พระอริยบุคคลมี ๔ ขั้น
การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระอริยบุคคลมี ๔ ขั้น
ผู้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมประจักษ์แจ้งสภาพพระนิพพานครั้งแรก เป็นพระโสดาบันบุคคล ดับความเห็นผิดและความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลาย
เมื่อพระโสดาบันบุคคลเจริญปัญญาขึ้น รู้แจ้งอริยสัจจธรรมประจักษ์แจ้งนิพพานอีกครั้งหนึ่ง ดับความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อย่างหยาบ เป็นพระสกทาคามีบุคคล
เมื่อพระสกทาคามีบุคคลเจริญปัญญาขึ้น รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ประจักษ์แจ้งนิพพานอีกครั้งหนึ่ง ดับความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จึงดับโทสะเป็นพระอนาคามีบุคคล
เมื่อพระอนาคามีบุคคลเจริญปัญญาขึ้น รู้แจ้งอริยสัจจธรรมประจักษ์แจ้งนิพพานอีกครั้งหนึ่ง ดับอกุศลธรรมที่เหลืออยู่ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์
เมื่อพระอรหันต์ดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่เกิดอีกต่อไป
เมื่อเข้าใจแล้วว่า โลกุตตรปัญญาของพระอริยบุคคลแต่ละขั้นดับกิเลสแต่ละขั้นอย่างไร ก็จะต้องศึกษาให้เข้าใจหนทางปฏิบัติ ที่จะอบรมเจริญปัญญาให้รู้แจ้งสภาพธรรมที่ปรากฏและดับกิเลสได้จริงๆ ตามที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้
ดาวน์โหลดหนังสือ -->
บุคคลผู้เป็นอนาคามี สามารถอยู่ในเพศคฤหัสถ์ได้ไหมครับ แล้วยังมีความต้องการยินดีในชื่อเสียง คำสรรเสริญอีกไหมครับ
เรียน ความเห็น 2
บุคคลผู้เป็นอนาคามี สามารถอยู่ในเพศคฤหัสถ์ได้ไหมครับ
ขอเชิญอ่านจากกระทู้ ...
พระอนาคามี ยังครองเรือน ประกอบอาชีพไหม
แล้วยังมีความต้องการยินดีในชื่อเสียง คำสรรเสริญอีกไหมครับ
พระอนาคามีละโลภะได้แล้ว จึงไม่ติดข้อง หรือ ยินดีในชื่อเสียง คำสรรญเสริญ ครับ
[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 11
โลภสูตร
ว่าด้วยละโลภะได้เป็นพระอนาคามี
[๑๗๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายละธรรมอย่างหนึ่งได้เราเป็นผู้รับรองเธอทั้งหลาย เพื่อความเป็นพระอนาคามี ธรรมอย่างหนึ่งเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายละธรรมอย่างหนึ่ง คือ โลภะได้ เราเป็นผู้รับรองเธอทั้งหลายเพื่อความเป็น พระอนาคามี ชนผู้เห็นแจ้งทั้งหลายรู้ชัดด้วยดีซึ่งความโลภอันเป็นเหตุให้สัตว์ผู้โลภไปสู่ทุคติแล้วละได้ ครั้นละได้แล้ว ย่อมไม่มาสู่โลกนี้อีกในกาลไหนๆ เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วเพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล
จบโลภสูตรที่ ๑
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติม ...
ควรศึกษาเป็นไปตามลำดับ ข้ามขั้นไม่ได้
พระอนาคามี - ยังติดอยู่กับการเสพกามคุณไหมครับ
ขออนุญาตสอบถามเกี่ยวกับพระโสดาบันหน่อยครับ
พระโสดาบันยังละกามราคะไม่ได้ แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตของศีล 5 อยากทราบว่าพระโสดาบันยังสามารถก่ออกุศลกรรมบางอย่าง เช่น การเสพสื่อลามก เป็นต้น อยู่ไหมครับ และอีกประเด็นหนึ่งคือพระโสดาบันเป็นผู้มีศีล 5 บริสุทธิ์ทั้งทางกายวาจาใจ ที่ผมสงสัยคือการรักษาศีลทางกายและวาจาสามารถควบคุมได้ แต่การรักษาศีลทางใจให้บริสุทธิ์งั้นพระโสดาบันต้องทำอย่างไร หรือต้องใช้กำลังสมาธิเป็นตัวหักห้ามไว้ เพราะการควบคุมทางจิตใจเป็นสิ่งที่ยากเพราะจิตของมนุษย์มักคิดฟุ้งซ่านและไปในทางที่ไม่ดีในบางครั้ง เพราะหากใจมีศีลไม่บริสุทธิ์นั่นก็คือศีลด่างพร้อย แม้ศีลจะไม่ขาดไม่ทะลุเพราะกายและวาจาแต่ก็นับว่าไม่บริสุทธิ์ ตรงนี้จึงอยากทราบวิธีการรักษาใจของพระโสดาบันให้มีศีลบริสุทธิ์ด้วยครับ
เรียนความเห็น 5 ครับ
พระโสดาบันจะอยู่ที่ไหน สถานการณ์ไหน ก็คือ เป็นพระโสดาบัน ไม่มีเหตุที่จะ ทำให้กิเลสที่ท่านดับได้แล้วจะกลับมาเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่อีก พระโสดาบันมีการได้รับวิบากเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แต่ไม่มีกิเลสอย่างหยาบที่จะทำให้ท่านล่วงศีล ๕ เลย
พระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลขั้นแรก ที่สามารถดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง กล่าวคือดับความเห็นผิดทุกประเภท ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ดับความริษยา ดับความตระหนี่ ดับกิเลสอย่างหยาบที่จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิได้ทั้งหมด พระโสดาบันเป็นผู้มีศีล ๕ ที่บริสุทธ์ ก็เพราะว่าดับกิเลสอย่างหยาบได้หมดแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้ล่วงศีล ๕ อีกเลย ถ้าเป็นผู้ที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคลยังมีโอกาสล่วงศีล ๕ ได้ เป็นไปด้วยอำนาจของกิเลส ซึ่งจะประมาทกำลังของกิเลสไม่ได้เลยทีเดียว เพราะกิเลสที่ได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เป็นไปตามเหตุตาม ปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้นถึงแม้ว่ากิเลสจะมีมากมายสัก เพียงใดก็ตาม ก็สามารถดับได้ในที่สุด เมื่อมีการอบรมเจริญปัญญาจนคมกล้าขึ้น ถึงขั้นที่เป็นโลกุตตระ เมื่อมรรคจิตเกิดขึ้น ก็สามารถดับกิเลสได้ ตามสมควรแก่มรรคของตนๆ และกิเลสที่ดับได้แล้ว ก็จะไม่เกิดขึ้นอีกในในสังสารวัฏฏ์
ที่มา...
ความเห็น 2 จากกระทู้...
การรักษาศีล 5 อย่างบริสุทธิ คือ พระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบัน
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)
ขออนุโมทนาครับ