาธรรมมาหน่อยนึง ก่อเลยอยากถามท่านอาจารย์ ฯลฯ
อ.คำปั่น (แปล) : กราบท่านอาจารย์ครับ คำถามก็คือว่า ท่านผู้ฟังท่านก็ฟังท่านอาจารย์มานาน จากสมัยก่อนๆ ก็เป็นแผ่นซีดี ตอนหลังก็มีการเผยแพร่กว้างขวางในยูทูป เป็นต้น ท่านก็ฟัง ท่านก็ศึกษา ท่านก็รู้แล้วว่า ธรรมก็คือขณะนี้ ทุกๆ ขณะเลย และท่านก็ได้ถามถึง แนวทางในการประพฤติปฏิบัติว่า จะเฉพาะการฟัง การศึกษา แล้วก็ให้รู้ในความเป็นจริงของธรรม เท่านั้นหรือ? มีหนทางอื่นหรือไม่? ที่จะเร่งให้เร็วขึ้น!!
แล้วท่านก็ยกตัวอย่างข้อความในพระสูตรพระสูตรหนึ่ง แล้วก็มีแสดงไว้ในหลายพระสูตรด้วย ที่กล่าวถึงว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางหลั่งไหลมาแห่งธุลีคือกิเลสทั้งหลาย การออกบวชคือการบรรพชา เป็นสภาพที่ปลอดโปร่ง แล้วก็สามารที่จะทำให้ถึงซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้ ประมาณนี้ครับ คือ จะมีหนทางอื่น ที่เร่งรัดให้ปัญญาเกิดขึ้น เจริญขึ้นเร็วได้ไหมครับ ท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ : ค่ะ ปัญญา รู้อะไรคะ?
ท่านผู้ฟัง : ปัญญาก่อฮู้ มีความฮู้เกี่ยวกับธรรม
ท่านอาจารย์ : ปัญญารู้ธรรม ใช่ไหม?
ท่านผู้ฟัง : ฮู้ธรรมตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ : ค่ะ แล้วปัญญาเป็นธรรม หรือเปล่า?
ท่านผู้ฟัง : ก่อเป๋นธรรม
ท่านอาจารย์ : แล้วปัญญาเป็นอนัตตาหรือเปล่า?
ท่านผู้ฟัง : เป๋นอนัตตา
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น อัตตา จะไปเร่งรัดปัญญา ได้ไหม?
ท่านผู้ฟัง : (ทวนคำถาม) อัตตาจะไปเร่งได้บ่?
ท่านอาจารย์ : ยิ่งเร่งยิ่งผิด ใช่ไหม? เพราะเป็นอัตตา!! ยิ่งฝังลึกลงไปอีก เวลานี้ก็ฝังลึกอยู่แล้ว "เห็น" ก็ "เป็นเรา" "ได้ยิน" ก็ "เป็นเรา" ยังไม่ได้เป็นธรรม!! เพราะฉะนั้น จะรู้อะไรยิ่งขึ้น? ต้องตรง!! ถ้าไม่ตรงก็ผิด!! ไปรู้อะไรที่ไม่มี ไม่ตรง ได้หรือ? จะรู้เร็วขึ้น ได้อย่างไร และ รู้อะไร? ถึงจะเร็วขึ้น!! "เห็น" เดี๋ยวนี้เกิด-ดับ ไหนทำอย่างไร? (ให้) รู้เร็วขึ้น?
ขอเชิญติดตามฟังการสนทนาฉบับเต็ม ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :
ขอเชิญติดตามกระทู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :
- ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ไปสนทนาธรรมที่โรงแรมนภาลัย จังหวัดอุดรธานี ๑๒-๑๓ มกราคม ๒๕๖๗
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพสูงยิ่ง
ท่านคือผู้กล่าวแต่คำจริงตามองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไพเราะตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้ายด้วยความเมตตากรุณาที่จะให้ผู้อื่นได้ไตร่ตรองเพื่อความเข้าใจ
กราบ อนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณทองเส็งและครอบครัว คุณแม่ปราณีและคุณอนุชา ในการจัดสนทนาธรรมครั้งนี้ในนครเวียงจันทน์ และเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ แสงธรรมสองฝั่งโขง ที่ส่องแล้วที่เมืองอุดรธานี วันที่ 12 ถึง 13 มกราคม และข้ามมาส่องถึงนครเวียงจันทน์ โดยความสำเร็จสมบูรณ์ในความดีความงดงามที่สุดของพระธรรมที่ท่านอาจารย์นำมาแสดง
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุกประการของคุณวันชัยภู่งาม ผู้บันทึกภาพพร้อมคำบรรยายที่งดงามยิ่ง
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพสูงยิ่ง
ท่านคือผู้กล่าวแต่คำจริงตามองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไพเราะตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้ายมาโดยตลอดไม่เคยเปลี่ยน ตลอดระยะเวลา 70 กว่าปีที่ผ่านมา
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพอย่างสูงเหนือเศียรเกล้าครับ
ท่านอาจารย์สุจินต์เกิดเมื่อ 2469 เริ่มบรรยายธรรมะ 2496 ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง ท่านเป็นอุชุปฏิปันโนที่สูงด้วยเมตตาธรรม ขออนุโมทนาและยินดีด้วยกับท่านสหายธรรมจากประเทศ สปป.ลาวที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ฯ ฟังไปลุ้นไปกับธรรมะเพื่อละคลายคือสัพเพธรรมมา อนัตตา สาธุ ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านครับ